ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 12 : มหรสพ…อลหม่าน

ดั่งมนต์สุคนธา บทที่ 12 : มหรสพ…อลหม่าน

โดย : สิปัณฑ์

Loading

ดั่งมนต์สุคนธา นวนิยายจากโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 โดย สิปัณฑ์ เมื่อโชคชะตาเล่นตลกราวกับคลื่นคลั่งที่มิอาจหยั่งรู้แห่งมหานทีเกษียรสมุทร “ ริชา” หญิงสาวชาวมนุษย์ที่ต้องเข้าไปพัวพันท่ามกลางความขัดแย้งของสองดินแดน และเมื่อยามสุคนธาแห่งดอกไม้ทิพย์ล่องลอยไปตามสายลม บัดนั้นจึงโหมพัดเชื้อเพลิงแห่งไฟอัคคีให้ลุกโชติช่วงอีกครา

เสียงอึกทึกที่ดังขึ้นพร้อมๆ กับแรงสั่นสะเทือนที่บริเวณลานหินกว้าง ณ บริเวณไม่ไกลจากปราสาทใหญ่แห่งพิภพสอสุรา เจ้าของร่างกำยำปรากฏกายออกมาจากแสงสว่างนั้นอย่างฉับพลันก่อนที่ทหารอสูรที่อยู่บริเวณนั้นจะรีบหมอบกราบลงในทันที

ยะษาที่ถูกพระเวทของศิคินส่งกลับมาที่พิภพอสุรานั้นมีใบหน้าที่แสนหงุดหงิด ด้วยรู้สึกโมโหอยู่ไม่น้อยที่ถูกเทพอัคคีกระทำเช่นนี้

“ยะศิณา!” เสียงเรียกด้วยโทสะที่ดังกึกก้องแต่ไร้ซึ่งการตอบกลับใดจากคนเป็นน้อง “ไอ้เจ้าน้องคนนี้” เขาพึมพำก่อนจะถอนหายใจออกมา

“องค์ยะษา…” เสียงลนลานที่เข้ามาก่อนจะทำความเคารพโดยที่แม่ทัพแดนอสุรานั้นรับรู้ได้ในทันทีว่าผู้เป็นนายเหนือหัวกำลังไม่สบอารมณ์เพียงใด

“ดารันเจ้าอยู่ก่อน นอกเหนือจากนั้นออกไปให้หมด!”

สุรเสียงทรงอำนาจของเจ้าแห่งอสุราที่บัดนี้เมื่อรวมกับโทสะที่มีต่อเทพศิคินนั้น ยิ่งทำให้เหล่าบรรดาทหารและนางผู้รับใช้ที่อยู่บริเวณนั้นรีบใช้พระเวทหายตัวจากบริเวณลานหินกว้างแทบจะยังไม่ทันสิ้นคำของผู้เป็นนาย

“ที่เราให้เจ้าประชุมพลเป็นอย่างไร”

“เป็นไปตามคำท่านไม่ผิด ทางแดนเทพนั้นก็กำลังเตรียมยกพลเช่นกัน”

“แล้วองค์อมรินทร์เล่า” ยะษาถามเสียงเรียบ

“มีเพียงองค์พายะแลองค์สมุทราที่พลับพลานั้น จากที่ข้าเห็นนั้นดูเหมือนพวกเทพเองก็ยังไม่กล้าทำกระไรเจ้าค่ะ” ดารันตอบพลางคิ้วเรียวของยะษาก็ขมวดเข้าหากันด้วยกำลังใช้ความคิด

“ที่มันยังใจเย็นเช่นนี้คงเพราะรอให้เราเป็นฝ่ายเริ่มเป็นแน่ หรือไม่มันก็รอดูท่าทีจากเทพอัคคีเสียก่อนว่าพวกเราจะกระทำเช่นไรต่อไป” รอยยิ้มที่ชั่วช้าของเจ้าแห่งอสุราก็ค่อยๆ คลี่ออก

“เห็นทีครานี้ข้าเองจะไปเคาะสนิมหนาของทหารแดนเทพเสียหน่อย อยากจะรู้นักว่าไฟเทพขององค์ศิคินจะยังเหมือนเดิมหรือไม่”

“หมายความอย่างไรหรือองค์ท่าน” ดารันถามขึ้นด้วยความสงสัย

“ข้าเพียงนึกสงสัยว่าในตอนนั้น…จึงลองใช้แหวนนิลกาฬเพราะถ้าไฟกัลป์นั้นยังอยู่มันจะต้องตอบสนองต่อนิลกาฬเป็นแน่ แล้วก็เป็นอย่างที่ข้าคิด”

“ไฟกัลป์จากพิษหะลาหละหรือองค์ท่าน”

“ไม่ผิดแน่ ข้าสัมผัสถึงมันได้ตอนที่มันจวนเจียนจะทะลุดวงจิตของมนุษย์นั้นออกมา ทีแรกข้าก็นึกไปว่าที่อัคคีเทพของไอ้ศิคินนั้นมีไว้เพียงปกป้องนางจากเรา แต่หาใช่แค่เพียงนั้นไม่…”

ยะษาหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้น ด้วยตนยังคงมีข้อสงสัยที่ต้องพิสูจน์อีกข้อให้กระจ่างชัด และนั่นหมายถึงเขาอาจจะกำชัยเหนือเทพอัคคีได้ไม่ยากนัก

“ลั่นกลองรบเสียดารัน เราจะไปที่ชายแดนเขาพระสุเมรุ!”

ตึง! ตึง! ตึง!

เสียงกลองรบดังสะเทือนเลื่อนลั่นปฐพีเป็นจังหวะพร้อมๆ กับเสียงโห่ร้องลั่นของบรรดาทหารอสุราที่ริมขอบชายแดน เสียงนั้นดังชัดจนไปถึงพลับพลาแก้วที่บัดนี้ร่างของเทพวาโยในชุดเกราะสีเงินกำลังนั่งทำสมาธินิ่งอยู่ที่อาสนะ

เช่นเดียวกับองค์ธาราสมุทราในชุดเกราะสีน้ำเงินเข้มที่รัศมีเทพสีทองยังคงส่องแสงสว่างเรืองรองออกมาจากร่างนั้น ก่อนที่ดวงเนตรคมจะค่อยๆ ลืมตาขึ้น

“แบ่งภาคจิต (1) กลับมาที่ดาวดึงส์บัดเดี๋ยวนี้”

แว่วสุรเสียงทรงพลังที่ดังขึ้นในจิตดั่งคำประกาศิต ทั้งพายะและสมุทราจึงแบ่งดวงจิตของตนออกเป็นร่างลักษณะคล้ายกับละอองเรืองสีของธาตุต้นกำเนิดของตนที่โอบล้อมด้วยละอองสีทองสุกปลั่ง ดวงจิตของทั้งคู่ตรงไปที่มหาปราสาทที่อยู่ ณ ใจกลางของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ในทันที

ณ มณฑลที่ตั้งของพลับพลาทองคำที่ประดับไปด้วยรัตนชาติเลอค่านั้น มีร่างของใครผู้หนึ่งกำลังหลับตานิ่งเข้าฌานสมาธิอยู่

กายาสีมรกตงดงามจับตารัศมีเทวาที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณ พายะและสมุทราหมอบกราบลงในทันทีด้วยความเคารพผู้เป็นดั่งบูรพาจารย์ รัศมีเทวาที่ส่องสว่างไปทั่วบริเวณแผ่ไปยังองค์เทพทั้งสองเหมือนดั่งว่ากำลังอำนวยอวยพร

“องค์ศิคินแลองค์มหิธรเล่าอยู่ที่ใด…” เสียงเรียบถามขึ้นแต่ไร้ซึ่งคำตอบใดจากองค์เทวาทั้งสอง

         

“เอาสายไหมชุดหนึ่งค่ะ” เสียงสดใสของชมแพรที่ริชาไม่ได้ยินมานานร่วมหลายสัปดาห์ที่ตื่นเต้นเสมอเมื่อเห็นขนมหวาน

เทศกาลการแสดงโขนที่จัดขึ้นในจังหวัดอยุธยานั้นยิ่งใหญ่ตระการตาสมการตั้งตารอเสมอในทุกปี ดวงตาเป็นประกายของหญิงสาวคนหนึ่งที่วันนี้ดูจะสดใสกว่าปกติ ทั้งที่ช่วงนี้ดูชีวิตเธอจะพบเจอกับมรสุมศึกหนักอยู่ไม่น้อย

“ชา…แกลองชิมหน่อย สายไหมนี้แป้งอร่อยมาก” ชมแพรยัดสายไหมที่จัดการม้วนเป็นคำเสร็จสรรพใส่ปากของเพื่อนในทันที

“อืม…นุ่มจัง!” เธอเคี้ยวแก้มตุ่ย แต่กระนั้นสายตาก็ยังคงมองไปรอบๆ เหมือนกำลังหาใครบางคน

“หาใครอยู่เหรอชา” เสียงนุ่มที่แสนคุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลัง พิภพที่ในมือถือน้ำมะพร้าวปั่นแก้วใหญ่ก่อนจะยื่นให้ชมแพรและริชาคนละแก้ว

“เปล่าหรอก เราก็ดูไฟดูคนไปเรื่อย…แล้วพ่อล่ะ”

“พ่อไปคุยกับเพื่อน ไม่คิดว่าไอ้แพรจะว่างมาเลยไปคุยเรื่องที่นั่งตอนดูโขน” พิภพสังเกตเห็นว่าริชานั้นแทบไม่ได้ฟังที่เขากำลังพูดเลย ด้วยเพราะสายตาเธอมองไปซ้ายทีขวาทีแทบจะตลอดเวลา

เมื่อสองวันก่อนที่งานประมูลการกุศลที่ไฟฟ้าดับทั้งงาน พิภพที่กำลังจะเดินเข้าไปในงานหลังจากแยกตัวออกมาจากยะศิณาจึงรีบติดต่อทีมงานให้มาดูระบบไฟฟ้าที่ขัดข้อง

เมื่อไฟฟ้ากลับมาใช้ได้ปกติทั้งริชาและศิคินก็เดินเข้างานมาพร้อมกัน วิษณุที่เห็นลูกสาวใบหน้าเปื้อนยิ้มจึงไม่ได้ซักไซ้แต่อย่างใด กลับกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนั้นมันแปลกตรงที่วิษณุไม่เห็นเลยว่าลูกสาวของตนเดินไปจากงานเมื่อใดทั้งที่ยืนอยู่ไม่ห่างกัน

“แต่ถ้าเขาไม่มาก็ดีนะ พ่อแกจะได้ไม่ต้องหาที่ใหม่ให้ไอ้แพร” เขาพูดขึ้นก่อนจะยกแก้วน้ำมะพร้าวปั่นขึ้นดื่ม จนคนที่ถูกจับได้ว่ากำลังมองหาศิคินถึงกับหน้าถอดสีแดงระเรื่อในทันที

“ฉันไม่ได้มองหาเขานะ” ริชาปฏิเสธเสียงแข็ง

“แกจะร้อนตัวทำไม ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าแกมองหาใคร” ชายหนุ่มบ่นอุบก่อนจะเดินตรงไปที่วิษณุที่เดินกลับมาตามบรรดาลูกๆ ของเขาให้เดินตามไปหาที่นั่งเพื่อที่จะรับชมการแสดงโขนในค่ำคืนนี้

“ริชา…” เสียงคุ้นหูดังขึ้นจากด้านหลัง ก่อนเจ้าของชื่อจะรีบหันไปในทันที

“นึกว่าคุณจะไม่มาซะแล้ว”

“คุณรอผมเหรอ” ศิคินถามขึ้นด้วยความดีใจก่อนริชาจะส่ายหน้าเบาๆ เป็นคำตอบ แต่คำตอบที่ดังในใจนั้นกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง

เมื่อไม่เห็นริชาเดินตามมากับชมแพร พิภพที่เดินนำมากับวิษณุจึงหยุดเดินแล้วหันหลังกลับไปมองในทันที ก็พบว่าตอนนี้ริชากำลังเดินตามมาโดยมีศิคินกำลังเดินอยู่ข้างๆ แล้วเช่นกัน

“ภพเคยคุยจริงจังกับชารึยังลูก” วิษณุที่เห็นสายตาของพิภพก็ทราบได้ในทันทีก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ “บางครั้งเรื่องบางเรื่องก็ยากจะอธิบายได้อย่างเป็นเหตุเป็นผลนะว่าไหม ภพก็รู้ว่าริชาปกติไม่เคยเปิดใจให้ใครง่ายๆ ถึงได้มีเพื่อนกับเขาน้อยนัก”

พิภพมองไปที่วิษณุด้วยสายตากังวล เพราะเขาเองนั้นก็รู้สึกเช่นเดียวกันด้วยตนกับริชาเติบโตมาด้วยกัน

“แล้วผมต้องทำยังไงครับ…” เขาถามด้วยน้ำเสียงสิ้นหวังอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะดูเหมือนโอกาสที่เคยมีมากมายจนไม่อาจนับกำลังเลือนหายไปทีละน้อย

“เรื่องนี้ไม่ต้องถามพ่อหรอก…พ่อว่าภพรู้ดีที่สุด”

วิษณุทำได้เพียงตบไหล่ของพิภพเบาๆ เป็นการให้กำลังใจก่อนจะเดินนำออกไป พิภพที่หันไปมองริชาและศิคินที่เดินเข้ามานั้นทำได้เพียงยิ้มแล้วพยักหน้าเล็กๆ เพื่อเป็นการทักทาย

“คิดว่าคุณจะไม่มาซะแล้วนะครับ” พิภพกล่าวทักทายเสียงเรียบ

“คุณอาวิษณุชวนทั้งทีคงเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่นะครับถ้าจะปฏิเสธผู้ใหญ่ คุณว่าไหม…”

สายตาของทั้งสองที่สอดประสานกันอย่างไม่มีใครยอมลงให้ใครนั้นจริงจังเสียจนริชาที่มองดูอยู่รู้สึกอึดอัดไม่น้อย

“เราไปดูโขนกันเถอะค่ะ พ่อฉันคงไปที่รอตรงที่ลานจัดแสดงแล้ว”

ริชาพูดจบก็คว้ามือชมแพรแล้วเดินนำทั้งสองหนุ่มออกไปทันที เมื่อมาถึงบริเวณลานจัดแสดงท้องฟ้าก็เริ่มมืดลง ผู้คนที่เริ่มทยอยกันเข้ามายังเก้าอี้ที่ได้จับจองไว้

ทั้งสี่คนที่เดินเข้ามานั้นมองหาวิษณุอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพบว่าเขากำลังคุยกับหญิงสาวคนหนึ่งอยู่บริเวณข้างเวที

“มากันแล้วเหรอลูก มารู้จักกันไว้สิ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกัน…” ยังไม่ทันจะจบประโยคเมื่อมองไปที่หญิงสาวที่กำลังคุยกับวิษณุอยู่นั้นคือ หญิงสาวคนเดียวกับที่วันงานโผเข้ากอดพิภพที่สวนของโรงแรมนั้นเอง

“อ้าว! คุณนั่นเอง สวัสดีนะคะ” ริชาทักขึ้นด้วยน้ำเสียงสดใสเพราะจำได้ว่าเคยพบกับยะศิณาที่งานและเธอยังเคยไปอุดหนุนดอกไม้ที่ร้านอีกด้วย

“รู้จักกันอยู่แล้วเหรอ…” วิษณุถามขึ้นอย่างแปลกใจ

“ใช่ค่ะ ฉันกับคุณริชา คุณพิภพ แล้วก็คุณศิคินรู้จักกันเป็นอย่างดี”

น้ำเสียงหวานที่ตอบมา ทำให้สีหน้ากังวลของศิคินแสดงออกอย่างชัดเจน ด้วยเพราะปกติแล้วนั้นหล่อนจะไม่แสดงตัวหากไม่มีเหตุจำเป็น แต่เนื่องจากสถานการณ์ในตอนนี้ระหว่างแดนสวรรค์และแดนอสุรานั้นอยู่ในจุดที่ใกล้แตกหักเต็มที การที่ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ จึงไม่มีประโยชน์อีกต่อไป

“วันนี้คุณยะษาไม่มาด้วยหรือครับ…” ศิคินถามเสียงเรียบ

“พี่ชายฉันช่วงนี้เขาออกจะยุ่งๆ ค่ะ มีหลายเรื่องให้ต้องเร่งจัดการ” รอยยิ้มหวานที่ส่งไปที่ศิคินนั้นทำให้เทพอัคคีเกิดสังหรณ์ใจบางอย่าง “อาจารย์กับลูกๆ ดูโขนให้สนุกนะคะ ใกล้จะเริ่มแล้วเดี๋ยวฉันจะต้องไปดูความเรียบร้อยหลังเวทีเสียหน่อย…แล้วไว้พบกันนะคะ”

หล่อนพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น และสายตามองไปยังพิภพอย่างไม่วางตาก่อนจะเดินจากไป

“แกไปหว่านเสน่ห์อีกแล้วสิ” ชมแพรใช้ข้อศอกสะกิดเบาๆ ไปที่พิภพที่ยังคงนิ่งไม่พูดอะไร

“พ่อเคยเจอเธอมาก่อนไหมครับ”

“ก็ไม่นะ แต่เพื่อนพ่อเขาบอกว่าเป็นผู้ช่วย…ภพถามทำไมเหรอลูก”

“เปล่าครับ ไม่มีอะไร…งั้นเราไปหาที่นั่งกันดีกว่า”

สายตาที่สับสนของพิภพและในหัวตอนนี้กำลังคิดวกไปวนมาว่าด้วยตนนั้นไม่ว่าจะไปที่ใดมักจะพบเจอกับยะศิณาโดยบังเอิญเสมอ มันบังเอิญบ่อยครั้งเสียจนน่าประหลาดใจจนเขาอดเก็บมาคิดไม่ได้ว่ายะศิณานั้นต้องการอะไรจากเขาหรือไม่

หลังจากนั่งลงที่เก้าอี้เรียบร้อยโดยเรียงตามลำดับได้แก่ ชมแพร ศิคิน พิภพ ริชา และวิษณุ ศิคินกับริชามองสบตากันเล็กๆ ก่อนเขาจะยิ้มให้เธอเหมือนอย่างเคย

“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมของพิภพที่นั่งอยู่ระหว่างทั้งสองคนดังขึ้นก่อนริชาจะรีบมองไปที่เวทีในทันที

“เจอเธอบ่อยเหรอครับ กับยะศิณาน่ะ” สีหน้ายียวนของพิภพเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีหลังจากฟังคำถามของศิคิน เขานิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ

“ถ้าผมจะเสียมารยาท ขอถามหน่อยจะได้ไหมครับว่าเจอกันที่ไหนบ้าง”

เมื่อฟังคำถามจบ คิ้วสองข้างของพิภพก็ขมวดเข้ากันในทันทีแต่กระนั้นก็ยังยอมตอบ

“ผมเคยเจอเธอโดยบังเอิญครับ แต่ที่เจอกันอย่างเป็นทางการจริงๆ น่าจะเป็นที่งานเปิดตัวโรงแรมของผมเมื่อประมาณสองเดือนก่อน…”

“ใช่ช่วงที่คุณกับริชาเกิดอุบัติเหตุไหมครับ” ศิคินถามขึ้นอย่างร้อนใจ

“ใช่ครับ พูดกันตรงๆ เลยนะครับ ถ้าขนาดตามไปซื้อดอกไม้ที่ร้านชาด้วยแล้ว…ผมรู้สึกไม่ค่อยไว้ใจเธอเลยเพราะดูบางครั้งที่บังเอิญเจอกันมันบ่อยเกินไป…แต่ก็นั่นละครับผมอาจจะคิดมากเกินไป”

พิภพมีสีสีหน้าเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัดก่อนจะมองไปที่ริชา โดยเจ้าหล่อนนั้นกำลังคุยกับผู้เป็นพ่ออย่างออกรส

“คุณห่วงริชาสินะครับ” ศิคินกล่าวเสียงเรียบ

พิภพที่ได้ยินดังนั้นจึงหันมาสบตากับศิคินในทันที ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ผมไม่ได้อยู่กับชาตลอดเวลาเหมือนอย่างแพรกับคุณ”

พิภพชะงักไปชั่วขณะเพราะดูเหมือนเป็นคำพูดที่ดูจะทำใจได้ยากยิ่งกว่าจะกล้าเอ่ยออกมา เขาขบริมฝีปากแน่นก่อนจะยิ้มออกไปให้ศิคินอย่างจริงใจ

“ถึงผมจะไม่ได้รู้สึกถูกชะตากับคุณขนาดนั้น แต่อย่างน้อยผมก็ต้องฝากคุณดูแลริชาด้วยนะครับ”

รอยยิ้มที่จริงใจของชายที่อยู่ตรงหน้าและพลังความบริสุทธิ์ที่แสนจริงใจของพิภพที่ศิคินสัมผัสได้นั้นทำให้เทพอัคคีรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก ด้วยพิภพนั้นหวังดีกับริชาอย่างจริงใจ ไม่ใช่เพียงต้องการครอบครองแต่หวังเพียงให้เธอปลอดภัยและมีความสุข

“ครับ คุณไม่บอกผมก็ต้องดูแลริชาอย่างดีอยู่แล้ว”

“ครับ…แต่ตอนนี้ผมอยู่ คุณก็ไม่ต้องลำบากนะครับ”

บทสนทนาของทั้งสองที่กำลังจะซึ้งกินใจนั้นดูเหมือนจะจบที่ไม่มีใครยอมลงให้ใครเหมือนอย่างเคย

“คุยอะไรกัน…” ริชาหันมาถามพิภพด้วยตนนั้นได้ยินเสียงผู้ชายสองคนกำลังคุยกัน แต่เพราะเสียงดนตรีที่กำลังบรรเลงและผู้เป็นพ่อที่ชวนเธอคุยอยู่ตลอดทำให้ฟังไม่ถนัดเท่าใดนัก

“ทำไม ก็คุยไปเรื่อย…” เขายักไหล่เล็กๆ ก่อนจะโดนฝ่ามือของริชาฟาดเข้าให้ด้วยหมั่นไส้

“ศิคิน! เราเองมหิธร…” เสียงของผู้เป็นเพื่อนดังขึ้นในจิตก่อนศิคินจะมองไปทั่วบริเวณ

“เจ้ามาได้อย่างไร”

“พวกข้าเป็นห่วงเลยคิดว่าจะผลัดเปลี่ยนกันมาดูเจ้าเสียหน่อย”

“เช่นนั้นหรือ ไม่ใช่อยากมาเห็นทิพย์สุคนธาด้วยดอกหรือ” ศิคินที่รู้จุดประสงค์อีกข้อของสหายเป็นอย่างดีเมื่อเห็นท่าทีไปไม่เป็นของมหิธรก็อดไม่ได้ที่จะกลั้นไม่ให้หลุดขำออกมา

“นางก็เป็นกนิษฐา  (2)เราเช่นกัน…แปลกอันใด” มหิธรกล่าวพลางกอดอกแล้วมองมาที่สหายของตน

“มิแปลกๆ วานเจ้าจับตาดูองค์ยะศิณาด้วย เมื่อครู่ข้าพบนางพูดจาพิกลนักแต่มิเห็นยะษา”

“แบ่งภาคจิตกลับมาที่ดาวดึงส์บัดเดี่ยวนี้!”

ยังไม่ทันจะได้กระทำการใดต่อ สุรเสียงอันทรงอำนาจที่แสนคุ้นเคยก็ดังขึ้น ศิคินและมหิธรสบตากันในทันทีที่ได้ยินเสียงขององค์อมรินทร์แห่งแดนสวรรค์

“เจ้าไปก่อนมหิธร ตอนนี้เราแบ่งภาคจิตได้ยากยิ่ง”

มหิธรพยักหน้าเบาๆ ครั้งหนึ่งก่อนจะใช้พระเวทหายองค์ในทันที การแสดงใกล้เริ่มเต็มทีและยังกังวลเรื่องของยะศิณาอยู่ไม่น้อยเขาจึงจับบ่าของพิภพเบาๆ

“เดี๋ยวผมมา ฝากริชาด้วยนะครับ”

ได้ยินแบบนั้นพิภพก็รู้สึกแปลกใจก่อนศิคินจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปในทันที ริชาที่เห็นดังนั้นก็มองตามหลังของเขาไปจนลับตา ก่อนจะพบว่าทั้งชมแพรและพิภพกำลังจ้องตนอยู่

“ไอ้ชา ยังไงกัน ฉันไม่อยู่แค่ไม่กี่วัน…เล่ามานะ!” ชมแพรขยับมานั่งแทนที่ศิคินในทันทีก่อนจะเริ่มซักไซ้คนเป็นเพื่อน

“พอเลยไอ้แพร โน่นดูโขนจะแสดงแล้ว…”

เสียงถอนหายใจอย่างเสียดายของชมแพรที่ดังขึ้น ยังไม่ได้ครึ่งหนึ่งของความหนักใจของพิภพที่มีต่อการแสดงออกที่ชัดเจนของริชา

เสียงปรบมือดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงเมื่อพิธีกรหญิงในชุดไทยสมัยอยุธยาสองคนเดินมาหยุดที่บริเวณตรงกลางเวที แสงไฟสปอตไลต์สีแดงหลายสิบดวงก็สว่างขึ้น

“ณ บัดนี้ ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติทุกท่านรับชมการแสดงโขนในเรื่อง ตำนานพิธีกวนเกษียรสมุทร เหตุการณ์จะดำเนินไปอย่างไรขอให้ทุกท่านเดินทางไปยังพระเกษียรสมุทรโดยพร้อมกันค่ะ…”

สิ้นเสียงของพิธีกรสาว…ไฟบนเวทีก็ดับลงในทันทีพร้อมๆ กันกับที่เสียงบรรเลงของวงดนตรีคณะปี่พาทย์อันประกอบไปด้วย ปี่ ระนาด ฆ้องวง กลอง และตะโพน บรรเลงเพลงเป็นจังหวะขึ้นมาเพื่อเป็นการกราบไหว้บูรพาอาจารย์ ความยาวประมาณเกือบๆ สามถึงสี่นาที

หลังจากนั้นจังหวะของดนตรีจึงเปลี่ยนอีกครั้งโดยเสียงของระนาดเอกเป็นตัวชูโรง จากนั้นผู้แสดงโขนจำนวนสิบกว่าคนโดยครึ่งหนึ่งแต่งกายเป็นเทพบุตรและอีกครึ่งหนึ่งแต่งกายเป็นอสุรพงศ์วงศ์ยักษ์ต่างๆ จึงออกมาร่ายรำอย่างงดงาม ทั้งสามคนตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมากเมื่อได้ดูศิลปะของไทยแท้ๆ ที่หาดูได้ยากยิ่ง

การร่ายรำตามท้องเรื่องของการแสดงดำเนินไปอย่างเพลิดเพลินจนกระทั่งถึงช่วงการแสดงหนึ่งที่จังหวะของดนตรีมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง โดยมีจังหวะสนุกสนานและเร้าใจยิ่งขึ้น

ด้วยความตกใจพิภพจึงเผลอใช้มือของตนคว้าไปที่มือของริชาที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างไม่ตั้งใจ

ยังไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้พูดอะไร กลิ่นหอมประหลาดก็ลอยละล่องมาในทันที ดั่งต้องมนตราริชาและพิภพที่ได้กลิ่นหอมนั้นเพียงสองคนจู่ๆ เหมือนดั่งว่าภาพของการแสดงโขนที่อยู่ตรงหน้านั้นเริ่มเลือนรางลงพร้อมๆ กับสติที่เริ่มหลุดลอยไปตามแสงสว่างที่เจิดจ้าขึ้นจากฝ่ามือของทั้งคู่

ภาพของเวทีการแสดงโขนถูกแทนที่ด้วยเกลียวคลื่นที่กำลังถาโถมอย่างบ้าคลั่งท่ามกลางเสียงอึกทึกของผู้คนจำนวนมาก ทั้งสองที่กำลังจับมือกันอยู่นั้นแน่ชัดว่ามีสติรับรู้ครบถ้วนทุกประการ

“ภพ นี่มันเรื่องอะไร!” หญิงสาวตะโกนก้องเมื่อมองพบว่าตนและเพื่อนกำลังลอยละล่องอยู่กลางน้ำ ทุกสัมผัส เมื่อเกลียวคลื่นซัดผ่านร่างกายนั้นเหมือนจริงเสียจนพิภพต้องโผเข้ากอดริชาไว้แน่น

“จับไว้นะชา!”

เขาพูดพลางกอดริชาไว้แน่นเช่นเดียวกัน แต่นั่นก็หาเพียงพอที่จะต่อสู้กับคลื่นคลั่งของมหาสมุทรน้ำนมในยามนี้ แรงคลื่นพัดให้ร่างของทั้งสองแยกออกจากกันในทันที จากนั้นแสงสว่างบางอย่างก็โอบรัดร่างของทั้งคู่ไว้ดั่งเดียวกับที่กลิ่นกายของดอกปาริชาตที่บัดนี้คละคลุ้งหอมหวนอยู่ในอากาศ

 

“ใกล้แล้ว เวลานั้นใกล้เข้ามาแล้ว” ร่างกำยำของพญาอสุราหนุ่มบัดนี้กำลังจับที่บริเวณลำคอของพญานาคาวาสุกรีด้วยเรี่ยวแรงที่ใกล้หมดลงทุกขณะ

บัดนั้นในเสียงคำรามอันแสนเจ็บปวดของพญาวาสุกรีก็ดังกึกก้อง จนในมวลอากาศโดยรอบปรากฏเปลวไฟสีดำที่เกิดจากไฟรวมกับพิษของพญาวาสุกรีที่คายออกมาด้วยความเจ็บปวดจากการที่ถูกทั้งอสูรและเทพฉุดรั้งไปมาอยู่เป็นเวลานาน

เหล่าอสุราที่อยู่บริเวณเศียรของพญาวาสุกรีนั้นเริ่มเจ็บปวดและล้มตายไปอย่างมากมาย ด้วยไม่สามารถทนพิษร้ายนี้ได้เพียงสัมผัสต้องกายเท่านั้น

ราพสูรเองใช้พลังทิพยอสูรของตนเพื่อกันพิษ แต่ด้วยความเหนื่อยล้านั้นจึงไม่สามารถทานทนได้อีกต่อไป เมื่อพิษร้ายสัมผัสที่ร่างกายของตนก็สร้างความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส แต่เพราะด้วยเกียรติและศักดิ์ศรีของเหล่าอสุราแล้วนั้นเขาก็ยังคงไม่ยอมปล่อยมือและยังฝืนทนต่อไปทั้งๆ ที่ทั่วร่างลุกท่วมไปด้วยไฟพิษ

ด้วยเกรงว่าสามโลกจะบังเกิดภัยพิบัติที่เกิดจากพิษร้ายนี้ พระอิศวรหรือพระศิวะนั้นจึงเสด็จลงมายังเกษียรสมุทรโดยการดูดกลืนพิษร้ายนั้นไว้กับพระองค์เอง จนพระศอของพระองค์ไหม้เกรียมจนเป็นสีดำสนิท

เสียงโห่ร้องสรรเสริญจึงกึกก้องอีกครั้ง! เมื่อพิษจากภายนอกเบาบางลงจนหายไปจนหมดสิ้น เหล่าเทวะและอสูรจึงกลับมาช่วยกันชักกวนเกษียรสมุทรได้อย่างพร้อมเพรียง

ราพสูรที่จวนเจียนจะหมดแรงด้วยพิษร้ายที่ไหลเวียนในกายนั้น ต้องการทำเพื่อเหล่าอสุราใต้การปกครองของตน แหวนสีเพลิงที่นิ้วของตนก็ส่องแสงสว่างอย่างประหลาดโดยแหวนนั้นจะถูกส่งมอบให้กับผู้ปกครองในแต่ละรุ่น

หัวแหวนทำจากมณีสีเพลิงที่ว่ากันว่าเกิดจากไฟชีวิตของผู้ปกครององค์แรกของพิภพอสูร มันเรืองแรงออกมาอย่างเจิดจ้า และทันใดนั้นความเจ็บปวดต่างๆ ที่เกิดจากพิษร้ายของพญาวาสุกรีก็หายไปเป็นปลิดทิ้งและเมื่อแสงสว่างนั้นสลายหายไป อัญมณีที่เคยสุกปลั่งดั่งเปลวเพลิงก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิทในทันที

เพียงชั่วอึดใจและแล้วสิ่งที่ทุกคนรอคอยก็เริ่มสัมฤทธิผล เมื่อทะเลสีน้ำนมแห่งนี้เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงของบางสิ่ง เสียงสั่นสะเทือนเลื่อนลั่นปฐพีของมหาสมุทรที่ดังขึ้นในแต่ละครั้งนั้นแทนของวิเศษหนึ่งอย่างที่ผุดขึ้นมาก่อนที่สิ่งเหล่านั้นจะล่องลอยอยู่ที่แผ่นฟ้าเหนือภูเขามันทรคีรี

“สิ้นสุดแล้ว!”

สุรเสียงที่ตะโกนก้องอย่างพร้อมเพรียงเมื่อปรากฏเทวะผู้อัญเชิญหม้อน้ำอมฤต ณ ใจกลางมหาสมุทร

บัดนั้นเหตุการณ์โกลาหลมากมายจึงบังเกิดขึ้นระหว่างเหล่าเทวะและอสุราเพื่อแย่งชิงหม้อน้ำอมฤตอันจะประทานชีวิตที่เป็นนิรันดร์ หากแต่ของวิเศษต่างๆ นั้นกลับถูกช่วงชิงไปได้โดยเหล่าชาวฟ้าแดนสวรรค์

ราพสูรเล็งเห็นแล้วว่าเหล่าเทวะตระบัดคำสัตย์ ในความโกรธานั้นยังมีแสงสว่างจากของวิเศษอีกสิ่งหนึ่งที่ยังไม่มีผู้ใดได้ไปครอบครอง ราวถูกเชื้อเชิญด้วยพลังทิพยของเทพอสุราเขาจึงเหาะเข้าไปใกล้ต้นไม้สีทองต้นนั้นก่อนจะใช้พละกำลังที่มีอยู่ของตนพามันกลับไปยังแดนอสุราในทันที!

ความสว่างเจิดจ้าไปทั่วบริเวณ ริชาที่ไม่สามารถขยับตัวได้เลยจึงได้แต่มองไปรอบๆ มีเพียงความว่างเปล่าจนทุกสรรพสิ่งขาวโพลนไปหมด แต่แล้วภายใต้ความว่างเปล่านั้นก็มีแสงสว่างสีทองสายหนึ่งที่ร้อนดั่งเปลวไฟพุ่งตรงเข้ามาที่ตัวของเธอก่อนจะโอบล้อมไปทั่วทั้งร่างกาย

ความรู้สึกของเปลวไฟสีทองนั้นช่างแสนอบอุ่นก่อนร่างกายของเธอจะค่อยๆ แปรสภาพเป็นดอกไม้สีแดงฉานราวแก้วประพาฬอยู่บนฝ่ามือของใครผู้หนึ่ง…

ดอกปาริชาตดอกแรกสีแดงฉานราวแก้วอัญมณีบัดนี้อยู่บนฝ่ามือของราพสูร ใต้ต้นปาริชาตที่ส่องแสงสว่างสีทองไปทั่วบริเวณ ณ ใต้เชิงเขาพระสุเมรุ ราพสูรรู้แน่แก่ใจแล้วว่าผู้ที่ติดตามเขานั้นคือพระนารายณ์ผู้ทรงฤทธิ์

เจ้าแห่งอสุรามองดอกไม้ทิพย์ในมือพลางมองขึ้นไปยังต้นปาริชาตที่กำลังค่อยๆ ผลิใบและดอกบานสะพรั่ง ริชานั้นสามารถรับรู้ได้ถึงบางสิ่งโดยสามารถเชื่อมต่อกับจิตใจของคนตรงหน้าได้ความรู้สึกมากมายที่ถาโถมเข้ามาช่างแสนเศร้าและเจ็บปวด

เสียงลมที่พัดผ่านร่างขององค์ราพสูรนั้นดังกว่าที่เคย พร้อมๆ กับการมาถึงขององค์พระนารายณ์ เขามองไปที่ดอกปาริชาตในฝ่ามืออีกครั้งก่อจะทรุดตัวลงนั่งคุกเข่า

พลันละอองแสงสีแดงก็ลอยละล่องออกจากดอกปาริชาตทันทีราวกับรับรู้ได้ถึงบางสิ่งเช่นกัน

“หยุดเถิดราพสูร หากในวันนี้เจ้า…ผู้เป็นผู้ปกครองอยู่เหนือบัลลังก์ทิพยอสุรานั้นเป็นชนวนผู้ก่อให้เกิดสงครามแล้วไซร้ นั่นหมายถึงสรรพชีวิตต่างๆ จักต้องสูญเสียอีกมากมาย คุ้มกันหรือ…”

“ข้านั้นแต่ไหนแต่ไรแล้วนั้นมิเคยหวังครอบครองทั้งจักรวาล เพียงแต่อยากให้เราชาวอสุรามีที่ยืนอย่างได้รับเกียรติในจักรวาลนี้เท่านั้น”

แววตาที่แสนมั่นคงนั้นมองไปยังองค์พระนารายณ์อย่างไม่หวั่นเกรงหากแต่ไร้ซึ่งความเย้ยหยันใดๆ เขาก้มมองไปที่ดอกไม้ทิพย์ในมือที่บัดนี้ยังคงส่องแสงระเรื่อสีแดงงดงาม

ก่อนจะส่งให้มันล่องลอยไปยังองค์พระนารายณ์ที่อยู่เบื้องหน้า…ล่องลอยไปจากฝ่ามือของตนตลอดกาล!

“เจ้ารู้ดีถึงโทษทัณฑ์ในครั้งนี้ ความโกลาหลวุ่นวายนี้เดิมทีฝ่ายเราเองก็มีส่วนผิด…เช่นนั้นเราจักให้สัญญาว่าแดนสวรรค์จะไม่รุกล้ำหรือประกาศสงครามกับแดนอสุราก่อน สืบไป…”

“เป็นพระมหากรุณาเจ้าค่ะ” ราพสูรก้มลงกราบในทันทีก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วพนมมือไว้ที่อก

“แต่ในความผิดครั้งนี้ของเจ้านั้นที่ลักพาต้นปาริชาตอันเป็นของวิเศษอันเกิดแก่พิธีกวนเกษียรสมทุรมาที่แดนอสุรานั้น ข้าขอสาปให้เจ้าองค์ทิพยอสุราราพสูร จงลงไปเวียนว่ายในสังสารวัฏยังแดนมนุษย์จนกว่าจะครบกำหนดวาระกรรมที่ควร แล้วจึงจักกลับคืนสู่บัลลังก์พิภพอสุราเช่นเดิม”

สิ้นคำประกาศิตนั้นร่างขององค์ราพสูรก็ค่อยๆ เลือนรางลงในทันที ก่อนจะค่อยๆ แปรสภาพไปเป็นดวงจิตดวงหนึ่งแล้วจึงล่องลอยไปสู่พิภพเบื้องล่างยังแดนมนุษย์

 

เชิงอรรถ :

(1) การแยกจิตออกจากร่างบางส่วน

(2) น้องสาว

 



Don`t copy text!