แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 14 : เจ้าหญิงตะบินได

แสนฟ้าพันธุ์คำ บทที่ 14 : เจ้าหญิงตะบินได

โดย : ดาราวดี

Loading

แสนฟ้าพันธุ์คำ โดย ดาราวดี ผลงานจากโครงการอ่านเอาก้าวแรก รุ่นที่ 4 เรื่องราวของสาวชาวเหนือที่เกิดในครอบครัวชนบทที่ยากจน ทำให้เธอต้องตกอยู่ภายใต้สังคมปิตาธิปไตยและการตกเขียวมนุษย์ หากแต่เธอกลับยืนหยัดถึงสิทธิในการมีชีวิตของตนเอง “แสนฟ้าพันธุ์คำ” นวนิยายที่เขียนจากเค้าโครงชีวิตจริงอีกหนึ่งเรื่องที่อ่านได้ใน anowl.co

ทั่วเขตคุ้มหอหลวงในเวลานี้ เรื่องที่ผู้คนโจษจันและถูกกล่าวขวัญมากที่สุด ก็เห็นจะหนีไม่พ้นเรื่องของหญิงรับใช้ในตำหนักเจ้าชายา ที่ถูกมหาเทวีเรียกตัวขึ้นไปพบบนหอคำ และทาบทามตัวให้ไปเป็นนางรำดาวเด่น ให้รับบทเป็น ‘เจ้าหญิงตะบินได’ ในคืนงานเลี้ยงรับรองนักเรียนทุนและแขกคนสำคัญที่ใกล้จะมาถึง 

ผู้คนต่างจับกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์กันไปต่างๆ นานา ว่าเหตุใดมหาเทวีท่านถึงไม่เลือกนางรำในโรงละครหลวงของท่าน แต่กลับไปคว้าเอาขี้ข้าก้นเรือนผู้ต้อยต่ำของอีกตำหนักหนึ่งขึ้นมาเป็นนางรำแทน แถมหญิงนางนั้นได้ยินว่าเป็นเพียงคนต่างบ้านเมืองที่มาขออาศัยอยู่ทำงานได้ยังไม่ถึงปี และนางยังมีจิตใจฟั่นเฟือนไม่สมบูรณ์เหมือนคนปกติอีกต่างหาก

ว่าที่ ‘เจ้าหญิงตะบินได’ ในปีนี้ จึงถูกผู้คนรุมดูแคลนตั้งแต่ยังไม่ทันได้ขึ้นเหยียบโรงละครหลวง

เป็นที่รู้กันดีว่า งานเลี้ยงต้อนรับนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงของรัฐบาลเป็นอีกหนึ่งงานใหญ่ที่จะมีบรรดาเจ้าฟ้าจากเมืองต่างๆ และข้าราชการชาวอังกฤษตำแหน่งใหญ่ๆ เดินทางมาร่วมงานกันอย่างคับคั่ง และเมื่อเจ้าฟ้าเสด็จ พวกท่านก็มักจะมีพระญาติพระวงศ์ หรือไม่ ก็พวกข้าราชการหนุ่มหล่อเดินทางติดตามมาด้วยทุกครั้ง แถมบรรดานักเรียนทุนที่กำลังจะเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นสายเครือ ‘พันธุ์คำ’ หรือหน่อเนื้อเชื้อเจ้าฟ้า เป็นเหล่าพระประยูรญาติร่วมสันตติวงศ์กันแทบทั้งสิ้น

ฉะนั้นแล้ว การได้ถูกรับเลือกให้เป็นเจ้าหญิงตะบินไดผู้งามเพริศพริ้งในค่ำคืนอันสำคัญ จึงมีนัยบางอย่างซ่อนไว้อยู่กลายๆ และเป็นความมุ่งหมายอันสูงสุดของการเป็นนางรำหลวง…

ดังนั้น การที่อยู่ๆ หญิงรับใช้คนจร ไร้ชาติตระกูล ไร้ที่มาที่ไปจะมาฉวยโอกาสปาดหน้า จึงสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกนางรำคนเก่าๆ ที่เป็นถึงเหล่าบุตรีเสนาอำมาตย์และข้าราชการในราชสำนัก แว่วๆ ว่าวันแรกที่เจ้าหญิงตะบินไดจะขึ้นโรงละครหลวง พวกหล่อนจะรวมตัวกันต้อนรับนางอย่างสาสม

เรื่องนี้ตกเป็นขี้ปากคนในหอหลวงอยู่นานหลายวัน จนท้ายที่สุด เจ้าสอาดองค์ผู้เป็นนายหญิงของหอตะวันตกก็ไม่ยอมปล่อยให้เสียงนินทาเหล่านั้นว่ากล่าวกระทบ คุกคามคนของท่านอีกต่อไป

ในเช้า ‘วันปอยมหาตุ๊กข์’ หรือ ‘วันปล่อยมหาทุกข์’ หลังกลับมาจากทำบุญที่วัดประจำเมือง เจ้าชายาก็ทรงประกาศยกจันทร์หล้าขึ้นเป็นบุตรีบุญธรรมของท่าน ซ้ำยังจัดให้มีพิธีเรียกขวัญรับบุตรีบุญธรรมคนใหม่อย่างเอิกเกริกยิ่งใหญ่ ท่านทุ่มเงินส่วนตัวกว้านซื้อผ้าไหมผืนงามและอัญมณีมีค่า ทั้งปิ่นทองคำ ตุ้มหู สร้อย แหวนกำไล เพื่อสำแดงซึ่ง ‘ศักดิ์’ และ ‘ศรี’ ที่เพียบพร้อมแก่การเป็นเจ้าหญิงตะบินไดคนใหม่ เพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมาเหยียดหยาม ดูแคลนหรือหวังทำลายคนในตำหนักของท่านได้เป็นอันขาด

…และแล้วเสียงนินทาและแผนการร้ายเหล่านั้นก็อันตรธานหายจากที่แจ้งไปโดยปริยาย ไม่มีใครหน้าไหนกล้าหือกับเจ้าชายาเมื่อท่านเอาจริง

เย็นวันนั้น เจ้าสอาดองค์เชิญบรรดาพระสหายของท่านมาทานมื้อค่ำที่ตำหนัก ทั้งแหม่มไดแอนน์และลูเซียน่าบุตรสาว ทั้งสองเป็น ‘โฮมสคูล ทีชเชอร์’ หรือครูสอนหนังสือชาวอเมริกันของเจ้าสิงห์ไชย อีกเจ้ายอดศึก พระอนุชาองค์ที่ห้าของเจ้าฟ้าหลวงและชายาเจ้านางฟองไหล รวมไปถึงหมอกุปป้าและภรรยา

งานเลี้ยงฉลองเล็กๆ ในห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะรื่นเริงหรรษา เสียงฮัมเพลงเคล้ามากับเสียงบรรเลงเปียโนที่ยิ่งดึกก็ยิ่งครึกครื้น หอตะวันตกในคืนนี้มีชีวิตชีวามากกว่าตำหนักอื่นๆ เป็นไหนๆ ท่ามกลางความเงียบสงัดในค่ำคืนที่หมอกลงห่มหนาทั่วทั้งเมือง

เจ้าสุนันต่าและจันทร์หล้ายืนเกาะราวบันไดอยู่บนชั้นสอง สดับฟังเสียงหัวเราะและเสียงบรรเลงเปียโนที่ดังมาจากชั้นล่างอย่างแปลกหู ว่าแล้วก็อดที่จะหันมาสบตากันอย่างเสียไม่ได้

“จะ…เจ้าแม่ทรงอารมณ์ดีทั้งวัน บ่รู้เป็นอะไร”

“มีคนเคยบอกว่าใครหัวเราะเสียงดัง คนนั้นมีความสุข”

“บ่…บ่รู้ว่าท่านสุขใจที่ข้าจะได้เป็นผู้อัญเชิญช่อดอกไม้ออกต้อนรับคณะข้าหลวง ระ…หรือสุขใจที่สูได้เป็นเจ้าหญิงตะบินไดในงานเลี้ยงกันแน่”

คนเนินแก้มโค้งงามหันมาระบายยิ้มหวาน “ก็ต้องสุขใจที่ธิดาของท่านจะได้ออกต้อนรับแขกอยู่แล้ว”

“แต่สูเองก็เป็นธิดาอีกคนของท่าน เป็นธิดาบุญธรรม…เป็นพี่สาวบุญธรรมของข้า เจ้าแม่ท่านรักสูมากนะจันทร์หล้า”

หญิงสาวอ้ำอึ้งไม่กล้าน้อมรับเพราะเจียมกะลาหัวอยู่ในที แม้นในใจจะรู้สึกยินดีอย่างท่วมท้น ซาบซึ้งใจอย่างสูงสุดจนหาอะไรมาเปรียบไม่ได้ เรื่องที่เกิดขึ้นเหมือนไม่ใช่เรื่องจริง เหมือนเป็นดั่งความฝันที่เจ้านายทรงรับนางเป็นบุตรีบุญธรรม แถมครอบครัวของท่านก็เมตตาเอ็นดูนางอย่างเหลือหลาย

ครั้นแล้วทั้งสองจึงพากันกลับเข้าห้อง ทิ้งเสียงสรวลและเสียงร้องเพลงของพวกผู้ใหญ่ไว้เบื้องหลัง

เจ้าสุนันต่าหันไปกระโดดขึ้นเตียงดังโครม ก่อนจะซุกสอดพระวรกายเข้าไปในผ้านวมผืนอุ่นด้วยความหนาวสั่น ทรงเอื้อมไปหยิบเอานิยายเรื่องโปรด เรื่องที่อ่านค้างมาเปิดอ่านต่อจากหน้าที่มีที่คั่นเสียบอยู่

“ดะ…ได้ข่าวว่าเจ้าอ้ายเพิ่งจะมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เย็นวาน โดยสารมากับเครื่องบิน ทะ…ท่านน่าจะเดินทางกลับบ้านเมืองพร้อมกับคนอื่นๆ ในวันงาน ตะ…ตอนนี้คงช่วยเตรียมงานอยู่ที่สมาคมนักเรียนทุน”

“ม่อมหอมหล่อนตั้งหน้าตั้งตารอที่จะได้พบกับเจ้าสามเมืองท่านจนจะแย่ เล่าว่าเจ้าชายท่านเป็นที่รักของทุกคนที่หอตะวันตก”

“ก็แน่สิ หน้าอ่อนตาใสอย่างนั้น จะ…จะร้ายกับใครเขาเป็น จะ…เจ้าอ้ายท่านเป็นคนใจดีใจเย็นเหมือนเจ้าแม่ เสียแต่…”

“แต่อะไรหรือ”

“ฉะ…เฉิ่มเชย”

“หือ เฉิ่มเชยคืออย่างไร”

“ก็เป็นคนหัวบ่ทันสมัย ถะ…ถึงจะไปเรียนถึงต่างประเทศก็จริง แต่ทรงทำตัวล้าสมัย คิดดูเอาเถอะ คำพูดคำจาก็เป็นเหมือนคนสมัยเก่า แล้วก็ชอบทำในสิ่งที่คนเฒ่าชอบทำ”

“ทำอันใด”

“ขี้บ่น”

ว่าแล้วเจ้านางน้อยก็ล้อเลียนท่าทางเจ้าพี่ชายของตนที่ชอบยืนเท้าสะเอวบ่น จันทร์หล้าที่ได้เห็นกิริยาน้องสาวที่ล้อเลียนพี่ชายลับหลังก็หัวเราะ

“หากเจ้าสามเมืองเป็นคนที่ใจดีที่สุดในแสนฟ้า แล้วใครกันที่จะเป็นคนที่ใจร้ายที่สุด”

“ก็มหาเทวีน่ะสิ” เจ้าสุนันต่าทรงไม่ลังเลตอบ “วันนั้นที่เรียกสูขึ้นไปพบบนหอคำ สู…สูว่าท่านเป็นคนดุไหมล่ะ”

“ก็บ่ใช่คนดุเสียทีเดียว แต่ดูจะเป็นคนเจ้าระเบียบเสียมากกว่า”

“สู…สูยังบ่เคยเห็นตอนท่านสำแดงอิทธิฤทธิ์น่ะซี ดูเอาเถอะ มีอย่างที่ไหน รู้ทั้งรู้ว่าขะ…ข้าพูดติดอ่างก็ยังให้ข้าไปออกกล่าวต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง จะ…ใจแท้ก็คงหวังอยากให้ข้าขายหน้าต่อหน้าคนหมู่มาก คะ…แค่ยามพูดจาปกติ ข้าก็ลำบากพอทน แล้วนี่ยังจะให้ข้าไปพูดต่อหน้าแขกเหรื่อแบบนั้นอีก หะ…หากข้าบ่กัดลิ้นตัวเองตายเสียก่อน ก็คงจะหนีบ่พ้นที่จะถูกคนหัวเราะเยาะ”

เจ้านางน้อยมีสีหน้าเศร้าลง “และก็คงจะทำให้ จะ…เจ้าฟ้าท่านขายหน้าต่อหน้าคนอื่นๆ”

“โถ ไยเจ้าปลาถึงเป็นคนวิตกกังวลไปไกลได้ขนาดนี้”

“คะ…คราวนี้ผู้คนจะดูแคลนว่าธิดาคนเล็กของเจ้าฟ้าว่าเป็นเพียงเด็กพูดติดอ่าง” น้ำเสียงคนเศร้าสร้อยกล่าวไปต่อ “สู…สูก็รู้นี่นา เวลาที่ตื่นเต้น ปาก…ปากมันก็ยิ่งพูดบ่ออก ละ…ลิ้นก็พันกันใหญ่”

“ถ้าพูดปกติแล้วพูดบ่ออก เจ้าปลาก็พูดภาษาอิงกะริตกับแขกไปเลยสิบาทเจ้า พูดเหมือนตอนที่พูดกับพระสหายและแหม่มที่โรงเรียนยังไงเล่า”

“พูด…พูดภาษาอิงกะริตหรือ”

“ก็เจ้าปลาพูดภาษาอิงกะริตเก่ง ข้าเห็นยามเจ้าปลาอ่านออกเสียงด้วยภาษาอิงกะริตทีไร ก็จะออกเสียงชัดเจน และพูดจาคล่องแคล่วกว่ายามพูดจาปกตินัก”

“สู…สูเห็นเป็นแบบนั้นหรือ สูมั่นใจในตัวข้าหรือ”

ผู้เป็นพี่สาวบุญธรรมส่งยิ้มเพื่อให้คลายกังวล “เชื่อข้าสิ ข้าเป็นคนเดียวที่นั่งฟังท่านอ่านหนังสือนะบาทเจ้า”

“ข้า…ข้าจะบ่เป็นตัวตลก หรือทำผู้คนหัวเราะขบขันใช่ไหม…ข้ากังวล กลัวคนตำหนิ”

“บ่มีผู้ใดจะกล้ากล่าวตำหนิติเตือนธิดาของเจ้าฟ้าได้ แถมยังจะพากันทึ่งด้วยซ้ำ ที่เจ้าท่านพูดภาษาต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่ว”

“สู…สูเห็นเป็นแบบนั้น ขะ…ข้าก็จะว่าตาม”

คำพูดและสายตาที่มุ่งมั่นของจันทร์หล้าทำให้เจ้าสุนันต่าใจชื้น ว่าแล้วก็ทรงลุกขึ้นกอดหญิงสาวเอาไว้ด้วยความขอบคุณยินดี ด้านคนถูกกอดก็ทั้งยิ้มละไมและทั้งรู้สึกอบอุ่น เสมือนว่าได้กอดคนในครอบครัวของตนเอง

 

วงมโหรีปี่พาทย์บรรเลงดังมาจากบนเรือน

ก่อนเหล่านางรำทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่จะเรียงแถวร่ายรำออกมากันทีละคู่ๆ เป็นการแสดงรำหมู่ที่มีชื่อว่า ‘ระบำสาวพรหมจรรย์’ ที่จะใช้เป็นการแสดงต้อนรับเมื่อยามแขกมาถึง การแสดงชุดเบิกโรงชุดนี้ใช้นางรำมากถึงสามสิบสองคน นางรำแต่ละคน หน้าตาแฉล้มแช่มช้อย หุ่นร่างสูงเตี้ยไม่ต่างกันมาก

เรือนซ้อมละครหลวงของมหาเทวีเป็นเรือนหลังใหญ่ สร้างด้วยไม้สักทองทั้งหลัง ตั้งอยู่ภายในบริเวณหอหลวง นางรำทั้งหมู่คณะกำลังซักซ้อมร่ายรำไปตามท่วงทำนองดนตรีที่สนุกสนาน หน้าเวทีมีหัวหน้าแม่ครูคอยนั่งกำกับดูการแสดงอย่างไม่วางตา

หัวหน้าแม่ครูละคร หรือ ‘สะหย่ามะ’ เป็นหญิงวัยกลางคนหากแต่มีท่าทางคล่องแคล่ว ท่านมีโครงหน้าเล็กหากแต่นัยน์ตาคมกริบ แม้อายุจะล่วงไปมากแล้วแต่รูปโฉมท่านยังสวยสะคราญ ว่ากันว่าสะหย่ามะเป็นอดีตนางรำในราชสำนักม่านบุรีโบราณ และเป็นนางรำรุ่นสุดท้ายก่อนที่ราชสำนักจะล่มสลายจากการมาเยือนของจักรวรรดิอังกฤษเมื่อห้าสิบกว่าปีที่แล้ว

จันทร์หล้าเดินทางมาที่เรือนซ้อมละครหลวงในช่วงสายของวัน เมื่อมาถึงก็พลันตกเป็นเป้าสายตาและการป้องปากกระซิบกระซาบ หากนางไม่ใส่ใจ

เมื่อยกขันครูขึ้นขอฝากตัวเป็นศิษย์เป็นครูกับสะหย่ามะแล้ว ท่านก็ให้นางรำรุ่นพี่อีกสองคนมาช่วยกันฝึกสอนประกบตัวต่อตัวกับจันทร์หล้า และแล้ว ท่านก็เริ่มสอนบทเรียนแรก โดยการลงมือดัดมือดัดแขน ดัดขา ดัดตัว และดัดหลังนางรำคนใหม่ทันที

จันทร์หล้าไม่ได้คิดว่าการรำแบบม่านบุรีจะง่าย หากแต่ก็ไม่ได้นึกว่ามันจะยากเย็นถึงเพียงนี้ เพราะนอกจากตนจะต้องถูกจับดัดตัวจนตาเหลือก เอ็นสะดุ้งแล้ว นางก็ต้องฝึกดีดเท้าเตะชายผ้าซิ่นให้ตรงกับจังหวะ ขณะที่รำก็ต้องคอยรักษาท่าทางไปตามท่วงทำนองของจังหวะดนตรีที่แปลกหู แถมยังต้องย่อเข่าพร้อมกับยกหน้าอกเชิดขึ้นตลอดเวลา ซึ่งท่วงท่าแบบนี้ พลอยทำให้นึกไปถึงนางเอกละครของคณะม่านจ๊าดที่เมืองหมอกใหม่อย่างเสียไม่ได้

หรือถ้าหากจะให้เทียบกับการร่ายรำและจังหวะทำนองของการฟ้อนเล็บที่นางถนัดแล้ว ก็แทบจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

นานแค่ไหนกันแล้วนะ ที่จันทร์หล้าไม่ได้ร่ายรำตามทำนองเครื่องดนตรี…

“รำแบบม่านบุรีบ่เหมือนฟ้อนเล็บที่ข้าเคยรำเลยสักนิด”

น้ำเสียงอู้อี้กล่าวอย่างอิดออดขณะนอนคว่ำแบ็บอยู่กับเสื่อปูพื้นอย่างหมดสภาพ หลังจากแบกร่างที่ร้าวระบมกลับมาจากเรือนซ้อมละคร มีม่อนหอมและเจ้าสุนันต่ากำลังช่วยกันบีบนวดคลายเส้นด้วยน้ำมันและลูกประคบ

“ขะ…เขาดัดตัวสูหรือ” เจ้านางน้อยถามด้วยความสงสัย ก่อนจะล้วงยาหม่องไพลสดเข้าโปะนวดเฟ้นให้ตรงท่อนแขนของนางรำ

“ทั้งดัด ทั้งจับตัวข้าบิดเหมือนอย่างกะหุ่นกระบอก”

“บ่แม่นว่าลำไส้สูขาดไปแล้วหรือ” ม่อนหอมถาม ในขณะที่กำลังนวดให้อยู่ตรงต้นขา

“หากไส้ข้ามันพูดได้ มันก็คงจะกรีดร้องทุกวันแน่ๆ”

“อะ…เอาน่า อดทนอีกสักหน่อยเถอะนะ สู…สูจะเป็นหน้าเป็นตาให้กับหอตะวันตกเฮาหนา เจ้า…เจ้าแม่ท่านตั้งความหวังกับสูไว้มากนัก”

“ที่ผ่านมามหาเทวีบ่เคยเรียกคนนอกเข้าไปเป็นนางรำหลวงเลยสักครั้ง มีสูนี่แหละเป็นคนแรก เมื่อก่อนท่านจะส่งบทเด่นนี้ให้แต่กับนางรำในโรงละครหลวงที่เป็นเหล่าพระญาติของท่าน”

จันทร์หล้าหันหน้ากลับมาทางคนทั้งสองอย่างหมดแรง “ที่ท่านเลือกข้า ก็เพราะข้าบ่ไหว้สาท่าน ท่านก็เลยลงโทษข้าเสียจนสาหัสอย่างนี้ ข้าก็เพิ่งจะรู้”

“สูไปเจอท่านที่ไหน ไยบ่เคยเล่าให้ข้าฟังสักครั้ง”

“ข้าเจอมหาเทวีท่านที่โรงเรียนของเจ้าปลา” คนนอนเปื่อยตอบด้วยสายตาละห้อย “แต่ตอนนั้นข้าซื่อบื้อ บ่รู้ว่าท่านคือมหาเทวี ตอนเจอท่านข้าเลยเผลอทำเฉยเมย ท่านเองก็คงจะคิดเคืองใจ ก็ใครมันจะไปรู้เล่า”

“ใครที่ไหนเขาก็รู้กันทั้งนั้นว่ามหาเทวีของเมืองนี้คือคนไหน มีแต่สูนี่แหละ”

“ก็ข้าบ่เคยเห็นท่านมาก่อนนี่นา ข้าเคยเข้าไปที่หอคำเสียที่ไหนกันล่ะ”

“เห็นไหมล่ะ ปะ…เป็นอย่างคำข้าพูดไว้ไหม นี่ยังดีนะ ที่…ที่ท่านบ่สั่งเอาโทษสูมากไปกว่านี้” เจ้าสุนันต่าทรงทำย่นจมูก ท่าทางขยาด “ขะ…ข้ารู้ฤทธิ์เดชของมหาเทวีดี ท่านเจ้ายศเจ้าอย่างจะตาย ทนโดนทำให้เสียหน้าได้เสียที่ไหน” จันทร์หล้าถอนหายใจ ร่างกายอ่อนปวกเปียกคล้ายผักกาดดองในโอ่งข้ามปี

“ลงโทษให้ข้าไปดายหญ้ารดน้ำสวน หรือให้เป็นขี้ข้าเกียข้าวไก่ (ให้อาหารไก่) ตอนแลงยังดีจะกว่าให้ข้าไปรำแบบนี้”

“สูจะมาบ่นอุบอิบอันใดเอาเวลานี้ วันงานใกล้เข้ามาอยู่รอมร่อ ตอนนี้หากสูบ่รำก็เป็นโทษ รำบ่ได้ หรือรำบ่เป็นก็เป็นโทษอยู่ดี สูบ่มีทางเลือก” ม่อนหอมขู่

เมื่อนั้นเอง ก็มีเสียงรถยนต์แล่นมาจอดอยู่ที่ลานหน้าตำหนัก ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าสอาดองค์พูดคุยต้อนรับใครสักคนที่ด้านล่าง ในเวลาเดียวกันนั้น นางหม่วยก็วิ่งขึ้นมาจากชั้นล่าง เปิดประตูผลัวะเข้ามา แจ้งความแก่เจ้านางน้อยอย่างตื่นเต้น แถมยิ้มกรุ้มกริ่มแฝงจุดประสงค์น่าสงสัย

“เจ้าปลา เจ้าแกมเมืองมาบาทเจ้า!”

ได้ยินดังนั้น ดวงเนตรเรียวเล็กก็พลันมีประกายวาว เจ้าสุนันต่ารีบลุกพรวดพราดจนตัวเกือบลอย วิ่งนำหน้านางหม่วยออกจากห้องไปด้วยความตื่นเต้นเป็นที่สุด

“เจ้าปลาดูท่าจะโตเป็นสาวเต็มตัวก็ตอนนี้แหละ”

“สูก็รู้เรื่องนั้นหรือม่อนหอม”

“รู้อันใด”

“ก็เรื่องเจ้าปลากับ…เจ้าแกมเมือง”

ม่อนหอมหลุดขำออกมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ “เจ้าปลาน่ะ ท่านแค่แอบปลื้มเจ้าแกมเมืองเท่านั้นเอง ก็ตามประสาสาวอ่อนหน้อยที่แอบชอบพี่ชายต่างมารดา ที่ทั้งเก่งแถมยังหล่อเหลาอีกต่างหาก ส่วนเจ้าแกมเมืองท่านเองก็เอ็นดูเจ้าปลาเป็นเพียงน้องสาว ก็พวกท่านอายุห่างกันเกือบสองรอบ”

“เป็นพี่น้องกันหรอกหรือ ข้าก็นึกว่าทั้งสองเป็นเพียงเครือญาติห่างๆ กันเท่านั้น”

“เปล่า เจ้าแกมเมืองท่านเป็นราชบุตรองค์โตของเจ้าฟ้า มีศักดิ์เป็นพี่ชายร่วมบิดาเดียวกัน”

“สูเคยเห็นเจ้าชายท่านไหม…ท่านหล่อเหลาจริงแท้ไหม” จันทร์หล้าถาม พลางค่อยๆ หยัดตัวลุกขึ้นมานั่ง สภาพอ่อนแรง

“ถามว่าหล่อเหลาหรือ ก็หล่อเหลาอยู่หรอกนะ เสียแต่เป็นคนดุ พวกข้าบ่าวบ่มีใครกล้ามองหน้าท่านสักคน คนเขาว่าท่านเป็นหนุ่มเลือดร้อน มุทะลุดุดัน เข้าถึงยาก พวกบ่าวไพร่เลยบ่กล้าอยู่ใกล้ท่านมาก ที่สำคัญ ท่านยังมีนักฆ่าเป็นองครักษ์ประจำตัวอีก ชายคนนั้นฆ่าคนมานับสิบ”

“ข้านึกว่าพวกองครักษ์ของเจ้านายจะเป็นพวกทหารหลวงเสียอีก”

“คนเก่าที่รู้เรื่องราวเขาเล่าต่อๆ กันมา ว่าตัวท่านมักถูกคนลอบปองร้ายมาตั้งแต่สมัยเป็นเพียงเจ้าชาย ท่านเลยบ่ไว้ใจใครแม้แต่ทหารหลวงในหอคำ หลังจากเจ้าฟ้าหลวงทรงแต่งตั้งท่านขึ้นสืบบัลลังก์ ก็ซ้ำจะมีคนจ้องสังหารท่านอีกครา เลยจำต้องเอานักฆ่ามาเป็นองครักษ์”

“ถึงกับจะฆ่าแกงกัน ไยคนเฮาถึงได้โหดร้ายต่อกันถึงเพียงนี้นะ” จันทร์หล้ารำพึง

“ก็เพราะท่านหาใช่บุตรของมหาเทวี แถมท่านยังมีเชื้อสายคนต่างชาติอีกต่างหาก ที่ได้ขึ้นสืบบัลลังก์ก็เพราะว่าเป็นบุตรคนแรกของเจ้าฟ้า”

“แล้วมันผิดธรรมเนียมของคนที่นี่หรือยังไง”

“ผิดสิ” สาวหน้าแบนพยักหน้า “เลือดบ่เข้ม เพราะมารดาบ่ได้เป็นเชื้อเจ้า แถมเลือดเจือจางกับเลือดคนต่างชาติ ตามธรรมเนียมจะบ่มีสิทธิ์ได้ขึ้นเป็นเจ้าครองเมือง”

“แต่ท่านก็เป็นถึงบุตรของเจ้าฟ้าหลวงนะ ยังไงเสียท่านก็ต้องมีสิทธิ์อยู่วันยังค่ำ”

“อันว่าเรื่องสิทธิ์ หรือลำดับการขึ้นครองบัลลังก์นั้นข้าก็บ่รู้มาก รู้แต่เพียงว่า ใครหน้าไหนก็บ่มีอำนาจชี้ขาดได้เท่ากับเจ้าฟ้าหลวงอีกแล้ว ลองเจ้าฟ้าท่านรับรองตำแหน่ง ก็บ่มีใครกล้าขัด…แต่อย่างว่านะ ถึงคนอื่นจะกลัวเจ้าชายท่าน แต่ข้าว่าท่านเป็นคนเก่ง ตอนสมัยข้ายังเด็ก ยังเคยไปยืนต้อนรับท่านกลับมาแสนฟ้า…ท่านเป็นอดีตนักเรียนทุนของรัฐบาลเมื่อสมัยสิบปีที่แล้ว”

ตอนนั้นเอง เจ้าสุนันต่าก็กลับมาด้วยอากัปกิริยาร่าเริงแจ่มใส ในมือท่านหอบหิ้วของฝากมามากมาย ทั้งตุ๊กตา ของจิปาถะและหนังสือเรียนภาษาอังกฤษ ในเวลาเดียวกัน เสียงรถยนต์ก็ค่อยๆ ขับออกจากไป ทั้งสองสาวจึงได้ทีลุกขึ้นมายืนมองจากระเบียงชั้นสอง

ท่ามกลางแสงสลัวอ่อนๆ แสงสุดท้ายของวันที่กำลังจะลาลับเมฆหมอกไอหนาวในช่วงย่ำค่ำ ยังพอทำให้ทันเห็นท้ายรถที่เพิ่งขับออกไปไวๆ

ม่อนหอมและจันทร์หล้าหันขวับมามองหน้ากันอย่างไม่ได้นัดหมาย เผยสีหน้าคาดไม่ถึง

“ม่อนหอม นั่นมัน…รถยนต์คันที่เฮาเห็นที่นอกเมืองวันนั้นนี่นา”

 



Don`t copy text!