ฝุ่นในสายลม บทที่ 3 : กฏสามข้อ

ฝุ่นในสายลม บทที่ 3 : กฏสามข้อ

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

“มาเรื่องงานต่อ…” ภาวินหยุดเทศนาและกลับมาเรื่องงาน

“ก่อนอื่นก็อยากจะเตือนพวกเราว่าลัทธิที่เรากำลังจับตาดู มีเจ้าลัทธิเป็นถึงดอกเตอร์ เขาจะต้องมีจิตวิทยาขั้นสูง ไม่งั้นก็คงไม่ล้างสมองผู้คนได้มากมายขนาดนี้ เท่าที่รู้มาสาวกมีหลายหมื่นคนหรืออาจจะมีมากกว่านั้น ยังมีพวกที่ให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ไม่ได้เข้าไปร่วมกิจกรรมอยู่ในค่าย…ที่ใช้คำว่าค่าย เพราะมันไม่ใช่วัดในแบบที่เราคุ้นชินกัน เราสองคนจะต้องเข้าไปแฝงตัวในนั้น ทำทีว่าเป็นคนร่วมศรัทธา สอบถามผู้คนโดยไม่ให้ใครสงสัยได้ เพราะรายละเอียดเกี่ยวกับคำสอนของเขา พวกเรายังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรมาก รู้แต่ว่าเจ้าลัทธิอ้างตัวเป็นลูกครึ่งต่างดาว…มันก็เท่านั้น”

“ผมยังสงสัยนะหัวหน้า ว่าเจ้าลัทธิคนนี้หน้าตาจะเป็นอย่างไร…เป็นครึ่งคนครึ่งกิ้งก่ารึไง เพราะดูในหนัง…พวกมนุษย์ต่างดาวเนี่ยหน้าเป็นกิ้งก่าเพียบเลย”

“มันมีหลายเผ่าพันธุ์พี่นน…มีทั้งหน้าแหลม หน้าจระเข้ หน้าตั้กแตนยังมี ยังมีแบบตัวเล็กเตี้ยกับตัวสูงใหญ่เป็นยักษ์ด้วยนะ”

“กี่เผ่าพันธุ์กันแน่” ภาวินเองชักจะงง

“หลายเผ่าพันธุ์มากค่ะเท่าที่ฝนทราบมา มีทั้งเผ่าดึกดำบรรพ์ที่มีอยู่ก่อน แล้วบนโลกกับเผ่าพันธุ์อื่นที่มาจากต่างกาแล็กซี”

“คือโลกเรานี่หอมหวานมากนักรึไง ถึงมาเที่ยวกันมากมายขนาดนั้น มันมีทั้งมลพิษอีกทั้งโรคภัยไข้เจ็บจนคนบนโลกอยากจะตายวันละร้อยหน ไอ้พวกที่มาบุกโลกนี่ไม่บ้าก็น่าจะเมา เรื่องมนุษย์ต่างดาวไม่น่าจะเป็นจริงไปได้ เป็นเรื่องงมงายที่หาความจริงอะไรไม่ได้เลย” ภาวินแย้ง

“แล้วทำไมผู้คนทั่วโลกถึงได้เห็นจานบินกันมากขึ้นทุกทีล่ะหัวหน้า ผมว่ามันอาจจะมีมูลก็ได้นะ”

“นั่นไงๆ ไม่ทันไรก็พร้อมจะเชื่อเสียแล้ว” ภาวินคำรามใส่ลูกน้อง

“นี่คือเหตุผลที่ทำไมลัทธิพวกนี้มันถึงได้ล้างสมองผู้คนได้ง่ายดายนัก เพราะคนเราพร้อมที่จะเชื่อทุกอย่างที่ออกมาจากปากของเจ้าลัทธินั่นไง เชื่อโดยไม่มีการสืบสาวราวเรื่องหาข้อเท็จจริง ฉะนั้นก่อนที่จะเริ่มงาน เราจะต้องมีกฎเหล็กสามข้อ เพื่อเป็นแนวทางการปฏิบัติ ถ้าทำตามไม่ได้ก็บอกล่วงหน้ามาเลย จะได้หาคนอื่นมาทำแทน”

“มีกฎไรมั่งคับหัวหน้า” กานนรีบถาม “เกิดผมทำตามไม่ได้”

“กฎข้อแรก ไม่ว่าใครจะพูดอย่างไร หรือไปได้ข้อมูลอะไรมาก็แล้วแต่ จะต้องไม่เชื่อเอาไว้ก่อน”

“ทุกเรื่องเลยหรือคับผม”

“ทุกเรื่อง ส่วนกฎข้อที่สอง ทุกข้อมูลที่ได้มา จะต้องมีการพิสูจน์ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น”

“ทุกเรื่องเลยหรือคะ” ฝนดาวถามมั่ง

“ทุกเรื่อง ส่วนข้อที่สาม ไม่ว่าหลักการทางด้านวิทยาศาสตร์ จะน่าเชื่อถือสักแค่ไหนก็ตาม ให้ไปเปิดตาดูกฎข้อแรกก่อน”

“สรุปก็คือหัวหน้าจะไม่ให้พวกเราเชื่ออะไรเลยหรือคะ” ฝนดาวโวย

“กันเอาไว้ย่อมดีกว่าแก้ เกิดพวกเราเอาหลักวิทยาศาสตร์มาเบี่ยงเบนชี้นำ ไปในทิศทางตรงกันข้าม มันทำได้นี่ ใช่ไหม ดูศรีธนญชัยเป็นตัวอย่าง ที่สำคัญวิทยาศาสตร์ฉบับศรีธนญชัยมีมากมายก่ายกองให้เห็นในสังคมปัจจุบัน”

“ในแง่นั้นผมว่ากฎเหล็กมีแค่ข้อเดียวก็พอครับหัวหน้า นั่นก็คือพวกแกไม่ต้องเชื่ออะไรเลย” กานนเริ่มใส่อารมณ์

“อีกอย่างเรามีสติปัญญามากพอที่จะรู้นะคะว่าอะไรน่าเชื่อหรือไม่น่าเชื่อ ถ้าหัวหน้าเล่นมัดมือชกแบบนั้นก็เท่ากับว่าบังคับให้พวกเราปิดหูปิดตาและกลายเป็นคนคับแคบในสายตาของชาวโลก” ฝนดาวค้านตาม

“สรุปคือพวกเราจะรับงานนี้หรือไม่รับ บอกง่ายๆ มาคำเดียว ถ้าไม่รับก็ยกเลิก เดี๋ยวฉันกลับกรุงเทพละ”

ภาวินหน้าเคร่งดุ หัวคิ้วเริ่มพันเข้าหากันยุ่ง เล่นเอาทั้งฝนดาวกับกานนต่างก็มองตากันปริบๆ ไม่มีใครกล้าโวยวายอะไรอีก

“ถ้าเข้าใจตามนั้นก็มาเข้าเรื่องการวางแผนงานทีละขั้นตอน” ภาวินตบสองมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เปิดแฟ้มหยิบแผ่นกระดาษที่จดไว้ออกมา ร่ายยาว

“เราจะต้องแบ่งหน้าที่กันทำและไม่ก้าวก่ายกัน วันนี้ให้เราสองคนนั่งเรือข้ามไปที่เกาะและสมัครเข้าร่วมเป็นสมาชิกของลัทธิแห่งนี้ จากนั้นก็สืบเอาข้อมูลออกมาให้มากที่สุดถึงประวัติที่มา ถ้ามีตำราคำสอนอะไรก็เอาออกมาด้วย กานนต้องพยายามเข้าหาตัวเจ้าลัทธิให้ได้ เพื่อแอบถ่ายรูปจากกล้องมือถือ จากนั้นก็ตามถ่ายพฤติกรรมของสมาชิกในนั้น ว่าเขาทำอะไรกันมั่งในแต่ละวัน เขาทำงานกันอย่างไร กินอาหารอะไร เรียกเก็บเงินจากสมาชิกมากน้อยแค่ไหน เราต้องการตัวเลขที่แน่นอน เพราะรู้มาว่าลัทธิส่วนใหญ่มักจะรีดไถเงินทองจากสมาชิกอยู่ตลอดเวลา บางคนถึงขนาดต้องสูญเสียมรดกที่ทางเป็นจำนวนมาก มีเมียนักการเมืองคนหนึ่งที่กำลังตกเป็นข่าวตอนนี้ ว่าสูญเงินเป็นสิบล้าน ฝนดาวต้องตามประกบคุณนายคนนี้เพื่อรีดเอาข่าวออกมาให้มากที่สุด ก่อนที่สื่อหลักต่างๆ จะได้ข่าวไป เข้าใจรึยัง แต่ต้องให้เนียนหน่อย และอย่าให้เขาจับได้ล่ะว่าพวกเราเป็นนักข่าวเข้าไป”

“แล้วถ้าเกิดเขาจับได้ล่ะคะ”

“ก็หาวิธีเอาตัวรอดให้ได้ โธ่…แค่นี้ถ้าไม่มีปัญญาก็หางานอื่นทำเถอะ เรื่องง่ายๆ แค่นี้ยังไม่ผ่านแล้วจะไปทำอะไรกิน” ภาวินตวาดลูกน้อง “ไป ไปกันได้แล้ว แล้วกลับมารายงานตอนเย็นว่าไปถึงไหนแล้ว ยังไงก็อย่าโทรมาเพราะจะนอนสักตื่นสองตื่น เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย เออ แล้วอย่าลืมหิ้วอาหารเข้ามากินด้วย เพราะโรงแรมห้าดาวนี่ไม่มีอะไรกินแน่ ออกเงินไปก่อนแล้วจะโอนเงินเข้าให้ทีหลัง งบประมาณหัวละไม่เกินห้าสิบบาท”

“เงินแค่นี้ น่าจะได้แต่ข้าวเปล่านะคับหัวหน้า” กานนร้องเฮ้อ

“งั้นก็ซื้อข้าวมาหุงเอง กับซื้อเอาต่างหาก ในสภาวะข้าวยากหมากแพงต้องประหยัดให้มาก เข้าใจตามนี้นะ”

ฝนดาวถอนใจหลายตลบเมื่อพ้นมาจากที่นั่น หญิงสาวบ่นตลอดทางในลิฟต์ว่า

“เขี้ยวที่สุด เค็มจนเกลือกระโดด โซเดียมกระเด็น นี่หรือเจ้านายคนดี ที่พี่นนฝากงานให้ฝนอะ  ดูแล้วไปขอทานยังจะดีกว่า”

“เออน่า ทนไปก่อน เฮียแกปากร้ายไปงั้นแหละ แต่จริงๆ แล้วใจดี”

“ปากอย่างนี้นี่เล่าถึงทำงานค่ายอื่นไม่ได้นาน”

“แกรักงานอิสระไง อดมื้อกินมื้อก็ยังสบายใจ ลองไปทำสื่อค่ายอื่นแล้วจะรู้สึก”

“ฝนก็ยังอยากทำงานค่ายอื่นที่มีความมั่นคงมากกว่านี้นะพี่นน ก็แค่ขอฝึกงานอาทิตย์เดียวเท่านั้นแหละ อีกหน่อยฝนก็เผ่นแล้ว”

ฝนดาวยังเดินบ่นตลอดทางไปยังท่าจอดเรือ เรือเที่ยวแรกกำลังจะออกและรีบกระโดดลงแทบไม่ทัน

“เกิดรับงานนี้ แล้วถูกสาวกรุมตื้บจะทำยังไง” ยังนั่งบ่นต่อในเรือ

“ก็อย่าให้พวกมันจับได้”

“ลูกน้องมากขนาดนั้น แถมเจ้าลัทธิเป็นดอกเตอร์ ถ้าเขาไม่แน่จริงคงไม่อยู่มานานขนาดนี้หรอก แถมยังหลอกเมียนักการเมืองใหญ่ได้อีก ได้ที่ทางไปเป็นสิบล้าน ตามที่คนลือกัน”

“พี่ว่าน่าจะโง่มาก ไม่โง่จริงคงไม่โดนเขาหลอกหมดเนื้อหมดตัวแบบนี้”

กระซิบคุยพอให้ได้ยินกันสองคนท่ามกลางนักท่องเที่ยวเกือบครึ่งค่อนลำเรือ มาจากไหนกันมั่งก็ไม่รู้ หูแว่วเสียงกลุ่มที่นั่งอยู่ด้านหลังคุยเสียงดังลั่น

“มาเที่ยวนี้ต้องถ่ายรูปจานบินกลับไปให้ได้ เที่ยวที่แล้วกูมีแค่มือถือเอง แม่งลอยมาลำโตเท่าบ้านแต่วิ่งเร็วชิบ”

“ว่าแต่มึงจองเต็นท์เอาไว้รึยัง คนยิ่งเยอะๆ”

“เรียบร้อย แต่อุทยานที่นี่แมร่งขูดเลือดขูดเนื้อฉิบหาย เช่าเต็นท์ละสามพันมีที่ไหนวะ ห้ามอยู่เกินสองคนด้วย เลยต้องเช่าแมร่งสามเต็นท์”

“มันก็คุ้มนี่หว่า มึงจ้องถ่ายไอ้จานบินให้ได้จะจะเจ๋งๆ เอาไปลงยูทูบมีหวังคนดูกันตรึม ขนาดเที่ยวที่แล้วกูมีแค่มือถือยังได้ยอดวิวเป็นล้าน”

“แล้วมึงว่ายูเอฟโอของจริงรึของปลอมกันวะ”

“จะจริงจะปลอมกูไม่สน ตราบใดที่กูยังได้ยอดวิวของกู”

กานนกับฝนดาวลอบมองตากัน ก่อนจะปิดปากเงียบ

ฝนดาวกลัวที่สุดเรื่องที่ความลับจะแตก เกิดใครรู้ว่าหล่อนกับพรรคพวกปลอมตัวมาล้วงความลับที่ลัทธิแห่งนั้นดีไม่ดีอาจจะถูกฝังเงียบ พ่อกับแม่เตือนแล้วว่าไม่ให้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะอาจจะรู้มาบ้างเกี่ยวกับความโหดของลัทธิที่ว่า

แต่ถ้าหล่อนไม่รับงานนี้แล้วเมื่อไหร่กันที่จะได้ผุดได้เกิดในสนามนักข่าวที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน

ที่สำคัญมันเป็นงานอิสระที่หล่อนไม่น่าจะเจอหน้าเจ้านายจอมโหดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเมื่อไหร่ ขี้เกียจก็ปานนั้น ป่านนี้มินอนหลับปุ๋ยรอคอยอาหารมื้อเย็นที่จะตามไปส่งถึงที่…

เกาะสีเขียวขจีปรากฏที่ขอบฟ้าและใกล้เข้ามาทุกที

นัยว่ามันเป็นเกาะที่เพิ่งโผล่ขึ้นมากลางทะเลเมื่อไม่นานมานี้เอง

โดยมีเจ้าลัทธิที่ว่ากว้านซื้อที่เอาไว้เกือบทั้งหมด เหลือที่แปลงเล็กๆ ไว้ให้ชาวบ้านสร้างเป็นแคมป์สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากมาดูปรากฏการณ์ยูเอฟโอ ที่ผลุบโผล่บนท้องทะเลเป็นระยะๆ  ป้าที่อยู่ย่านนี้มานานบอกหล่อนว่ามันเริ่มมาปรากฏตัวถี่ขึ้นเรื่อยๆ ตั้งแต่เกาะโผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำ

ป้าจิตมีสามีเป็นตำรวจและไม่มีลูกด้วยกันแม้จะอยู่กินกันมาร่วมสามสิบปี แม่ฝากฝังให้หล่อนมาอยู่ด้วยในช่วงฝึกงานในท้องที่

แต่ป้าเองไม่เคยไปที่ลัทธิแห่งนี้แต่อย่างใด ได้ยินได้ฟังก็แต่คำร่ำลือเรื่องที่เจ้าลัทธิเป็นลูกครึ่งเอเลี่ยน แรกๆ คนในท้องที่ก็ฮือฮาจะไปขอหวย หนักเข้าหลายคนก็เข้าไปอยู่ในนั้นเลยและไม่ยอมออกมาอีก ทำเอาบ้านแตกสาแหรกขาดไปหลายหลังคาเรือน

นั่นคือ…อิทธิพลของลัทธิต่างดาวที่ว่า…

 



Don`t copy text!