ศรีนาง ตอนที่ 18 : ขนมจีนน้ำยา

ศรีนาง ตอนที่ 18 : ขนมจีนน้ำยา

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

แม้จะเป็นวันหยุด แต่สารินยังคงตื่นตั้งแต่เช้าตรู่ ชายหนุ่มเปิดทรานซิสเตอร์ฟังข่าว ส่วนศรีนางกำลังวุ่นวายอยู่หน้าเตา ตอนแรกสารินช่วยหยิบจับนั่นนี่ แต่โดนศรีนางไล่ออกจากครัว ด้วยเหตุผลว่า…

‘ห้ามเข้าใกล้นุ้ยตอนทำครัว มันไม่ถนัด พี่รินช่วยมันยิ่งช้า เกะกะเปล่าๆ เข้าใจมั้ย’

สารินจึงเลี่ยงมานั่งอ่านหนังสือพิมพ์ริมระเบียง จิบชาร้อนในจอกกระเบื้องราคาถูก เป็นนิสัยที่ฉัตรชลธรวิจารณ์ว่าถ่ายทอดจากคุณตาสู่หลาน

“ฟังข่าว อ่านข่าว พี่รินจะกินข่าวเข้าไปด้วยมั้ย” ศรีนางถามแกมประชด เมื่อเห็นสารินทำหลายอย่างพร้อมกัน

คนโดนบ่นเผลอยิ้ม ทำไมเหมือนผัวเมียจริงๆ เข้าไปทุกวัน

“น้องนุ้ยมาดูนี่ ของใช้ลดราคา” สารินกางหน้าหนังสือพิมพ์ให้สาวน้อยเห็นชัดๆ เนื่องจากรายรับเท่าเดิมแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น ปกติเขากินอยู่บ้านบิดา แต่ละเดือนแทบไม่ได้ใช้เงิน เมื่อออกมาใช้ชีวิตข้างนอก สารินจึงต้องวางแผน แม้ไม่ได้ขัดสนฝืดเคืองเพราะมีเงินเดือนและมีเงินเก็บ แต่ชายหนุ่มรู้ดีว่าเรื่องเงินต้องรอบคอบรัดกุม

“ถูกกว่าร้านขายของชำหน้าวัดตั้งหลายบาท” ศรีนางตาโตเมื่อเห็นโฆษณาลดราคาสินค้าอุปโภค บริโภค เธอไม่ต่างกับสาริน คือคิดแล้วคิดอีกก่อนควักเงินใช้จ่ายอะไรสักอย่าง ทั้งยังเกรงใจเจ้าของเงิน ชายหนุ่มใจดีกับเธอมาก ให้เงินไว้ใช้จ่ายส่วนตัวสัปดาห์ละหนึ่งร้อยบาท

ศรีนางขยับเข้าชิดสารินจนไหล่เบียดไหล่ สาวน้อยยื่นหน้าเข้าไปในหน้ากระดาษแล้วอ่าน “น้ำปลาแท้ตรายอดขนาดเจ็ดร้อยยี่สิบซีซี ลดจากยี่สิบบาทเหลือสิบสามบาทเจ็ดสิบห้าสตางค์…ชาผงลิปตันชนิดซองฉลากสีเหลืองหนึ่งร้อยซองปกติหนึ่งร้อยสิบเจ็ดบาทลดเหลือเก้าสิบสองบาท สบู่ครีมเลอร์เวียจากก้อนละสิบบาทเหลือครึ่งโหลสี่สิบเก้าบาท”

“น้องนุ้ยจดไว้นะว่าต้องซื้ออะไรบ้าง”

ศรีนางกวาดตามอง สะดุดที่ของใช้ส่วนตัว…ผ้าอนามัยขนาดบรรจุยี่สิบแผ่นไม่ระบุราคา เพียงประกาศคำโตๆ ว่า ‘ราคาพิเศษ’

“ถ้านุ้ยทำงาน มีเงินเดือน นุ้ยจะเลี้ยงดูพี่รินเอง” จู่ๆ ศรีนางก็โพล่งขึ้นมาดื้อๆ ไม่มีปี่มีขลุ่ย

สารินจับจ้องใบหน้าสวยแปลก ชายหนุ่มไม่รู้ว่าทำไมสาวน้อยตาโตถึงได้พูดเรื่องนี้ แต่มันทำให้ดอกไม้ในหัวใจเบ่งบานและช่วยไม่ได้ที่สารินจะยิ้มจนหน้าบาน “งั้นพี่จะลาออกจากราชการ อยู่บ้านเฉยๆ ให้น้องนุ้ยเลี้ยงดู”

“พี่รินอยู่ง่าย กินง่าย นุ้ยว่านุ้ยเลี้ยงได้แหละ” ศรีนางพูดอย่างที่คิด ก่อนทำท่ากระมิดกระเมี้ยนเมื่อตอนนี้ต้องพึ่งพาสารินทุกอย่าง เธอให้คำมั่นในอนาคต ส่วนปัจจุบันสาวน้อยต้องแบมือขอเงิน “นุ้ยอยากได้ตารางธาตุแผ่นใหญ่ๆ ขนาดเท่าแผนที่ค่ะ เคมีเป็นวิชาที่นุ้ยอ่อนที่สุด ไม่ค่อยเข้าใจ”

“ได้สิ พรุ่งนี้เรียนกวดวิชาวันแรกใช่ไหม งั้นวันนี้เราไปซื้อของลดราคา ซื้อตารางธาตุ”

“เครื่องเขียนด้วยได้ไหมพี่ริน สมุด ดินสอ”

“ได้สิ”

“ใจดีจัง”

“พี่รอเกษียณก่อนอายุสามสิบแล้วนะ” สารินอารมณ์ดีจนพูดเล่นเรื่อยเปื่อยไร้สาระ

ศรีนางย่นจมูก ดูเหมือนคนนิ่งๆ อย่างสารินได้คืบจะเอาศอก!

จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูบ้าน สองหนุ่มสาวมองหน้าสบตากัน เนื่องจากทั้งคู่ไม่มีแขก

“ยายประภาหรือเปล่า” ศรีนางทำท่าจะลุกไปเปิดประตู แต่น้ำกะทิบนเตาแก๊สเดือดคลั่กๆ เธออยากกินอาหารใต้ตั้งแต่เมื่อวาน เช้านี้จึงทำขนมจีนน้ำยา โดยทำเองทุกอย่างทั้งโขลกเครื่องแกง ต้มปลาแล้วแกะเอาแต่เนื้อ รวมถึงขูดมะพร้าวคั้นเอาน้ำกะทิ

“พี่ไปดูเอง” ชายหนุ่มพับหนังสือพิมพ์ ก่อนเดินไปเปิดประตู สารินพบว่าคนที่มาเยือนในเช้าวันหยุดไม่ใช่ใครที่ไหน เป็นหนุ่มๆ จากวังปรียาธร ซึ่งประกอบด้วยหม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธร หม่อมหลวงหนึ่งนริศ และมิสเตอร์เบนจามิน

“กู๊ดมอร์นิ่ง ริน” ชายชาวอังกฤษเอ่ยทักทายอย่างเป็นกันเอง

“ทุกคนมาได้ยังไงครับ”

“มันจะเกินไปแล้วริน ไม่คิดจะชวนพวกเรามาบ้านใหม่นายบ้างหรือ” ฉัตรชลธรทำเหมือนที่เคยทำคือตัดพ้อต่อว่าหลานชาย “โชคดีที่นายใส่เครื่องแบบเท่ๆ ถามคนแถวนี้ ใครๆ ก็รู้จักนายทหารรูปหล่อเช่าบ้านริมน้ำอยู่กับเมียเด็ก”

ตอนนั้นเองที่ ‘เมียเด็ก’ ของสารินเดินมาสมทบ ทักทายทำความเคารพสามหนุ่มแล้วเชิญทั้งหมดเข้าบ้าน

“กลิ่นอะไรอะ” หม่อมหลวงหนึ่งนริศยื่นจมูกดมกลิ่นฟุดฟิด “หอมจัง ได้กลิ่นแล้วหิวขึ้นมาเลย”

“น้ำแกงค่ะ หมายถึงน้ำยาขนมจีน” ศรีนางอธิบายพลางชี้ให้เห็นหม้อแกงควันฉุยบนเตา “เสร็จพอดี ทานด้วยกันนะคะ นุ้ยทำเยอะเลย ตั้งใจทำเผื่อเพื่อนบ้านแถวนี้ด้วย”

“งั้นผมไม่เกรงใจแล้วนะ ออกมาเช้ามาก ยังไม่ได้กินอะไรเลย” หนึ่งนริศลูบท้องเบาๆ

คราวนี้เป็นเจ้าบ้านสองคนที่มองหน้ากัน ระลึกได้ว่าสถานที่ทั้งเล็กทั้งแคบ ไม่เหมาะต้อนรับคณะจากวังปรียาธร

“ต้องนั่งกินบนพื้นระเบียงค่ะ คือ…คุณน้า” ศรีนางหันไปขอความเห็นจากสาริน

“เรามีโต๊ะเล็กๆ ที่น้องนุ้ยใช้อ่านหนังสือ ผมเตรียม…”

“เฮ้ๆ สบายมาก ไม่ต้องวุ่นวาย เลิกทำเหมือนฉันเป็นองค์เทพลงมาจุติสักที บอกกี่ครั้งกี่หนว่าฉันเป็นคนธรรมดา” ฉัตรชลธรดุหลานชายกับเมีย ก่อนนั่งบนพื้นไม้กระดานง่ายๆ “หิวแล้วเหมือนกัน อยากชิมขนมจีนน้ำยาฝีมือหลานสะใภ้”

จากนั้นแขกหนุ่มทั้งสามนั่งล้อมวงสบายๆ บนพื้น สารินจึงช่วยศรีนางถือหม้อใส่น้ำยา ตะกร้าขนมจีน และกะละมังใส่ผักสด ส่วนหญิงสาวทำหน้าที่หยิบเส้นขนมจีนใส่จานสังกะสี ก่อนราดน้ำยา เธอเหลือบมองหนุ่มๆ ที่นั่งล้อมวงกันหน้าสลอน

“เผ็ดค่ะ แต่ไม่มาก นุ้ยลดพริกลงนิดนึง ของคุณเบนใส่น้ำยานิดเดียวนะคะ ถ้าทานได้ค่อยใส่เพิ่ม” ศรีนางแอบขำเมื่อหนุ่มๆ ทั้งสี่เห็นสีน้ำยากะทิ

หนึ่งนริศเป็นคนแรกที่ตักเส้นขนมจีนเข้าปาก รสชาติจัดจ้านของเครื่องแกงทำเอง เนื้อปลาป่นละเอียดคลุกเคล้ากับเส้นขนมจีน เมื่อกินคู่กับผักสดอาหารธรรมดาจึงอร่อยเลิศ จนชายหนุ่มทำไม้ทำมือให้ที่เหลือรีบชิม

ฉัตรชลธรไม่เคยรังเกียจอาหารธรรมดาแต่เขาไม่กินเผ็ด ตอนเห็นน้ำสีเหลืองข้นๆ ท่วมเส้นขนมจีน ราชนิกุลหนุ่มแอบหวั่นใจ ท่าทีเหล่านั้นหนีไม่พ้นสายตาสาริน

“เหยาะน้ำปลาสักนิดไหมครับ ความจริงไม่เผ็ดมาก แต่น้ำปลาช่วยตัดรสได้” ชายหนุ่มส่งขวดน้ำปลาให้น้าชาย อีกฝ่ายรับแล้วเหยาะๆ ไม่กี่หยด ตัดเส้นจนพอดีคำแล้วตักเข้าปาก

“เผ็ด”

ศรีนางหน้าเสีย กลัวฉัตรชลธรเสาะท้อง “น้ำค่ะคุณน้า อย่าทานต่อเลยค่ะ คงเผ็ดเกินไป”

“อะไรกัน อร่อยขนาดนี้ไห้หยุดได้ไง” ฉัตรชลธรตักเข้าปากอีกคำ “อร่อยจริงๆ นะ ไม่ได้แกล้งชมเอาใจ นุ้ยนี่เก่งหลายอย่าง”

ศรีนางหน้าบานเมื่อได้รับคำชม ครู่เดียวก็ได้ยินเสียงสูดจมูกของสี่หนุ่ม

สารินเคยอยู่บ้านยายจันทร์ก็จริง แต่ไม่ชินกับรสชาติจัดจ้านของอาหารใต้ ทว่าเมื่อมีโอกาสได้ลิ้มรสฝีมือหญิงสาว…เขาปรารถนาให้ตัวเองมีโอกาสเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ สายตานายทหารหนุ่มจับจ้องแม่ครัวอย่างชื่นชม

“ถูกปากละสิ” ฉัตรชลธรเอ่ยทักเมื่อเห็นสารินรับประทานอย่างเอร็ดอร่อย แก้มและปลายจมูกของหลานชายแดงระเรื่อด้วยรสร้อนแรง “ไม่ยักรู้ว่านายชอบกินขนมจีนน้ำยา”

“ครับ อร่อยมาก เข้มข้นถึงเครื่อง”

“เมียนายคงทำให้กินบ่อยๆ ใช่ไหม” คนเป็นน้าเอ่ยถามกลางวง

สารินถึงกับสำลัก ชายหนุ่มไอแค่กๆ “มะ…ไม่บ่อยครับ นี่ครั้งแรก”

“อ้าว…คิดว่าทำบ่อย แล้วปกติกินอะไร”

“ปกติตอนเช้าจะทำอะไรง่ายๆ ตอนเที่ยงก็ก๋วยเตี๋ยวเรือบ้าง ผัดไทยบ้าง”

“ตอนเย็นล่ะ”

“ก็ผัดๆ ทอดๆ น่ะครับ เราไม่มีตู้เย็น”

“รินเอ๊ยยยย” ฉัตรชลธรถอนหายใจ ก่อนหันไปถามหลานสะใภ้ที่นั่งฟังบทสนทนาตาแป๋ว กิริยาท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู ผู้สูงวัยกว่าหายสงสัยว่าทำไมหลานชายตกหลุมรักสาวน้อยคนนี้ในเวลาไม่กี่วัน “ลำบากหรือเปล่านุ้ย”

ศรีนางส่ายหน้าจนผมกระจาย สะใภ้วังปรียาธรยิ้มกว้างให้หม่อมราชวงศ์ฉัตรชลธร “สบายมากๆ ค่ะ นุ้ยชอบที่นี่ เงียบสงบ บ้านก็น่ารักจนไม่อยากย้ายไปไหนแล้ว สบายจนลืมความลำบากไปเลย”

สารินชะงัก คนที่กำลังรอบ้านพักสวัสดิการคิดเร็วจี๋ในหัว

“ลำบากยังไง” หนึ่งนริศถามขณะแย่งน้ำสารินมาดื่ม เพราะรสชาติจัดจ้านของน้ำยาขนมจีน ชายหนุ่มที่เกิดมาพรั่งพร้อมทุกอย่างเลิกคิ้วด้วยความสงสัย

“ก็…” ศรีนางคิดและเรียบเรียงคำพูดในหัว “ตอนเด็กๆ นุ้ยอยู่บ้านก๊งกับอาม่า หลานชายจะมีรถรับส่ง แต่หลานสาวต้องเดินไปโรงเรียนเอง พอป๊าเสีย แม่ก็พานุ้ยกลับไปอยู่บ้านยาย แม่เป็นวัณโรคค่ะ ใครๆ ก็รังเกียจ เราเลยแยกมาอยู่เรือนข้าวสองคน หลังแม่เสียนุ้ยก็อยู่ที่นั่นคนเดียว ไม่มีใครอยากให้เรียนหนังสือ แต่นุ้ยก็ดันทุรังเรียนจนจบมอหก แถวบ้านไม่มีโรงเรียนมอปลายค่ะ ต้องเดินไปขึ้นรถที่ตลาด นั่งสองแถวอีกหนึ่งชั่วโมงไปเรียนในตัวอำเภอ”

คนฟังนิ่งอึ้ง หนึ่งนริศสูดจมูกแรงขึ้น ไม่รู้ว่าที่หัวตาร้อนเป็นเพราะน้ำยารสชาติเผ็ดร้อนหรือเรื่องราวที่ศรีนางเล่ากันแน่ จู่ๆ ชายหนุ่มที่เรียนไปเล่นไปก็นึกละอายใจ

“นั่งคุยกันไปก่อนนะคะ นุ้ยขอเอาขนมจีนไปให้ยายประภา” หญิงสาวคนเดียวยิ้มน้อยๆ แล้วลุกจากไป

คล้อยหลังศรีนาง เบนจามินเป็นคนแรกที่ลุกออกจากวงขนมจีน ชายชาวอังกฤษไม่สันทัดภาษาไทย เลือกสำรวจกล้วยไม้ที่แขวนไว้ริมระเบียง ส่วนหนึ่งนริศกินขนมจีนต่อทั้งที่ขอบตาแดงก่ำ

“ที่นุ้ยเล่า…ไม่ถึงครึ่งที่น้องเจอครับ เรือนข้าวก็คือยุ้ง สภาพเก่ามาก ประตู หลังคาไม่แข็งแรง น้องต้องช่วยทำงาน ทั้งงานบ้าน งานรับจ้าง นุ้ยหัวดี อยากเรียนต่อแต่ไม่มีโอกาส”

“สงสารหรือริน” ฉัตรชลธรถามพลางจ้องลึกเข้าไปในดวงตาหลานชาย

“ชื่นชมครับคุณชาย นุ้ยเข้มแข็ง แล้วก็…อ่า…” แก้มขาวๆ ของสารินเปลี่ยนเป็นสีเข้ม “น้องน่ารักมาก”

ฉัตรชลธรหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน ส่วนหนึ่งนริศสำลักเส้นขนมจีนจนไอแค่กๆ

“ไม่คิดว่านายจะพูดอะไรแบบนี้ ฮ่าๆ”

“พี่รินอินเลิฟ”

สารินไม่ได้ปฏิเสธ อย่างที่หนึ่งนริศพูด เขากำลังอินเลิฟ น่าเสียดายที่เป็นเพียงรักข้างเดียว

หลังกินเสร็จหนุ่มๆ ปรียาธรช่วยกันเก็บถ้วยชาม หนึ่งนริศสมทบกับเบนจามินที่ชมกล้วยไม้อย่างสนใจ

“นายพลสัญญารู้เรื่องนายแล้ว” คุณชายฉัตรเอ่ยเรื่องสำคัญที่ดั้นด้นมาหาสารินถึงบ้าน

“คุณรัญคงเรียนให้ท่านทราบ”

“ได้ยินว่านายพลโทรไปเฉ่งพ่อนาย”

“ครับ” สารินก็รู้เรื่องนี้เหมือนกัน เป็นเหตุให้เข้าหน้าบิดาไม่ติด ในกรมเขาไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าพบพันเอกดนู ผู้ให้กำเนิดยังโกรธมาก แทบจะตัดพ่อตัดลูก โดยเฉพาะเมื่อบิดาของเนรัญชราโทรศัพท์มาต่อว่าความสัมพันธ์อันดีระหว่างสองนายทหารใหญ่ง่อนแง่นเต็มที “จบแบบเงียบๆ โชคดีที่เรื่องของผมกับคุณรัญคนรู้น้อย ไม่อย่างนั้นคุณรัญจะเสียหาย”

“สวยอย่างที่บอกหรือเปล่า”

“ครับ สวยมาก” สารินไม่ปฏิเสธเรื่องรูปร่างหน้าตา แต่เขาไม่เหลือสายตาไว้มองใครและไม่เหลือใจให้สาวใดอีกแล้ว

“นายหนึ่งเพ้อถึงอยู่พักนึง” ฉัตรชลธรมองไปที่หนึ่งนริศ “พอฉันบอกว่าเป็นคู่หมายนาย มันจ๋อยไปเลย แต่ตอนที่รู้ว่านายกลับมาจากใต้แล้วพาเมียมาด้วย มันก็ระริกระรี้เหมือนปลากระดี่ได้น้ำ”

“คุณรัญสวย นิสัยดี เธอมีน้ำใจ นี่ก็ช่วยติวข้อสอบภาษาอังกฤษให้นุ้ย”

“ติวที่ไหน”

“มหาวิทยาลัยครับ เธอเรียนจบแล้ว แต่กำลังทำปูมรุ่นก็เลยไปที่คณะบ่อยๆ”

“ชวนไปบ้านสิ” ฉัตรชลธรหมายถึงวังปรียาธร “เดือนหน้าฉันจะจัดงานวันเกิด เลี้ยงส่งเบนด้วย เลี้ยงต้อนรับแมนดี้ด้วย”

“คุณแมนดี้กลับมาหรือครับ” สารินถาม หัวคิ้วขมวดมุ่น ใครๆ ก็รู้ว่าน้าชายของเขาขึ้นชื่อเรื่องเจ้าชู้ เจ้าสำราญ ควงหญิงสาวไม่ซ้ำหน้า แต่คนที่ชัดเจนเป็นที่รับรู้ทั้งสังคมคือดาราสาวลูกครึ่งไทย-ฮ่องกง แมนดี้ เมธาวดี หรือแมนดี้ ชุง

“อืม แมนดี้ถ่ายหนังเสร็จแล้ว”

“จะมีข่าวดีไหมครับคุณชาย” สารินเห็นว่าคุณน้าที่อายุมากกว่าเขาเพียงเก้าปีควรลงหลักปักฐานกับใครสักคนได้แล้ว ไม่ใช่ลอยไปลอยมาไม่จริงจังกับใครอย่างนี้

“ยังๆ ฉันไม่รีบ” ชายหนุ่มอายุสามสิบสามหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ไม่เหมือนนาย ปุบปับรักเด็กสิบแปด”

สารินไม่ตอบโต้ เพราะที่ฉัตรชลธรพูดมานั้น…เป็นเรื่องจริง

“นายกับนุ้ยต้องไปให้ได้นะ นี่เป็นคำสั่ง”

“ครับคุณชาย น้องนุ้ยคงตื่นเต้นมาก”

“ชวนรัญมาด้วย ฉันช่วยหนึ่งได้เท่านี้ ที่เหลือก็แล้วแต่ความสามารถของมัน ไม่น่าเชื่อ…คนเรียบร้อย จีบใครไม่เป็นอย่างนายจะมีเมียก่อนฉันก่อนนายหนึ่ง เห็นนิ่งๆ ทำเป็นด้วยแฮะ”

“ทำอะไรหรือครับ” สารินถามพาซื่อ

“ทำอย่างว่าไง”

สารินหลบตาน้าชาย ไม่ได้แพร่งพรายว่าตั้งแต่โตเป็นหนุ่ม…ไม่เคยทำ ‘อย่างว่า’ กับใคร

 

โรงเรียนกวดวิชาตรงหน้าศรีนางเป็นห้องแถวสองชั้นสองคูหา ด้านหน้าอาคารมีเด็กนักเรียนยืนรออยู่เต็ม สาวน้อยจากต่างจังหวัดก้มมองตัวเอง เธอสวมชุดเก่ง คือเสื้อคอบัวกับกระโปรงสีพื้นยาวครึ่งน่อง แล้วมองเด็กสาวรุ่นราวคราวเดียวกัน บางคนสวมกางเกงยีนส์กับเสื้อไหมพรม บ้างก็สวมมินิสเกิร์ต เสื้อยืดสีสดใส บ้างก็สวมเอี๊ยมน่ารักๆ ทุกคนร่าเริงสมวัย แม้กระทั่งคนที่เดินผ่านไปผ่านมาล้วนดูดีสวมเสื้อผ้าสวยงามและทันสมัย

ศรีนางเหลือบมองคนข้างๆ ที่มาส่งเธอเข้าเรียนวันแรก สารินแต่งกายสุภาพเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงผ้าทวีดสีเข้ม โดดเด่นดูดีโดยไม่ต้องพยายาม เธอเห็นสาวๆ หลายคนส่งสายตาให้ชายหนุ่มอย่างเปิดเผย เห็นแล้วหงุดหงิดใจบอกไม่ถูก

“เรียนเสร็จแล้วพี่มารับ”

“ระหว่างนี้พี่รินทำอะไร”

“รอแถวนี้แหละ” สารินส่งยิ้มให้กำลังใจ

“พี่ริน” ศรีนางประหม่า เธอกำกระโปรงตัวเอง อีกข้างยึดชายเสื้อสารินไว้แน่น สีหน้าเหมือนเด็กหลงทาง เธอเป็นเด็กสาวจากชนบทที่กำลังก้าวสู่สังคมเมือง อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโดดเดี่ยวแปลกแยก

“ไม่มีอะไรต้องกังวล” สารินวางมือบนกลุ่มผมนุ่มแล้วโยกเบาๆ อย่างเอ็นดู “โรงเรียนกวดวิชามีนักเรียนจากทั่วสารทิศ บางคนก็มาจากต่างจังหวัดเหมือนน้อง บางคนสอบปีที่แล้วไม่ติดก็มาเรียนใหม่ บางคนก็เรียนเพื่อเตรียมตัวสอบเทียบ”

“คนเยอะจัง” ศรีนางมองไปรอบๆ

สารินเข้าใจความหมายของสาวน้อย จึงย่อกายจนใบหน้าอยู่ในระดับเดียวกัน ชายหนุ่มสบตากลมโต “ไม่จำเป็นต้องแข่งกับใครหรอก…แข่งกับตัวเอง ทำให้ดีที่สุด ถ้าเต็มที่แล้วไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น น้องจะไม่เสียใจ”

ศรีนางพยักหน้า ในใจอุ่นวาบอย่างประหลาด ไม่เพียงดูแลความเป็นอยู่ สารินยังห่วงใยสภาพจิตใจของเธอด้วย

“ขอบคุณค่ะ”

“ตั้งใจเรียนล่ะ”

“ค่ะ นุ้ยจะตั้งใจเรียน คุ้มค่าเรียนที่พี่รินจ่ายให้แน่นอน”

เมื่อถึงเวลา ศรีนางเดินตามคนอื่นๆ เข้าห้องเรียน จู่ๆ คนที่ไม่คาดคิดว่าจะมาเจอก็มองเหยียดด้วยหางตา มีเพื่อนหญิงชายกลุ่มใหญ่ล้อมหน้าล้อมหลัง

“หนูดี” ศรีนางร้องทักลาวัลย์ ดีใจที่ได้เจอคนรู้จักคุ้นเคย “เรียนที่นี่เหมือนกันหรือ”

“ใครอะหนูดี เธอรู้จักด้วยเหรอ” คนพูดเป็นเพื่อนหญิงที่ยืนข้างๆ น้องสาวต่างแม่สาริน

“ไม่รู้จัก” ลาวัลย์เชิดหน้าสูง วางตัวสูงส่งกว่าราชนิกุลอย่างฉัตรชลธรกับหนึ่งนริศเสียอีก

“ฉันก็คิดอย่างนั้น ลูกนายพันอย่างเธอจะรู้จักยายคนปอนๆ ได้ยังไง”

คนปอนๆ ก้มมองเครื่องแต่งกายตัวเองอีกครั้ง เห็นลาวัลย์เดินแยกไปอีกห้อง ซึ่งสอนวิชาภาษาต่างประเทศ ส่วนศรีนางเข้าห้องใหญ่กว่า เพราะมีนักเรียนมากกว่า เมื่อถูกเมินเธอก็ไม่ได้ใส่ใจ เลือกที่นั่งว่างด้านหลัง ตอนนั้นเสียงทุ้มห้าวของเด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงยานคางติดจะยียวน

“ตรงนี้มีใครนั่งปะ” คนพูดอายุรุ่นราวคราวเดียวกับศรีนาง แต่งกายจัดจ้าน กางเกงยีนส์ขาม้า เสื้อยืดสีแสบตา สวมหมวกแก๊ปและแว่นกันแดด

“ไม่มี”

“ชื่ออะไร ไม่เคยเห็น”

“ชื่อนุ้ย” ศรีนางตอบ จากนั้นสมาธิของเธอก็จดจ่อกับเนื้อหาวิชาไม่ได้สนใจสายตาอยากรู้อยากเห็นของใครบางคน

“เราชื่อภาค” ชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ เครื่องแต่งกายล้ำสมัย ใบหน้าหล่อเหลา และท่าทางกวนๆ เมื่อรวมอยู่ในคนคนเดียว ชายชื่อภาคมีลักษณะบางอย่างที่ทั้งโอหังและมีความขบถอยู่ในตัว “พ่อเราอยากให้เรียนวิดวะ แม่ง…ไม่อยากเรียนว่ะ แต่พ่อบอกว่าถ้าเราเอนติดจะให้เบนซ์คันนึง น่าสนใจ เธอว่าไหม”

ศรีนางปรายตามองชายหนุ่มที่นั่งกระดิกเท้า เคี้ยวหมากฝรั่ง “ถ้าไม่เรียนก็ออกไป ฉันไม่มีสมาธิ”

ภาคินยกมุมปากขึ้นข้างหนึ่ง วางศอกบนเข่า เอียงศีรษะมองใบหน้าหญิงสาวที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน “บอกเรามาก่อนว่าเธอจะสอบอะไร”

“หมอ” ศรีนางตอบเพราะรำคาญอีกฝ่าย

ภาคินทิ้งแผ่นหลังพิงเก้าอี้ กอดอกแล้วพิจารณาสาวน้อยแปลกหน้ากับความสวยแปลกตาตลอดชั่วโมงเรียน

หลังจบวิชาเคมี ศรีนางที่กำลังออกจากอาคารชะงักเมื่อเพื่อนร่วมชั้นกวดวิชารั้งไว้

“นุ้ย”

“หืม”

“เราอยากเป็นเพื่อนกับเธอ”

“ก็เป็นสิ ไม่ต้องมาบอกหรอก ในห้องเรียนเมื่อกี้ฉันก็นับเป็นเพื่อนทุกคนแหละ ยกเว้นอาจารย์” ศรีนางพูดเร็วๆ เพราะสายมากแล้ว สารินคงรออยู่บริเวณนี้

ภาคินมองสาวน้อยเดินหายจนลับสายตา พร้อมความรู้สึกประหลาดๆ เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน

“พี่ภาคขา ไปกินพิซซ่าด้วยกันมั้ยคะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มเพื่อนของลาวัลย์เอ่ยชวนภาคินแทนลูกคุณหนูที่ยืนเชิดหน้าอยู่ไกลๆ “ยายหนูดีก็ไปด้วยนะ”

ภาคินเหลือบมองลูกสาวนายพันที่เคยให้ความสนใจแวบหนึ่ง แต่ตอนนี้เขาพบว่าตัวเองสนใจคนอื่นมากกว่า “ไม่ละ วันนี้ไม่อยากกินพิซซ่า”



Don`t copy text!