สาปแสงรัก บทที่ 9 : เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวไม่เจ็บ

สาปแสงรัก บทที่ 9 : เดี๋ยวเจ็บ เดี๋ยวไม่เจ็บ

โดย : ตวงทิพย์ ยุวชิต

Loading

สาปแสงรัก โดย ตวงทิพย์ ยุวชิต เรื่องรักของผู้ชายธรรมดาที่ต้องคำสาปที่ว่า เมื่อพบรักแท้จะพบแต่ความทุกข์ทรมานไม่รู้จักจบสิ้น “อานุภาพ” ชายที่ไม่มีพลังอำนาจเหมือนชื่อของเขาเลย แถมยังไม่มีของวิเศษ เวทย์มนตร์คาถา แล้วเขาจะเอาอะไรไปสู้กับแรงอาฆาตพยาบาทที่สาปส่งข้ามภพข้ามชาติได้ ติดตามเอาใจช่วยเขาได้ในอ่านเอา anowl.co

อานุภาพลืมตาตื่นขึ้นเมื่อได้ยินเสียงกุกกัก เขาขยับลุกขึ้นนั่งขณะที่นวลดารากำลังยกถ้วยข้าวต้มมาวางที่โต๊ะอาหาร เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตื่นแล้วเธอก็ทักทาย “ตื่นแล้วเหรอคุณ ไปล้างหน้าล้างตาเลย ใช้ห้องน้ำในห้องนอนฉันก็ได้…เดี๋ยวมากินข้าวกัน ข้าวต้มหมู ไรเดอร์เพิ่งมาส่งร้อนๆ เลย เออ ฉันเตรียมแปรงสีฟันใหม่ไว้ให้แล้วนะ”

อานุภาพเข้าไปในห้องน้ำ เขามองเแปรงสีฟันใหม่ที่นวลดาราวางไว้ให้ ดีใจที่เธอใส่ใจในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ดีใจที่เธอเริ่มพูดดีกับเขา เธออาจจะเปิดใจให้เขาแล้วก็เป็นได้ ขณะเดียวกันเขาก็กังวลว่าความสัมพันธ์ระหว่างเขาและเธอจะเป็นอย่างไร

ชายหนุ่มส่องกระจกใจก็คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เมื่อเขาประสานสายตากับเธอแล้วเกิดความเจ็บปวดทั่วร่างขึ้นอย่างฉับพลัน จริงอยู่ที่เขาเคยรู้สึกแบบนี้มาก่อน แต่เมื่อคืนความรู้สึกนั้นรุนแรงขึ้นนอกจากรู้สึกเหมือนเข็มแทงทั่วกายแล้ว เขายังรู้สึกปวดหัวเหมือนมีคีบยักษ์มาบีบขมับ อานุภาพไม่ได้กลัวความเจ็บปวด แต่เขากลัวจะแสดงพิรุธให้เธอรู้ ถ้าเธอรู้ว่าเขาจะเจ็บปวดทุกครั้งที่สบตากับเธอ ถ้าเป็นอย่างนั้นเขากับเธอจะรักกันได้อย่างไร

อานุภาพออกมาจากห้องน้ำแล้วกลับไปนั่งที่เก้าอี้รับแขก เขาจัดแจงพับผ้าห่มที่ห่มนอนเมื่อคืน แล้วหันไปบอกหญิงสาวว่า “คุณ ผมขอกินตรงนี้ได้ไหม”

“ได้ คุณนั่งกินที่โต๊ะกินข้าวไม่ไหวเหรอ ปวดหัวอีกเหรอ” นวลดารายกถ้วยข้าวต้มมาวางให้ชายหนุ่ม แล้วเลยเดินมาแตะหน้าผากเขา “ไม่มีไข้นี่…” เธอว่า

อานุภาพต้องหลับตาเพราะไม่อยากจ้องตากับเธอ เขากลัวว่าจะเกิดอาการเจ็บปวดขึ้นมาอีก นวลดารากลับเข้าใจว่าเขาหลับตาเพื่อข่มอาการปวดหัว

“ปวดหัวมากเลยเหรอคุณ ไปหาหมอไหม”

“ไม่เป็นไรหรอกคุณ ผมแค่มึนหัวนิดหน่อย คุณไปกินข้าวเถอะ” อานุภาพบอกทั้งที่ยังไม่ลืมตา

เมื่อนวลดาราเดินไปแล้วอานุภาพก็ลืมตาและลอบถอนหายใจ แต่ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อนวลดาราถือถ้วยข้าวต้มมานั่งกินกับเขา อานุภาพจะถามเธอก็ไม่ได้เพราะนี่เป็นบ้านของเธอ เธอย่อมจะนั่งตรงไหนก็ได้ โชคดีที่เก้าอี้รับแขกตัวยาวบังคับให้ทั้งสองคนต้องนั่งข้างกัน เขากับเธอจึงไม่ต้องนั่งประจันหน้าสบตากันตรงๆ

“นั่งกินด้วยกันนี่แหละ เวลาเก็บโต๊ะฉันจะได้เช็ดโต๊ะนี้โต๊ะเดียว”

อานุภาพค่อยสบายใจขึ้นเมื่อเขาไม่ต้องประสานสายตากับเธอตรงๆ แต่เขาก็ยังค้างคาใจว่าทำไมความรู้สึกเจ็บปวดนั้นจึงเป็นเพียงครั้งคราว เมื่อวานเขายังคุยกับเธอได้เป็นนานสองนาน ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไรเลยจนถึงตอนที่เธอทำแผล เขาไม่รู้ว่าปัจจัยอะไรทำให้เขาเจ็บปวด ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจ

“ข้าวต้มไม่อร่อยเหรอคุณ ร้านดังนะเนี่ย ไม่เห็นกินเลย หรือปวดแผลจนกินไม่ลง”

“อร่อยครับ อร่อย…ผมแค่คิดอะไรนิดหน่อย” เขารีบบอก

“แย่เลย คุณเจ็บมือขวาด้วย แล้วจะทำงานยังไง”

“ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่กี่วันก็หาย…เออคุณ กำแพงหลังบ้านคุณมันแตกร้าว ปูนแตกไปจนคนปีนเข้าบ้านได้เลยนะ เอาไว้เดี๋ยวผมซ่อมให้นะ”

“คุณมือเจ็บ จะซ่อมยังไง เดี๋ยวฉันเรียกช่างมาซ่อมเอง”

“ผมทำให้ได้นะ ผมตั้งใจไว้อยู่แล้ว”

“เดี๋ยวนะ…คุณรู้ได้ยังไงว่ากำแพงพัง”

“ก็ผม…” อานุภาพยังพูดไม่จบนวลดาราก็พูดแทรก

“ฉันรู้แล้ว คุณปีนรั้วเข้ามาแอบถ่ายรูปทางนั้นใช่ไหม”

“ใช่ ผมนึกว่าบ้านนี้เป็นบ้านหมอนั่น ถ้าเป็นงั้น ผมไม่ซ่อมให้หรอก”

“ถึงเป็นบ้านฉันก็ไม่ต้องหรอก” นวลดาราพูดแล้วยิ้มขำ “คุณนี่ลงทุนน่าดูเลยนะ”

“ลงทุน” เขาลงท้ายประโยคเสียงสูงอย่างสงสัย

“ก็ลงทุนสืบเรื่องพี่ทัตน่ะสิ ถามจริงๆ นะ คุณทำไปทำไม”

“ก็ผมบอกแล้วว่าผมทำเพราะหวังดีกับคุณ”

“ฉันนึกว่าคุณอยากเอาคืนที่ฉันแช่งคุณ เลยอยากให้ฉันเจ็บปวดซะอีก”

“ผมไม่เคยโกรธแค้นอะไรคุณเลยนะ”

“จะไปรู้เหรอ ก็คุณลงทุนลงแรงมากจริงๆ นี่ นี่ถ้าเราไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อน ฉันต้องคิดว่าคุณทำเพราะจะจีบฉันแน่เลย” นวลดาราพูดทีเล่นทีจริง

คำพูดของนวลดาราทำให้อานุภาพใจสั่น เขาหันไปมองเธอ แล้วสองคนก็ประสานสายตากัน

“นี่อย่าบอกนะ ว่าคุณชอบฉันเนี่ย”

อาการเข็มทิ่มแทงร่างกายนั้นกลับมาเยือนชายหนุ่มอีก ถ้วยข้าวต้มที่เขาถืออยู่เกือบจะหลุดมือ โชคดีที่เขาวางลงบนโต๊ะรับแขกได้ทัน ถึงอย่างนั้นก็ต้องข่มความรู้สึกจนสุดความสามารถ

“เป็นอะไรคุณ…มึนหัวเหรอ เดี๋ยวๆ ไปเอายาให้” นวลดาราลุกไป ปากก็บ่นว่าเขาควรจะไปโรงพยาบาลดีกว่า

พอหญิงสาวลุกไป อานุภาพก็ค่อยรู้สึกดีขึ้น เขาพยายามทบทวนถึงอาการที่ตัวเองเป็น ใจคิดคาดเดาไปต่างๆ นานา เมื่อนึกขึ้นได้ว่าก่อนเกิดอาการเจ็บเขารู้สึกอย่างไรกับนวลดาราเขาก็ใจหาย

 

ตอนสายอานุภาพขับรถออกจากบ้านของนวลดารา หญิงสาวคิดว่าอานุภาพจะไปโรงพยาบาลจึงอาสาขับรถให้ แต่ชายหนุ่มยืนยันว่าเขาขับรถได้แค่ขอให้เธอนั่งรถไปเป็นเพื่อนเท่านั้น

“ฉันนึกว่าคุณจะไปโรงพยาบาล ทำไมมาที่นี่ล่ะ” นวลดาราร้องขึ้นเมื่ออานุภาพเลี้ยวรถเข้าจอดที่หน้าร้านจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง

“ก็ผมบอกแล้วว่าจะซ่อมกำแพงบ้านให้คุณ”

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้อง”

“ต้องสิ ผมพูดคำไหนก็เป็นคำนั้น” อานุภาพหันไปจ้องตากับเธอตรงๆ

“แต่มือคุณเจ็บอยู่ ไม่สบายด้วยไม่ใช่เหรอ”

“ก็ผมอยากทำวันนี้ ก็ต้องทำวันนี้ หรือคุณไม่เชื่อว่าผมทำได้” เขาจงใจยั่วให้เธอโกรธ

“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่อง บ้านฉัน ฉันไม่ให้ทำ ไปโรงพยาบาลเลย”

“เอาเถอะน่าคุณ ไหนๆ ก็มาแล้ว ก็ซ่อมให้มันเสร็จๆ ไปเถอะ คุณช่วยผมขนของหน่อยก็แล้วกันนะ”

“ก็ได้ คุณนี่มันดื้อจริงๆ เลย” หญิงสาวบ่นกระปอดกระแปดแต่ก็ลงรถตามเขาไป

 

เมื่อกลับมาถึงบ้านนวลดาราอานุภาพก็ลงมือก่ออิฐฉาบปูนซ่อมกำแพงบ้านทันที เมื่อมีนวลดารามาช่วยเป็นลูกมือก็ช่วยให้อานุภาพทำงานได้สะดวกขึ้น แต่กว่างานจะสำเร็จลุล่วงก็กินเวลานานกว่าที่ควรจะเป็นนับชั่วโมง ขณะที่ทั้งสองนั่งพักเหนื่อย นวลดารานึกขึ้นได้จึงถามขึ้นว่า “มือคุณเป็นไงบ้าง”

อานุภาพถอดถุงมือหนังที่เขาใส่ทำงาน แล้วพลิกฝ่ามือให้เธอดู

“โห…ฉันว่ามันบวมกว่าเมื่อเช้านะ ไปหาหมอเถอะ เชื่อฉันเถอะ มันดูไม่ดีเลย” ทั้งเสียงและแววตาอ้อนวอนของหญิงสาว ทำให้อานุภาพรู้สึกว่าอาการเจ็บปวดแบบเดิมกำลังจะกลับมาอีก เขาตั้งสติข่มมันไว้ แล้วยอมไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามที่นวลดาราขอร้อง

 

หลังจากทำแผลเสร็จนวลดาราก็ชวนอานุภาพไปรับประทานอาหารกลางวัน เธอขอเลี้ยงเขาเป็นการขอโทษที่เธอทำให้เขาเจ็บตัว อานุภาพไม่อาจหาเหตุผลมาปฏิเสธได้เพราะเขาเองก็หิวไม่น้อย นวลดาราก็คงเหมือนกันเพราะเขาและเธอช่วยกันซ่อมกำแพงบ้านจนลืมเวลา อานุภาพเลือกร้านบะหมี่รถเข็นที่น่าจะใช้เวลาร่วมโต๊ะกับเธอน้อยที่สุด เขาไม่อยากอยู่ใกล้เธอนานกว่านี้เพราะกลัวความเจ็บปวดภายในจะปะทุออกมาให้หญิงสาวสงสัยมากไปกว่านี้ ตลอดช่วงมื้ออาหารเขาต้องพยายามสะกดใจไม่ให้รู้สึกดีกับเธอ หลังจากนั้นเขาก็ชวนเธอกลับเกาะเดือนดับทันที

 

เมื่อมาถึงเกาะลอยเรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายที่จะไปเกาะเดือนดับก็หมดแล้ว นวลดาราไปติดต่อเหมาเรือสปีดโบ๊ตของเอกชนก็ไม่มีเรือว่างให้เช่าเนื่องจากวันนี้เป็นวันเสาร์ซึ่งมีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการมากกว่าปกติ หญิงสาวโทร.ไปตามชลธีและตาน้อมให้เอาเรือมารับ ทั้งสองคนก็เกิดติดธุระพร้อมกัน เขาและเธอจึงจำใจต้องรอจนเรือโดยสารเที่ยวสุดท้ายที่ไปเกาะเดือนดับกลับมาที่เกาะลอยและขอให้เรือกลับไปส่งอีกเที่ยวหนึ่ง ตลอดเวลาที่รอเรืออานุภาพต้องพยายามที่จะไม่สบตากับหญิงสาวตรงๆ โชคดีที่นวลดาราคิดว่าอานุภาพเจ็บจนไม่อยากพูดคุยกับเธอ เธอจึงไม่ได้รบกวนเขามากนัก

กว่าเรือโดยสารที่ไปเกาะเดือนดับจะกลับมาถึงเกาะลอยเวลาก็ล่วงเลยไปถึงหนึ่งทุ่ม คนขับเรือยินดีจะไปส่งสองหนุ่มสาวโดยไม่คิดค่าจ้างเพราะถือว่านวลดาราเป็นคนคุ้นเคยกัน อานุภาพค่อยเบาใจเพราะการนั่งเรือโดยสารไปด้วยกันเพียงสองคนทำให้เขาเลือกนั่งห่างจากเธอได้โดยไม่น่าเกลียด แต่พอเอาเข้าจริงการณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะพอเรือออกจากท่าเรือเกาะลอยมาได้ไม่นาน นวลดาราก็ขยับมานั่งแถวเดียวกันชิดกับเขา พออานุภาพจะขยับออกห่างเธอก็ดึงมือเขาไว้

“ขอนั่งด้วยนะคุณ ฉันกลัวทะเลกลางคืน” หญิงสาวบอกเขา

“ป้าชื่นเคยบอกผมว่าคุณชอบทะเล”

“ฉันชอบทะเล แต่ไม่ชอบอยู่กลางทะเลตอนกลางคืนแบบนี้” นวลดาราบอกแล้วดึงแขนชายหนุ่มมาควงกอดไว้แน่น อานุภาพรู้ว่าหญิงสาวทำไปเพราะกลัว ไม่ใช่เพราะมีใจให้เขา แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้ชายหนุ่มต้องหลับตาลงเพื่อข่มความเจ็บปวด

“เจ็บมือมากเหรอคุณ” เธอถามอย่างห่วงใย

อานุภาพอยากจะบอกเธอว่าไม่เป็นไร แต่เข็มนับพันเล่มที่ทิ่มแทงอยู่ภายในทำให้เขาพูดอะไรไม่ออก ใจก็คิดว่าถ้าหากฝืนพูดออกไปแล้วเธอจับได้ว่าเขากำลังเจ็บมาก เธอคงแสดงความห่วงใยมากกว่านี้ และเขาคงยิ่งเจ็บปวด

แต่ถึงอานุภาพจะไม่ได้พูดอะไร นวลดาราก็พลิกมือที่มีผ้าพันแผลบนตักของเธอดูแล้วว่า “ต้องบวมอีกหลายวันแน่เลย คุณอย่าลืมกินยาแก้อักเสบที่หมอให้ให้ตรงเวลาด้วยล่ะ”

เขาพยักหน้า ในใจอยากบอกเธอเหลือเกินว่า ‘ที่รัก อย่าทำให้ผมรักมากกว่านี้เลย’

 

ทันทีที่อานุภาพกับนวลดาราเดินจากท่าเรือมาถึงเรือนรับแขก อานุภาพก็เห็นอนุชนั่งรออยู่ที่เก้าอี้นั่งเล่นหน้าบ้าน เขารู้ว่าน้องสาวเป็นห่วงเขามากเพราะเขาหายไปตั้งแต่เมื่อเย็นวาน เขาบอกเธอว่าไปทำธุระ และไม่ได้ติดต่อกลับมาหาเธอเลย

“พี่อ้ายปิดโทรศัพท์ทำไม” อนุชต่อว่าพี่ชายทันทีที่นวลดาราเดินแยกกลับเรือนใหญ่ไป

“โทษทีนุช พี่กลัวแบตหมด ปิดเครื่องแล้วลืมเปิด” อานุภาพเองก็เพิ่งนึกได้ว่าเขาปิดโทรศัพท์มือถือไว้ตั้งแต่ตอนที่ไปซุ่มดูทัตพล

“แล้วทำไมกลับมากับคุณนวลล่ะคะ”

“เอ่อ…เราไปทำธุระกันมาน่ะ” อานุภาพตอบแล้วพยักเพยิดให้น้องเข้าใจว่าพูดคุยกันตรงนี้ไม่ได้เพราะครอบครัวของนางชื่นจับตามองอยู่

“อ๋อ…” อนุชทำเออออ แล้วตามพี่ชายไปที่ห้องชั้นบน

 

“คุณนวลเลิกกับนายทัตพลแล้ว อย่างนี้ก็แสดงว่าพี่อ้ายมีหวังแล้วสิคะ” อนุชพูดขึ้นหลังจากฟังพี่ชายเล่าว่าธุระที่ไปทำคืออะไร

“ตอนแรกพี่ก็คิดว่ามีหวังนะ แต่ความจริงความหวังริบหรี่กว่าเดิมอีก”

“ทำไมล่ะคะ”

“พี่เจ็บไปทั้งตัวเลยเวลารู้สึกรักเธอ”

“มันเป็นยังไง อธิบายหน่อย”

“ก่อนหน้านี้พี่รู้สึกเหมือนเข็มเป็นพันๆ เล่มทิ่มแทงทั่วตัวเวลาสบตาเธอ ตอนแรกพี่ก็ไม่แน่ใจว่าเพราะอะไร เพราะมันไม่ได้เป็นทุกครั้งนะนุช แต่วันนี้พี่แน่ใจแล้วว่าพี่จะเจ็บปวดเฉพาะเวลาที่พี่รู้สึกรัก เวลาที่พี่มองเขาด้วยความรักเท่านั้น”

“พี่อ้ายแน่ใจเหรอคะ” อนุชถามด้วยความตกใจมากกว่าจะสงสัยอย่างนั้นจริงๆ

“แน่ใจ พี่ลองยั่วให้เขาโกรธ จ้องตากันก็ไม่รู้สึกอะไร แต่เวลารัก…”

“ตายๆ แล้วจะทำยังไงกันคะนี่ คนเรารักกันจะไม่ส่งสายตากันได้ยังไง” อนุชทิ้งตัวลงไปนั่งบนเตียงอย่างหมดหนทาง

พี่ชายไม่อาจให้คำตอบน้องสาวได้ ถ้าหากทำตามใจได้เขาก็อยากจะลงไปนอนดิ้นเร่าๆ บนพื้นเหมือนกัน

 



Don`t copy text!