สายแนน บทที่ 14 : ด้วยแรงอธิษฐาน

สายแนน บทที่ 14 : ด้วยแรงอธิษฐาน

โดย : SUDA

Loading

สายแนน นวนิยายออนไลน์โดย SUDA ที่อ่านเอานำมาให้อ่านทาง anowl.co กับ “เรื่องราว” ในอดีตที่ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาให้เจ็บช้ำ กายพลัดพรากแต่ใจยังผูกพัน แม้เหลือเพียงเถ้ากระดูกบนกองฟอน…ก็มิอาจปล่อยวางแล้วเริ่มต้นใหม่ “เขา” บุรุษสองคนผู้มีใจรักมั่น…จึงหวนกลับมาแย่งชิง “เธอ” อีกครั้ง

หนึ่งเดือนต่อมา…

สายลมพัดผ่านยามราตรีตามปกติของฤดูหนาว ยินเสียงว่าวสนูดังแว่วมาดังดนตรีขับกล่อม กลิ่นดอกไม้ป่าลอยมาตามลมชวนให้รู้สึกผ่อนคลายนัก เวลาผ่านเข้ายามสองแล้ว แต่ยังมีภิกษุวัยกลางคนนั่งอยู่ในโบสถ์ตามลำพัง…สองมือก้มกราบองค์พระประธานด้วยกิริยาสำรวมน่าเลื่อมใส

เมื่อเทียนบูชาเล่มน้อยเริ่มอ่อนแสงลง สมภารขันเผลอยกยิ้มจางๆ เพราะเห็นแล้วถึงสัจธรรมชีวิต มีเกิดขึ้นก็ต้องมีดับสูญ ดั่งเทียนน้อยเล่มนี้ที่ถูกจุดเปลวไฟเกิดแสงสว่าง ก่อนจะถูกหลอมละลายลงจนกระทั่งไฟมอด ชีวิตคนก็เป็นเช่นนั้น…ไม่ว่าใครก็มิอาจอยู่ค้ำฟ้า เมื่อถึงกาลเวลาอันสมควรก็ต้องดับสูญไปเพื่อเริ่มต้นใหม่

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือนแล้วที่แม่เดือนหลุดพ้นจากทุกข์ ดวงวิญญาณล่องลอยไปตามกฎแห่งกรรม แต่เพราะบุญกุศลที่กระทำมารวมถึงที่สมภารอุทิศให้ สมภารขันจึงวางใจว่าเธอจักอยู่ในภพภูมิที่เป็นสุข และอยู่อย่างสงบร่มเย็นกว่าในชาติภพนี้

สมภารขันปิดประตูโบสถ์ให้เรียบร้อย…ก่อนจะเข้าจำวัดในกุฏิอย่างที่เคยทำมาทุกครั้ง ร่างสูงนอนสงบนิ่งบนเสื่อ ดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นมาห่มกายไว้กันลมหนาว ก่อนจะหลับตาลงช้าๆ

ใบหน้าคมของสมภารเผลอยิ้มละมุนเมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผันผ่าน ตลอดสามสิบปีที่ครองตนเป็นภิกษุ เขามิเคยกระทำตนด่างพร้อย ยังยึดมั่นในศาสนาจนเป็นที่ศรัทธาน่าเลื่อมใส ทั้งหมดนี้เพื่อบุญกุศลที่จักเผื่อแผ่ไปให้ดวงวิญญาณแม่หญิงผู้สถิตอยู่ในใจ

แม้รู้ดีว่าตนครองสมณเพศ…จึงมิควรจมอยู่กับความทุกข์ แต่เขาก็มิใช่พระอรหันต์ที่สามารถปล่อยวางได้ทุกสิ่ง เขายังมีความเป็นมนุษย์ปุถุชน มีสัญญา…มีความห่วงหา…มีความเจ็บปวดมิได้แตกต่างจากใคร

แต่เมื่อส่งดวงวิญญาณของแม่เดือนไปแล้ว บัดนี้สมภารจึงไม่มีห่วงที่นี่อีกแล้ว และแม้มิอาจรู้ว่าหลังจากนี้จักต้องอยู่ในภพภูมิใด เขาก็ยังเชื่อมั่น…ว่าสักวันคงได้หวนกลับมาพบกันอีกครั้ง

 

“บักทอง! เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”

นายสินวิ่งมาตะโกนอยู่หน้าเรือนแต่เช้ามืด สองหนุ่มสาวที่กำลังนอนหลับใหลก็พลันสะดุ้งตื่นตามเสียงเรียก ก่อนจะลงจากเรือนมาหาด้วยความงุนงง นายสินยืนรออยู่หน้าเรือน ในมือถือกระบองขี้ไต้กำลังส่องสว่าง

“หลวงลุงขันตายแล้ว”

“ตาย!” ทองกล่าวทวนซ้ำด้วยความตื่นตกใจ “หลวงลุงขันตายได้จั่งได๋ เมื่อวานยังดีๆ อยู่”

“นอนใหลตาย พวกเณรเพิ่งไปเห็นนี่ละ ปกติหลวงลุงขันตื่นเตรียมบิณฑบาตตั้งแต่ไก่ยังบ่ขัน แต่เช้านี้พวกเณรตื่นแล้วก็ยังบ่เห็นออกมาจากกุฏิ เณรน้อยเข้าไปตามก็เห็นว่านอนเป็นศพแล้ว”

เรื่องราวจากนายสินทำให้สองหนุ่มสาวตื่นตระหนกจนคิดว่าเป็นความฝัน เหตุเพราะสมภารขันไม่เคยมีโรคภัยไข้เจ็บใด แม้อายุห้าสิบกว่าแล้วแต่ร่างกายก็ยังสมบูรณ์แข็งแรง แล้วอยู่ๆ จะมรณภาพไปเช่นนี้ได้อย่างไร

“อ้ายทอง…หรือว่า…”

“คงเป็นอย่างนั้นละ” ทองเอ่ยตอบเมื่อถูกแม่ปิ่นสะกิดเรียก นัยน์ตาคมพลันเจือความเศร้าเพราะทั้งรักและเคารพสมภารขันเสมือนญาติผู้ใหญ่ การจากไปกะทันหันเช่นนี้ก็ทำใจได้ยากนัก

แต่ทองและแม่ปิ่นก็พอรู้…ว่าสมภารขันสิ้นบุญไปด้วยเหตุอันใด

ที่ผ่านมาสมภารขันมีชีวิตอยู่เพื่อสร้างบุญกุศลอุทิศให้แม่หญิงอันเป็นที่รัก หลังจากเรื่องราวคลี่คลายลงจนเธอหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งหลาย สมภารขันเองก็คงถึงเวลาสิ้นบุญไปเพื่อติดตามกันในชาติภพใหม่

เพราะหากเป็นคู่สายแนน…คล้องสองวิญญาณให้ผูกพัน บุญกุศลย่อมบันดาลให้สองดวงวิญญาณติดตามกันไปในทุกภพทุกชาติ

ข่าวเรื่องสมภารขันมรณภาพถูกกระจายไปอย่างรวดเร็ว เช้าวันนั้นจึงมีชาวบ้านมาไว้อาลัยเป็นจำนวนมาก เพราะแม้สามสิบปีก่อนชาวบ้านจะเข้าใจผิดเรื่องชู้สาว แต่สามสิบปีที่ผ่านมาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าสมภารขันครองตนเป็นภิกษุน่าเลื่อมใสมากเพียงใด

พิธีศพของสมภารถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่าย ศพถูกบรรจุไว้ในโลงไม้ตั้งบนเชิงตะกอนเตรียมทำพิธีในยามบ่าย หลังสวดส่งวิญญาณเรียบร้อยแล้วสัปเหร่อจึงเริ่มจุดไฟเผา เปลวไฟลุกโชนท่วมเชิงตะกอนเผากายสังขารให้มอดไหม้

ทองกับปิ่นยืนไว้อาลัยอยู่ร่วมกับชาวบ้านคนอื่นๆ สายตาเหม่อมองเปลวไฟเบื้องหน้าด้วยความเศร้า ที่ทั้งสองผ่านเหตุการณ์วุ่นวายมาได้ก็เพราะความช่วยเหลือจากสมภารขัน เมื่อสิ้นสมภารไปแล้วในใจจึงโศกเศร้านัก แม้รู้ดีว่ามีพบก็ต้องมีพลัดพราก มีเกิดขึ้นแล้วก็ต้องมีดับสูญ…แต่เมื่อวันนั้นมาถึงก็มิอาจยอมรับได้โดยง่าย

สองหนุ่มสาวยืนมองเปลวไฟอยู่อย่างนั้น ก่อนจะชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินเสียงร้องรำทำเพลงมาจากด้านหลัง นายแสงคำเดินกอดไหเหล้าเดินเข้ามาหา เสื้อผ้าขาดวิ่น เนื้อตัวมอมแมม แววตาล่องลอยอย่างคนวิปลาส ร่างสูงที่เคยสง่างาม…บัดนี้กลับผอมโซน่าเวทนานัก

นายแสงคำเดินแหวกผู้คนมายืนอยู่หน้ากองเพลิง เมื่อชะโงกดูชัดเจนว่าศพนั้นเป็นสมภารขัน…นายแสงคำก็พลันหัวเราะเสียงดังอยู่นานโข…ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้

ท่าทีวิปลาสของเขาเป็นที่เคยชินของชาวบ้านไปเสียแล้ว เมื่อนั่งคุกเข่าลงร่ำไห้หน้าเชิงตะกอนเช่นนี้จึงไม่มีใครถือสา นายแสงคำทิ้งไหเหล้าไว้ข้างกาย ก่อนจะกอดเข่าเหม่อมองกองเพลิงนั้นทั้งน้ำตา

“กูแพ้มึงอีกแล้ว….กูแพ้มึงตลอดมา…”

แม้ภายนอกดูวิปลาส แต่ในแววตานั้นกลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่มิเคยเลือนหาย ที่ผ่านมาเขาทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ครอบครองแม่หญิงอันเป็นที่รัก แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ให้แก่โชคชะตาที่กำหนดไว้ ทั้งที่เขาเองก็รักเธอไม่แตกต่าง…ทั้งที่เขาก็พร้อมทะนุถนอมเธอด้วยดวงใจ

นายแสงคำยกมือปาดน้ำตาตนเอง ก่อนจะแค่นหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความเจ็บช้ำ แม้สติเลอะเลือน แต่ก็รับรู้ได้ว่าบัดนี้ดวงวิญญาณของแม่เดือนและนายขันต่างล่องลอยไปสู่ภพภูมิใหม่ เหลือเพียงเขาที่ต้องทุกข์ทรมานอยู่ตรงนี้ ทิ้งเขาให้ต้องโดดเดี่ยว…ทิ้งเขาให้จมอยู่กับความเจ็บปวดตามลำพัง

ทุกสิ่งที่ทำไปเหลือเพียงความว่างเปล่า…

รักที่เขามีให้เดือนก็เช่นกัน…มันไม่เคยมีค่าในสายตาเธอเลยสักนิด

ตะวันคล้อยลงลงทุกที บรรยากาศรอบป่าช้าวันนี้จึงเงียบสงัดชวนอ้างว้าง ชาวบ้านกลับไปเกือบหมดแล้ว เหลือเพียงสัปเหร่อที่คอยเติมฟืนเป็นระยะ นายแสงคำที่นั่งเหม่อมองกองไฟเผากายสังขาร โดยมีทองกับแม่ปิ่นยืนมองอยู่ห่างๆ ปิ่นยืนเกาะวงแขนแกร่งของชายหนุ่มไว้ สายตาจ้องมองนายแสงคำด้วยความสงสาร

หญิงสาวก้าวเข้าไปหาอย่างเชื่องช้า ก่อนจะนั่งลงแล้วเอื้อมมือแตะบนบ่า “ลุงแสงคำ…ข้อยรู้ว่าลุงกำลังทุกข์ทรมานแสนสาหัส แต่ในเมื่อรู้แล้วว่าบ่มีอีหยังพรากความรักของสองคนนั้นได้ แล้วเป็นหยังลุงจึงบ่ยอมปล่อยวาง…”

ถ้อยคำของปิ่นทำให้นายแสงคำร่ำไห้ออกมาอีกครั้ง ปิ่นจึงนั่งกอดเข่าอยู่เคียงข้างพลางตบไหล่เขาเบาๆ อีกครั้งเพื่อปลอบประโลม “หลวงลุงขันกับป้าเดือนไปภพภูมิใหม่แล้ว…ลุงเองก็ควรปล่อยวางเรื่องในอดีตแล้วเริ่มต้นชีวิตใหม่ เรื่องมันผ่านมาแล้วบ่มีไผผูกใจเจ็บ ข้อยเชื่อว่าทั้งหลวงลุงขันและป้าเดือนต่างอโหสิกรรมให้”

เมื่อนายแสงคำหันมาสบตา ปิ่นจึงส่งยิ้มละมุนให้

“ข้อยเอง…ก็อโหสิกรรมให้ลุงเหมือนกัน”

หลังจากเรื่องราวเลวร้ายผ่านพ้นไป ทองกับปิ่นก็ไม่เคยเห็นดวงวิญญาณของเดือนและสมภารขันอีกเลย อาจเพราะคนตายก้าวเข้าสู่ภพภูมิอันสุขสงบแล้ว คงเหลือเพียงคนเป็นกระมังที่ยังจมอยู่กับกองทุกข์

นายแสงคำยังเป็นคนวิปลาส…เดินเร่ร่อนขอทานสร้างความเวทนาให้แก่ผู้พบเห็น ก่อนจะป่วยเป็นไข้ป่าแล้วตายตามไปในที่สุด

ชาวบ้านช่วยกันจัดการศพนายแสงคำมาประกอบพิธีทางศาสนา ปิ่นเองก็มิได้คิดผูกใจเจ็บจึงมาร่วมไว้อาลัยด้วย เพราะแม้ที่ผ่านมาเขาจะชั่วช้าเลวทรามมากเพียงใด แต่หากนึกทบทวนดูแล้วก็เห็นว่าเขาก็ถูกเวรกรรมตามสนองจนหมดสิ้น

 

เสียงไก่ขันดังแว่วมาเป็นสัญญาณของวันใหม่ ร่างเล็กของแม่ปิ่นนั่งอยู่ในครัวบนชานเรือน หญิงสาวกำลังเตรียมสำรับอาหารไปทำบุญในเช้านี้ หน้าเตาไฟมีแกงเห็ดโคนที่เก็บมาจากชายป่า นอกจากนี้ยังมีป่นปลากับผักสด น้ำพริกปลาร้าและข้าวเหนียวร้อนๆ ด้วย

มือบางเอื้อมตักแกงเห็ดในหม้อใส่ถ้วยใบใหญ่ ปิดฝาให้เรียบร้อยก่อนจะห่ออาหารอื่นใส่ในตะกร้าหวาย เตรียมดอกไม้ธูปเทียนหนึ่งคู่ไปบูชาพระด้วย ร่างเล็กเผลอชะงักไปเมื่อเห็นทองเดินงัวเงียออกมาหา เหตุเพราะฟ้ายังมิสาง…แต่ทำไมเธอจึงเตรียมสำรับเช้าเสร็จเร็วนัก

“อ้ายทอง…เช้านี้พาข้อยไปวัดได้บ่” ปิ่นเอ่ยถามพลางก้มหน้าจัดข้าวของให้เรียบร้อย “ข้อยอยากไปทำบุญกรวดน้ำให้ป้าเดือน หลวงลุงขัน…แล้วก็ลุงแสงคำ”

“ลุงแสงคำ” ทองเอ่ยทวนคำด้วยความฉงน เมื่อเห็นเธอส่งยิ้มเป็นคำตอบ ชายหนุ่มจึงขยับกายเข้ามานั่งใกล้ๆ ก่อนหน้านี้นายแสงคำเคยตั้งใจทำร้ายเธอถึงตาย แม้เธอจะยอมอโหสิกรรมแล้ว แต่เขาก็มิคิดว่าเธอจะปล่อยวางจนถึงขั้นยอมทำบุญไปให้

“อ้ายทอง…”

ปิ่นเผลอถอนหายใจเบาๆ พลางส่งยิ้มละมุน “ข้อยบ่ได้เป็นบ้า…แต่เรื่องราวมันผ่านไปแล้วข้อยก็บ่อยากผูกใจเจ็บ บ่อยากสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไปในภายหน้า อีกอย่าง…หากอ้ายลองคิดดูให้ดีก็คงเห็น ว่าเวรกรรมตามสนองเขาตั้งแต่คืนแรกที่ป้าเดือนตายแล้ว”

น้ำเสียงของเธอนั้นดูนิ่งสงบและมั่นคงนัก “ข้อยอโหสิกรรมให้เขาแล้ว นึกเวทนาเขาด้วยซ้ำที่ต้องตกนรกทั้งเป็น เผลอๆ ตายไปแล้วยังต้องตกนรกอีก หากมีทางใดช่วยเขาได้…ข้อยก็อยากช่วย”

ทองนิ่งเงียบไปนานโข แต่เมื่อฟังคำอธิบายของเธอแล้วชายหนุ่มจึงขยับเข้ามาใกล้แล้วโอบกอดเธอไว้ในอ้อมอก “ถ้าอย่างนั้นอ้ายสิพาเจ้าไปวัด ไปทำบุญกรวดน้ำให้ป้าเดือน หลวงลุงขัน…และลุงแสงคำด้วย”

ปิ่นพยักหน้ารับพลางส่งยิ้มละมุน ร่างเล็กซบลงบนแผ่นอกแกร่งนั้นด้วยความสุข เธอไม่รู้ดอกว่าชีวิตหลังความตายนั้นเป็นอย่างไร แต่หากมีสิ่งใดพอบรรเทาทุกข์ให้ทุกคนได้…เธอก็ยินดีทำทั้งนั้น

โศกนาฏกรรมความรักในครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะต่างฝ่ายต่างไม่ยอมปล่อยวางในรัก ฝืนโชคชะตาเพียงเพราะอยากได้แม่หญิงอันเป็นที่รักมาเคียงกาย

หากอีกฝ่ายมิได้มีรักให้แล้ว…หนทางข้างหน้าย่อมเต็มไปด้วยความทุกข์ แต่เมื่อเรื่องราวจบลงไปแล้วแม่ปิ่นจึงมิได้ผูกใจเจ็บ ได้แต่หวังว่าทั้งสามดวงวิญญาณจักไปสู่สุคติ…และเริ่มต้นใหม่ในชาติภพหน้า

 

บรรยากาศยามราตรีในคืนนี้สุขสงบกว่าที่เคยนัก…เรือนหลังน้อยยังมีสองหนุ่มสาวใช้ชีวิตตามลำพังเช่นเคย เวลาล่วงเลยผ่านเข้ายามสองแล้ว ชายหนุ่มจึงลงกลอนประตูเรือนให้เรียบร้อยแล้วมุดเข้ามุ้งมาหา ร่างเล็กของแม่ปิ่นนอนหันหลังให้ แต่เมื่อเขาขยับเข้ามาสวมกอดจากด้านหลัง…หัวใจเธอก็พลันเต้นระรัวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน

แม้จะเคยนอนเคียงกายกันมาแรมเดือนจนเป็นปกติ แต่เหตุใดหนอคืนนี้แม่ปิ่นจึงรู้สึกหวั่นไหวนัก อาจเป็นเพราะเรื่องราวคลี่คลายลงแล้วเธอจึงมิต้องถือพรหมจรรย์อีกต่อไป หรืออาจเป็นเพราะสายตาหวานละมุนที่เขามองมาทำให้เผลอใจสั่น

“อ้ายทอง…”

ปิ่นเอ่ยเสียงกระซิบเมื่อถูกเขาประคองให้หันกลับมาสบตา มือหนาเอื้อมลูบเรือนผมงามเธอเบาๆ ก่อนจะโน้มใบหน้าจุมพิตหน้าผากบางนั้นด้วยความรัก ปิ่นมิได้ขัดขืนเลยแม้แต่น้อย…แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อมือซุกซนของเขาเลื่อนลงปลดผ้าออกจากเนินอกอิ่ม

“อ้ายทอง อย่า…”

ผ้าผืนน้อยถูกปลดออกอย่างง่ายดายจนมันถูกกองไว้ข้างๆ ถ้อยคำคัดค้านของเธอมิได้มีผลกับเขาแม้สักนิด วงแขนแกร่งประคองเธอให้พลิกตัวนอนหงายแล้วโน้มตัวลงตามมา มือข้างหนึ่งลูบไล้นวลแก้มสาวอย่างทะนุถนอม

“อ้ายอดทนมานานแล้ว…เห็นใจกันบ้างเถิด”

แม่ปิ่นพลันก้มหน้างุด เสียงทุ้มที่กระซิบข้างหูทำให้เธออบอุ่นใจมากเกินจะเอ่ย ยามใบหน้าคมโน้มลงดอมดมบนเรือนกายสาว เธอยิ่งหวามไหวเสียจนแทบทนมิได้

“อ้ายอยากมีลูกแล้ว ขอลูกให้อ้ายสักคนได้บ่…”

สิ้นคำเขาแม่ปิ่นก็มองค้อนเขาไปทีหนึ่ง นวลแก้มสาวแดงระเรื่อด้วยความเขินอาย วงแขนเล็กคล้องบนบ่าเขาก่อนจะหลับตาปล่อยให้ความรักนำทางไป เพราะเรื่องราวคลี่คลายลงแล้วเธอจึงไม่มีความจำเป็นต้องรักษาพรหมจรรย์อีกต่อไป หากต้องตกเป็นของเขาในคืนนี้เธอก็เต็มใจนัก

เพราะที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้ว…ว่าเขารักเธอมากมายเพียงใด…



Don`t copy text!