ศรีนาง ตอนที่ 13 : กัก

ศรีนาง ตอนที่ 13 : กัก

โดย : เมษาริน

Loading

ศรีนาง โดย เมษาริน นวนิยายที่อ่านเอานำมาให้ทุกคนได้อ่านออนไลน์ทาง anowl.co กับชะตาชีวิตของ ศรีนาง สาวชาวบ้านผู้อาภัพเพราะบิดามารดาจากไปด้วยโรคร้าย และนั่นเป็นแรงผลักดันให้เธออยากเป็นหมอ แต่เธอขาดก็คือโอกาสดีๆ นั้น กระทั่งโชคชะตาชักนำให้เธอช่วยชีวิตนายทหารหนุ่มชาวกรุง ผู้ทำให้ชีวิตของเธอไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป

ในห้องนั้นเล็ก แคบ ปิดทึบ และไม่มีหน้าต่าง ชายหนุ่มที่โดนจำกัดอิสรภาพนั่งบนพื้นแหงนหน้ามองแสงไฟจากหลอดฟลูออเรสเซนต์ เผลอยกข้อมือซ้ายเพื่อดูนาฬิกา แต่นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้รับอนุญาตให้ครอบครองของใช้ส่วนตัว สารินถอนหายใจใช้สัญชาตญาณคาดเดาเวลา

เขาไม่รู้ว่าอยู่ในนี้มาแล้วกี่ชั่วโมง กี่นาที แต่ทุกลมหายใจเข้าออกคะนึงหาสาวน้อยที่ทิ้งไว้ข้างหลัง ลำพังตัวเองสารินไม่กังวล ในนี้ไม่ได้ลำบาก แต่ไม่ถึงกับสะดวกสบาย คิดแล้วก็นึกละอายใจ เพียงวันแรกที่ให้สัญญาว่าจะดูแลก็ทำไม่ได้เสียแล้ว

นายทหารหนุ่มถอนหายใจหนักหน่วง ฝากความหวังไว้ที่น้าชาย ระหว่างที่กำลังคิดวุ่นวาย ประตูก็ถูกเปิดจากด้านนอก…

คนที่ก้าวเข้ามาในห้องเป็นนายทหารคนสนิทของบิดา ครู่เดียวพันเอกดนูก็ปรากฏตัวด้านหลัง

สารินยืนตรงทำความเคารพ ภายในห้องเล็กๆ เงียบกริบจนได้ยินเสียงลมหายใจ บรรยากาศอึดอัดจนสัมผัสได้ ทหารคนสนิทของพันเอกดนูมองพ่อทีมองลูกทีก่อนค่อยๆ เร้นกายออกจากห้องเงียบๆ

หลังจากใช้เวลาทั้งวันขบคิดเรื่องสาริน พันเอกดนูก็เข้าใจความคิดของคนหนุ่ม อารมณ์คลั่งไคล้ ลุ่มหลงใช่จะหักห้ามใจได้ง่ายๆ แต่คนที่เคยผ่านประสบการณ์ความรักมาแล้วถึงสองครั้งมองอารมณ์อ่อนไหวพวกนี้เป็นเรื่องไร้สาระ ไม่เชื่อว่าความรักจะจีรังมั่นคง เมื่อถึงวันหนึ่งต้องจากกันอยู่ดี ไม่ว่าช้าหรือเร็ว

“ในรายงานเขียนว่าโดนงูกัด”

“ครับ”

“รักษากับหมอบ้าน?” ดนูเลิกคิ้วถามลูกชาย

“ครับ”

“เด็กคนนั้นเป็นหลานสาวหมอบ้านหรือ” ดนูถามทวนข้อมูลช้าๆ แต่ไม่รอฟังคำตอบ “รู้จักกันแค่ไม่กี่วัน ไม่ใช่รักหรอกริน ความรู้สึกฉาบฉวยพวกนั้นเรียกว่าหลง เลิกเสีย ให้เงินสักก้อนเป็นค่าเสีย…” เพศที่ถือตัวเป็นใหญ่ในสังคมเปลี่ยนคำพูดใหม่ให้ดูดี “ค่าทำขวัญ”

สารินตะลึงกับคำพูดของบิดา ใครจะดูถูกความรักของเขาก็ช่าง ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ ทว่าเมื่อเป็นผู้ให้กำเนิด ใจสารินปวดหนึบ ความศรัทธาในตัวบิดาค่อยๆ จางลง

“อ้อ…แหวนคุณแม่ เอาคืนมาด้วย เข้าใจไหม”

“เข้าใจครับ” สารินตอบทันทีหลังได้ยินคำสั่ง

“ดี เรื่องคู่ครองสำคัญนะริน หนูรัญเป็นลูกสาวคนเดียวของท่านนายพลสัญญา เพิ่งเรียนจบอักษร เอกภาษาอังกฤษ หน้าตาสะสวย กิริยามารยาทเรียบร้อยสมเป็นกุลสตรี ไม่เหมือน…เอาละๆ ถ้าว่าง่ายๆ พ่อจะสั่งปล่อย”

“ผมเข้าใจที่คุณพ่อพูดทุกอย่าง แต่…” สารินสบสายตาคมกริบของบิดาอย่างท้าทาย “ผมทำอย่างนั้นไม่ได้ น้องนุ้ยเป็นเมียผม ผมไม่เลิกกับเธอ”

กล้ามเนื้อบนใบหน้านายทหารยศพันเอกกระตุก คนเป็นพ่อมองลูกชายตัวเองเหมือนไม่เคยเห็น รอยช้ำมุมปาก รอยนิ้วมือบนแก้ม และคำสั่งกักบริเวณ ไม่ได้ทำให้สารินสำนึกผิด

“ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับหนูรัญ ส่วนเมียแก…” ดนูคิดง่ายๆ ลูกชายวัยยี่สิบสี่กำลังรุ่มร้อนและลุ่มหลง “ถ้าไม่เลิกก็เก็บให้มิดชิด ให้เป็นบ้านเล็ก”

“อะ…อะไรนะฮะ” สารินถาม ไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“แกจะมีเมียกี่คนก็ได้ แต่เมียแต่งต้องเป็นหนูรัญ”

สารินสูดหายใจเข้าลึก สบตาบิดาประกาศความตั้งใจ “ผมจะมีเมียแค่คนเดียวและคนนั้นคือศรีนาง”

ดนูกำมือแน่นสั่งตัวเองให้ใจเย็นๆ เขามองหน้าลูกชายที่ประพิมพ์ประพายคล้ายแม่อย่างฉุนเฉียว ก่อนออกจากห้องจึงสั่งทหารยามด้านหน้าด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าว

“ห้ามใครเยี่ยมร้อยตรีสารินเด็ดขาด”

 

ชุดเก้าอี้เหล็กดัดริมรั้วบ้านนายทหารยศพันเอก ทำหน้าที่รองรับแขกที่มาหาศรีนางอีกครั้งยามเย็น ครั้งนี้ฉัตรชลธรพาเพื่อนชาวอังกฤษมาด้วย เพราะอีกฝ่ายรบเร้าอยากเห็นหน้าเมียสาริน ทันทีที่เบนจามินเจอศรีนาง นักวิจัยหัวแดงอึ้งไปครู่หนึ่งด้วยไม่คาดคิดว่า ‘เมียเด็ก’ ที่ชาร์ลส์พูดถึงคือเด็กสาวร้านโกรเซอรีที่เขื่อน

สองคนทักทายกันสั้นๆ เพราะเบนจามินพ่นประโยคภาษาอังกฤษรัวเร็วจนศรีนางฟังไม่ทัน แปลไม่ออก

ส่วนฉัตรชลธรประหลาดใจ เพื่อนชาวอังกฤษจึงบอกเล่าสั้นๆ ว่าเขากับสารินรู้จักศรีนางตั้งแต่ไปเก็บข้อมูลทำวิจัยที่เขื่อน คุณชายฉัตรหรี่ตามองหลานสะใภ้ เชื่อว่าเรื่องราวของสองหนุ่มสาวมีอะไรบางอย่างมากกว่านั้น แต่ศรีนางให้คำตอบเพียงสั้นๆ ว่า

‘แค่เรื่องบังเอิญค่ะคุณน้า’

ฉัตรชลธรไม่คาดคั้น เพราะมีเรื่องสำคัญที่เขาต้องบอกให้หลานสะใภ้รู้ เนื่องจากได้รับจดหมายจากนายแพทย์วิภูที่มาส่งด้วยตัวเองถึงบ้านปรียาธร ข้อความสั้นๆ ของสารินทำให้ฉัตรชลธรรีบร้อนย้อนกลับมาอีกครั้งช่วงบ่ายแก่ๆ

สมาชิกครอบครัวของดนู อยู่กันพร้อมหน้าบ้านในหลังใหญ่ ยกเว้นลูกชายคนโต

ทันทีที่เห็นหน้าฉัตรชลธร ดนูมีสีหน้าไม่พอใจ แต่เพราะเกรงใจในฐานันดรศักดิ์จึงไม่กล้าเอ่ยปากไล่ ทว่าไม่ยอมสนทนาด้วย และปฏิเสธทุกคำถามที่เกี่ยวกับสาริน เอ่ยเพียงประโยคเดียว

‘รินเป็นลูกของผม คุณชายไม่ต้องกังวล’

นั่นหมายถึงอย่าก้าวก่ายเรื่องของพ่อลูก ฉัตรชลธรจึงทำได้เพียงมาหาศรีนางตามที่สารินร้องขอในจดหมาย

“วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” คุณน้ายังหนุ่มถามเมียหลานชาย

“คิดถึงบ้านค่ะ” ขอบตาศรีนางแดงก่ำ เจ้าตัวพยายามกลั้นน้ำตา บ้านไม้ริมคลองอิปันที่ไม่เคยอาลัยอาวรณ์ปรากฏในห้วงความคิด แม้ที่นั่นไม่ได้อบอุ่น แต่เธอก็คุ้นเคยและสบายใจกว่าบ้านสวยๆ หลังนี้ “นี่เย็นมากแล้ว พี่รินยังไม่กลับมา พอพี่รินไม่อยู่ นุ้ย…นุ้ยรู้สึกเหมือนถูกทิ้ง”

“รินโดนสั่งขัง” ฉัตรชลธรไม่รู้ความแตกต่างระหว่างขังกับกัก ในความคิดของเขา หลานชายโดนจำกัดอิสรภาพด้วยคำสั่งพ่อตัวเอง

“โธ่ พี่รินเดือดร้อนเพราะนุ้ย” ขอบตาสาวน้อยแดงกว่าเดิม สองมือเล็กบีบแน่นเพื่อระงับอารมณ์อ่อนไหว “คุณน้าพอจะทราบไหมคะว่ากี่วัน”

“ฉันไม่รู้หรอก นุ้ยต้องถามเสธ.”

“ไม่มีใครคุยกับนุ้ยค่ะ” ศรีนางรายงานเสียงอ่อน เมื่อครู่เธอเพิ่งเจอสมาชิกที่เหลือในบ้านคือเลิศพงศ์วัยสิบแปดและลาวัณย์วัยสิบเจ็ด ทั้งคู่มองเธอเหมือนอากาศธาตุ ส่วนคุณนายลออก็สั่งให้แม่บ้านเฝ้าหน้าห้องเพราะกลัวว่าเธอจะขโมยของมีค่าในบ้าน “ทุกคนมองนุ้ยเหมือนตัวประหลาด”

“ไปอยู่กับฉันดีกว่า” ฉัตรชลธรคิดเร็วทำเร็ว เดิมเขาก็ไม่ชอบครอบครัวใหม่สารินเป็นทุน ยิ่งรู้อย่างนี้ยิ่งรังเกียจ

“ขอบคุณคุณน้า” ศรีนางพนมมือไหว้คุณชายใจดีมีน้ำใจ “แต่นุ้ยไปไม่ได้ค่ะ นุ้ยจะอยู่รอพี่รินที่นี่”

ใบหน้าฉัตรชลธรเคร่งเครียดแต่ก็ยอมตามใจหลานสะใภ้ “ฉันถามรุ่นพี่ของริน คำสั่งกักตัวไม่ได้ระบุวัน ไม่มีใครรู้ว่าเสธ.จะสั่งขังถึงเมื่อไหร่ อย่างไรก็อดทนนะ ฉันจะแวะมาบ่อยๆ”

“ค่ะ คุณน้า”

 

ศรีนางรอจนกระทั่งฉัตรชลธรกับเบนจามินขึ้นรถเก๋งคันใหญ่และขับออกไป สายลมปลายฤดูร้อนพัดผ่าน ความอ้างว้างแผ่กว้างเหมือนยืนอยู่ในดินแดนเปลี่ยวร้างเพียงลำพัง ลึกลงไปในใจสาวน้อยจากชนบทคือความกลัว ฝนหนึ่งเม็ดหล่นจากท้องฟ้ากระทบขนตางอนแล้วกลิ้งผ่านแก้ม เธอเงยหน้ามองเมฆดำอุ้มน้ำ อีกไม่นานหน้าฝนจะมาเยือน…ฤดูกาลผันผ่าน กาลเวลาทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อตรง ศรีนางตระหนักว่าขณะนี้เธอทำได้แค่รอ

“คุณชายคุยอะไรกับเธอ” คนพูดคือน้องสาวคนโตของสาริน ลัดดาปรี่เข้ามาถาม ใบหน้าบึ้งตึง สายตาเกรี้ยวกราดจับจ้องศรีนางท่าทางไม่พอใจ

“คุณน้าอยากให้นุ้ยไปอยู่ด้วย”

“โกหก” ลัดดาตะคอกใส่ น้องสาวต่างแม่ของสารินชะเง้อชะแง้มองไฟท้ายรถเก๋งอย่างอาวรณ์ วันนี้เธอพยายามส่งสายตาให้ฉัตรชลธร เจ้าของร่างสูงสง่า ใบหน้าหล่อเหลาคมคาย แต่อีกฝ่ายไม่แม้แต่ชายตามอง คุณชายเพียงรับไหว้แล้วถามหาศรีนาง เด็กบ้านนอกที่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าทั้งเก่าทั้งเชย “เอ๊ะ นี่แกเรียกคุณชายว่าคุณน้าเหรอ ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง” ลัดดาถามเพราะเพิ่งนึกขึ้นได้

“คุณน้าบอกว่าชอบที่นุ้ยเรียกแบบนี้” ศรีนางเจอคนมามาก ทั้งชาวบ้านในแถบชนบทริมคลองอิปัน ชาวเมืองที่ค้าขายกับเทียนจ๋าย แม้กระทั่งกลุ่มคนมีความรู้จนถึงคนงานสร้างเขื่อน ทำไมจะอ่านอาการพาลพาโลของลัดดาไม่ออก “คุณน้าเป็นน้องชายคุณแม่พี่ริน ส่วนนุ้ยก็เป็นเมียพี่ริน”

“พี่รินยังเรียกคุณชายฉัตรว่าคุณชาย เธอมันสะเออะ”

“เจ้าตัวอนุญาต คนอื่นจะเดือดร้อนทำไม” ศรีนางถาม แกล้งทำหน้าใสซื่อ

“แกตั้งใจจับพี่รินละสิ” ลัดดาตวัดสายตามองศรีนาง ผิวสีขาวเหลือง เครื่องหน้าสวยแปลก และคำพูดคำจาฉะฉานไม่ติดสำเนียง ทุกอย่างที่เกี่ยวกับเมียพี่ชายประหลาดและย้อนแย้ง “ฉันจะคอยดูว่าเธอจะอยู่ได้กี่วัน”

คนที่มีศักดิ์เป็นพี่สะใภ้แต่อายุน้อยกว่า มองคนที่อยู่ในชุดนักศึกษาอย่างสนใจ ไม่ได้สนใจคำพูด แต่สนใจเรื่องเรียน “ดาเรียนที่ไหนเหรอ”

ลัดดาไม่สนใจคำถาม แต่ไม่พอใจที่ศรีนางเรียกเธอว่า ‘ดา’ เฉยๆ “เอ๊ะ เธอต้องเรียกฉันว่าคุณดา”

“นุ้ยเรียกตามพี่รินน่ะ” ศรีนางมองกระดุมเงินบนเสื้อนักศึกษาสีขาวอย่างสนใจ “เรียนที่ไหน เรียนอะไร”

“บอกไปเธอก็ไม่รู้จักหรอกย่ะ อ่าน เขียน ได้หรือเปล่าก็ไม้รู้”

“ได้สิ” ศรีนางอธิบายตัวเอง “นุ้ยอ่านออก เขียนได้ เพิ่งจบมอหก”

ลัดดามองศรีนางอย่างด้วยสีหน้าแววตาดูถูกเหยียดหยาม ตอนนั้นแม่บ้านสาวใหญ่เดินมาพอดี

“นุ้ย คุณเดี่ยวมีเรื่องจะคุยด้วย ท่านรอที่ห้องทำงาน” ป้าแอ๊ดได้รับคำสั่งจากพันเอกดนูพาศรีนางไปพบ

“ค่ะ” ศรีนางทันเห็นลัดดาบิดริมฝีปาก มองต่ำอย่างดูแคลน สาวน้อยจากพื้นที่ห่างไกลกัดริมฝีปากสั่งตัวเองไม่ให้ทำกิริยาแบบนั้น ถึงจะถูกตราหน้าว่าบ้านนอก แต่ศรีนางก็รู้มารยาทและกาลเทศะ

ห้องทำงานของพันเอกดนูตั้งอยู่ชั้นล่าง ถัดจากห้องรับแขก ภายในมีโต๊ะไม้ตัวใหญ่ขัดถูสะอาดสะอ้าน หลังโต๊ะเป็นตู้กระจก ประดับด้วยวุฒิการศึกษา ประกาศนียบัตรหลักสูตรต่างๆ เหรียญกล้าหาญ และของสะสม นั่นคือปืนโบราณกระบอกสีดำด้ามจับสีทองสลักลวดลายวิจิตร

เจ้าของห้องนั่งอ่านหนังสือพิมพ์หลังโต๊ะทำงาน ส่วนหญิงสาวที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสะใภ้ยืนเคว้งอยู่กลางห้อง กระทั่งได้รับคำสั่งสั้นๆ จากเสียงดุเข้มและเต็มไปด้วยอำนาจ

“นั่ง”

ศรีนางสูดหายใจเข้าลึก ขยับจากกลางห้องแล้วทรุดกายลงนั่งฝั่งตรงข้าม มองดนูที่ค่อยๆ ลดกระดาษหนังสือพิมพ์ พับครึ่ง แล้ววางกลางโต๊ะ

“ที่นี่รับหนังสือพิมพ์วันละสามฉบับ สองฉบับแรกเป็นภาษาไทย อีกฉบับเป็นภาษาอังกฤษ ทุกเช้ารินจะอ่านหนังสือพิมพ์ทั้งสามหัว คัดกรองว่าเรื่องไหนสำคัญ แล้วสรุปความให้ฉันฟัง”

ศรีนางพยักหน้า รับฟังอย่างตั้งใจ

“รินอ่านหนังสือเร็ว เชี่ยวชาญทั้งสองภาษา สรุปใจความสำคัญได้กระชับครบถ้วน เธอคิดดูแล้วกันว่ารินเก่งและจัดลำดับความคิดได้ดีแค่ไหน”

“ค่ะ พี่รินเป็นคนเก่ง” ศรีนางรู้ดี นอกจากเป็นคนเก่ง เขายังเป็นคนดีอีกต่างหาก

“ช่วงที่รินไม่อยู่ ฉันเลือกหลายคนมาทำหน้าที่แทน แต่ไม่มีใครทำได้ดีเท่าลูกชายฉัน” ดนูวางสองมือบนโต๊ะ ดวงตาคมกริบจ้องมองหญิงสาววัยสิบแปดอย่างพินิจพิจารณา สงสัยว่าลูกชายที่อยู่ในโอวาทมาตลอด ‘ติดใจ’ อะไรเด็กคนนี้ “คนเก่งอย่างรินมีอนาคตที่ดีรออยู่ ฉันปูทางเตรียมพร้อมทุกอย่างเพื่อความก้าวหน้าของริน เธอเข้าใจที่ฉันพูดหรือเปล่า”

“เข้าใจค่ะ” ศรีนางไม่กลัวเจ้าของบ้าน เธอสบตาคมของอีกฝ่ายแล้วถามเรื่องที่อยากรู้ “เมื่อไหร่พี่รินจะกลับมาคะ”

ดนูไม่ตอบในทันที ท่านเสนาธิการทิ้งแผ่นหลังพิงพนัก “รินทำผิด ต้องโดนลงโทษ”

คนฉลาดอย่างศรีนางรู้ทันทีว่า ‘ความผิด’ ของชายหนุ่มคืออะไร เมื่อตัดสินใจว่าจะอยู่ที่นี่ในฐานะภรรยาสาริน หญิงสาวจึงตั้งใจสวมบทบาทนั้นให้ดีที่สุด

“ความรักของเราสองคนไม่ใช่เรื่องผิดบาป” ศรีนางมองผ่านหน้าต่าง ท้องฟ้าด้านนอกยังปกคลุมด้วยเมฆคล้อยต่ำสีดำเข้ม ค่ำแล้ว…สารินยังไม่กลับมา “ไม่ควรโดนลงโทษค่ะ”

“คู่หมายของรินเป็นบัณฑิต” ดนูเปลี่ยนประเด็น ไม่อยากพูดเรื่องที่ใช้อำนาจแทรกแซงการลงโทษสาริน “เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง”

ศรีนางรู้จุดประสงค์ รู้ว่าคนตรงหน้าต้องการอะไร เธอคิด เรียบเรียงคำพูด แล้วเอ่ยอย่างมั่นใจระคนท้าทาย “แล้วถ้านุ้ยได้เป็นบัณฑิตล่ะคะ ถึงตอนนั้นเหมาะสมคู่ควรกับพี่รินหรือเปล่า”

“หมายความว่าเธอจะเรียนต่อ?”

“ค่ะ นุ้ยจะสอบเข้ามหาวิทยาลัย”

ดนูนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนหัวเราะเสียงดังเหมือนได้ยินเรื่องขบขันที่สุด “เอาเถอะ อย่างน้อยวันนี้ฉันก็หัวเราะได้เพราะเธอ”

“คุณ…เอ่อ…” ศรีนางไม่รู้ว่าควรเรียกบิดาสารินว่าอย่างไร หลังคิดทบทวน ในที่สุดเธอก็ตัดสินใจ “คุณพ่อจะปล่อยพี่รินเมื่อไหร่คะ”

อีกฝ่ายจ้องเขม็งตอนถูกเรียกว่าพ่อ ไม่ได้ปฏิเสธหรือสั่งห้าม แต่ไม่ตอบคำถามของศรีนาง

“พรุ่งนี้นุ้ยจะอ่านข่าวแล้วสรุปให้คุณพ่อฟังค่ะ”

“ว่าอย่างไรนะ” ดนูไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้

“หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาอังกฤษนุ้ยคงสรุปใจความให้ไม่ได้ค่ะ ไม่เก่งภาษา” หญิงสาวยอมรับอย่างตรงไปตรงมา

“นี่หมายความว่าเธอจะสรุปข่าวแทนริน?” เสนาธิการเลิกคิ้วถาม

“ค่ะ ถ้านุ้ยทำได้ดีเป็นที่พอใจ นุ้ยขอให้คุณพ่อปล่อยพี่ริน ได้หรือเปล่าคะ”

ดนูไม่เคยอยากได้ศรีนางเป็นสะใภ้ แต่ต้องยอมรับว่าเด็กคนนี้จริงใจและกล้าได้กล้าเสีย

“หนังสือพิมพ์มาส่งประมาณตีห้าครึ่ง อาหารเช้าเจ็ดโมงตรง ปกติรินจะสรุปข่าวให้ฟังระหว่างนั่งรถไปทำงานด้วยกัน เธอไม่ได้ไปกับฉัน เพราะฉะนั้นมีเวลาระหว่างมื้อเช้าเท่านั้น คิดว่าทำได้หรือเปล่า”

แววตาศรีนางมุ่งมั่น “นุ้ยทำได้ค่ะ”

 

คืนนั้นศรีนางนั่งมองหนังสือของสารินที่เรียงรายแน่นชั้นวาง เธอเลือกมาหนึ่งเล่ม เปิดหน้าแรกค้างไว้ อ่านบรรทัดเดิมซ้ำไปซ้ำมาเพราะไม่มีกะจิตกะใจและไม่มีสมาธิ ความคิดกระหวัดถึงเจ้าของห้อง เขาจะอยู่อย่างไร กินอะไร ได้นอนไหม แผลที่เท้าหายดีหรือยัง ความคิดสับสนกระวนกระวายจนศรีนางเลือกปิดหนังสือ เธอลุกจากโต๊ะไปยืนริมหน้าต่าง เปิดม่านมองผ่านความมืด ฝนหนึ่งเม็ดเมื่อช่วงเย็นตกลงมาเป็นสาย บอกลาหน้าร้อนของปี

ความเหนื่อยล้าสะสมทำให้สาวน้อยตาปรือ เมื่อคืนบนรถไฟเธอหลับๆ ตื่นๆ ทั้งยังครั่นเนื้อครั่นตัวจากอาการป่วยและแก้มบวมช้ำ ศรีนางล้มตัวนอนบนเตียงสาริน ได้กลิ่นหอมสะอาดจากหมอนและผ้าห่ม ฟูกนุ่มต่างจากที่นอนแข็งๆ ของเธอที่เรือนข้าว

อย่างไรก็ตาม ศรีนางไม่ได้นอนอย่างสบาย เธอสั่งตัวเองให้พักผ่อน เพื่อให้สมองปลอดโปร่ง พรุ่งนี้มีเดิมพันสำคัญ หากเธอทำได้ดีเป็นที่พอใจ เชื่อว่าท่านเสนาธิการจะปล่อยตัวบุตรชาย



Don`t copy text!