ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 18 : ผีหญิงห่มเลือด

ธามทศ ล่ากฎหลอน บทที่ 18 : ผีหญิงห่มเลือด

โดย : ไข่เจียวหมูสับ

Loading

ธามทศ ล่ากฎหลอน โดย ไข่เจียวหมูสับ หรือ สรสิทธิ์ เลิศขจรสุข กับเรื่องราวของธามทศและเมืองสมมติที่เต็มไปด้วยกฎแปลกๆ ที่อันตรายถึงชีวิต เขาจะเอาชีวิตรอดจากกฎหลอนที่ว่าไหม ตัวแปรมากมายที่เข้ามาเกี่ยวข้องจะทำให้เขาต้องทิ้งลมหายใจในเมืองสมมติแห่งนี้หรือเปล่า อ่านนวนิยายออนไลน์จากอ่านเอาได้ใน anowl.co

ผมได้เล่นกับโมนาจริงๆ เป็นครั้งแรกเมื่อไม่กี่วันก่อน ในวันนั้นเธอตื่นขึ้นมากลางดึกเพราะหิวน้ำ แต่ยังไม่ทันได้ไปถึงตู้เย็นในห้องครัว ผีหญิงห่มเลือด (พ่อเรียกมันว่าอย่างนั้น) ก็พุ่งเข้ามาทำท่าจะบีบคอ

หากเป็นในยามปกติที่โมนาอยู่กับพวกวิคเตอร์คงไม่เป็นไร เพราะต่างคนจะคอยปกป้องซึ่งกันและกัน แต่ในกลางดึกที่โดดเดี่ยว โมนาร้องและวิ่งหนีด้วยความตกใจ และมาชนเข้ากับผมที่กำลังเดินเล่นเพราะนอนไม่หลับ

‘ออกไปนะ ผีร้าย’ ผมตะโกนใส่ผีผู้หญิง ทั้งที่ยามปกติที่ถูกหลอกไม่เคยจะกล้าทำแบบนี้ ยิ่งไม่มีใครคบยิ่งต้องระวังตัว แต่เมื่อเห็นโมนาเกาะไหล่จากด้านหลัง ความกล้าไม่รู้มาจากไหน

ผีหญิงห่มเลือดหายไปแล้ว มันไม่สามารถทำร้ายใครถึงตายได้หรอก พี่ดิวาห์เคยสอนผมไว้

โมนายังคงเกาะแน่น คืนนั้นผมจึงชวนเธอไปที่ห้องนั่งเล่นเพื่อเปิดหนังดู จำได้ว่าคืนนั้นทีวีจอใหญ่ฉายเรื่องหุ่นเหล็กที่ย้อนเวลามาสังหารคน และเพราะพรุ่งนี้ไม่มี ‘อบรม’ เราสองคนจึงเล่นการ์ดกันพลาง ดูหนังไปพลาง

‘สัญญาได้ไหมว่าจะปกป้องเราอีก’ โมนาถามขึ้น

ผมสัญญาออกไปในทันที

เราคุยกันต่ออย่างยาวนาน กระทั่งหนังจบแล้ว และเปลี่ยนไปเป็นการ์ตูนที่พระเอกตายตอนจบ และส่งท้ายด้วยฉากแต่งงานของตัวละครรอง

เป็นเรื่องโปรดของโมนา เธอจ้องมองจอตาเขม็ง แม้ว่าจะดูมาแล้วหลายสิบรอบก็ตาม

‘วิคเตอร์บอกว่าคนเราจะแต่งงานได้เมื่ออายุ ๑๘ ปีขึ้นไป’ โมนาเอ่ยขึ้นอีกครั้ง สายตายังอยู่กับฉากพระเอกถูกเพื่อนใช้ดาบเสียบยอดอก

ผมร้องห่ะ ไม่เข้าใจว่าโมนาต้องการสื่ออะไร ใจเด็กสิบขวบเต้นแรง

‘ฤทธิ์…พออายุ ๑๘ แล้วเรามาเป็นแฟนกันนะ จากนั้นก็แต่งงานกัน แบบนี้’ โมนาชี้หน้าจอพร้อมยิ้มหวาน สายตาซ่อนแววเจ้าเล่ห์อย่างที่พ่อเลี้ยงเคยชม

มันรวดเร็วและไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย แต่ใจผมละลายลงตรงนั้น ตอบรับอย่างร้อนรนกลัวเธอจะเปลี่ยนใจ

วันเวลาในตอนนั้นช่างเหมือนกับฝัน ฝันที่ไม่อยากตื่น

 

ธามทศหมดสติไปวูบหนึ่ง เผลอฝันถึงอดีตอันห่างไกล พอลืมตาก็พบว่าตนยังมีชีวิตอยู่ โดยกำลังนอนหงายอยู่กับพื้นเปื้อนฝุ่นและรอยของเหลวสีแดง เมื่อขยับไหวจึงพยายามลุกขึ้นมาเพื่อห้ามเลือด แต่ก็พบว่ามันหยุดไปแล้ว จริงสิ ก่อนจะสลบไปเขาคงฉีดยาห้ามเลือดและทากาวพิเศษเคลือบแผลปิดไว้แล้ว แน่นอนว่ายาทั้งหมดที่ประเคนเข้าตัวนั้นมีอันตราย หากรอดจากเรื่องทั้งหมดนี้ไปได้คงต้องไปรักษาตัวอีกยาว…

ฉัวะ เสียงอะไรสักอย่างถูกฟัน มาพร้อมกับสายลมเมื่อครู่ รู้สึกตัวอีกทีหัวไหล่ขวาก็ชุ่มเลือด

เขากองไปกับพื้นอย่างทุรนทุราย ร้องครางด้วยเจ็บแทบขาดใจ น้ำตาทะลักอย่างไม่อาจห้ามยั้ง ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็ทานยาระงับความเจ็บปวดไว้แล้ว แต่คงไม่พอ…

เสียงสวดมนต์ภาษาอะไรสักอย่างชวนให้ปวดหู มันดังขึ้นเรื่อยๆ เลื้อยเข้ามาชอนไชในหัวเหมือนกับหนอน

คุมลมหายใจ พยายามข่มตาแน่น ระลึกสิ่งที่ต้องทำ กฎอยู่ที่ไหน ทำไมเขาจึงไม่เห็น แปลกใจชะมัด ทั้งที่พอรู้จักกฎนี้อยู่แล้วแท้ๆ ไม่สิ สิ่งที่ต้องแปลกใจไม่ใช่การหากฎไม่เจอ แต่เป็นเรื่องที่เขายังมีชีวิตอยู่ต่างหาก มันปล่อยให้เหยื่อสลบไปโดยไม่ซ้ำงั้นหรือ

เราไม่สามารถระบุได้ว่ากฎย่อยของแต่ละชั้นจะมาในรูปแบบใด แต่มันจะแปะติดหรือนำเสนอไว้ที่ใดสักแห่งในลิฟต์เสมอ

ประโยคนั้นดังขึ้นมาในหัว…ใช่แล้ว

ธามทศรีบคว้ากระเป๋าสะพายที่วางอยู่บนพื้นขึ้นมาดู เร่งกวาดสายตามองไปทั่ว กระทั่งพบตัวหนังสือสีเลือดขีดเขียนไว้ที่ด้านหลังของกระเป๋า

ห้ามมอง

สองพยางค์ที่ชัดเจน ตอบคำถามที่สงสัย ช่วงที่สลบไปและช่วงที่ทุรนทุรายกับพื้นนั้นเขาไม่ได้ลืมตาสักนิด มันจึงไม่เข้ามาซ้ำสินะ ธามทศรีบหลับตาลงทันที ช่วงเวลาเดียวกับที่เสียงฉัวะและลมเย็นพัดขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ลมพัดเสยจากด้านหน้าขึ้นไปบนหัว เส้นผมหน้าม้าถูกตัดออก โปรยลงมาแตะที่จมูก หากช้ากว่านี้ส่วนหัวคงถูกตัดตามแนวนอนไปแล้ว

ทุกอย่างเงียบสงบลงทันใด ไม่มีแม้เสียงลม

ไม่ยาก กฎพวกนี้อันตราย แต่ก็ไม่ได้ยากเกินกำลัง แต่เพราะหลับตาลงจึงมีสมาธิกับร่างกายมากขึ้น ความเจ็บปวดจึงเริ่มกลับมาทำร้ายอีกครั้ง น้ำตาไหลออกมาเพื่อคลายความปวดร้าว

แต่ว่าไม่เจ็บเท่าเมื่อครู่ แสดงว่าที่เจ็บแทบตายกับมีเลือดพุ่งเมื่อกี้เป็นเพราะผลจากกฎย่อยสินะ ส่วนต้นขาก็ไม่มีเลือดซึมแล้ว

ธามทศพยายามคุมลมหายใจตามที่เคยฝึกฝนมา มือควานหาของในกระเป๋า เจอแล้ว…ยาลดความเจ็บปวด เขารีบร้อนเทเข้าปากและเคี้ยวกลืนลงคอ อาการยิ่งบรรเทาลง รู้ดีว่ายิ่งทำเช่นนี้อายุขัยยิ่งสั้นลง แต่ไม่มีทางเลือกมากนัก

เสียงกึกดังขึ้นพร้อมกับอาการลิฟต์สั่นไหว มาถึงชั้นสี่แล้ว…

 

ธามทศหรี่ตาขึ้นมามอง กลัวว่าเสียงดังจะเป็นตัวหลอกให้ลืมตา แต่เมื่อเห็นไฟตรงปุ่มเลขห้าดับไปแล้วก็รู้ว่าเป็นเรื่องจริง

จากนั้นจึงเริ่มหากฎย่อยของชั้นนี้ และพบว่ามันถูกเขียนไว้ด้วยเลือดอะไรสักอย่างที่ประตูลิฟต์ด้านใน ‘ห้ามหายใจ’

เขากลั้นลมทันทีที่อ่านจบ ตัวหนังสือนั้นประมาณฝ่ามือ แต่ความหมายช่างน่าหวั่นวิตก ฉิบแล้ว ลิฟต์ตัวนี้กำลังเคลื่อนตัวลงช้าๆ

ช้ากว่าชั้นก่อนๆ มาก…

ที่ผ่านมาเขาเคยฝึกกลั้นหายใจใต้น้ำหรือในน้ำเย็นจัดมาก่อน ปอดจึงค่อนข้างแข็งแรง แต่หากเกินห้าหรือหกนาทีก็คงไม่ไหว ไม่ได้เตรียมสูดออกซิเจนบริสุทธิ์มาด้วย อีกอย่างยังต้องเตรียมรับมือกับการโจมตีอีก

แต่ที่น่ากังวลกว่า นั่นคือช่วงเวลาก่อนจะหากฎย่อยเจอ ตัวเขาได้หายใจด้วยความไม่รู้ไปแล้วหลายเฮือก… เพราะฉะนั้นจะต้องเกิดอะไรขึ้นแน่นอน

ห้าวินาที หกวินาที ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น…หรือว่าหากยังไม่อ่านกฎจะไม่นับงั้นหรือ ไม่สิ ไม่เกี่ยวเลย เมื่อครู่ก็ถูกฟันไปสองรอบตั้งแต่ยังหากฎย่อยไม่เจอด้วยซ้ำ

แต่แล้วก็รู้ ว่าผลของการหายใจคืออะไร

เลือดกำเดาไหลย้อยออกมาจากสองรูจมูก ลำคอและอกร้อนปลาบ ธามทศทรุดลงไปคุกเข่า อยากจะอาเจียนแต่ก็ต้องกลั้นให้ถึงที่สุด หากอ้วกออกมาตอนนี้คงต้องเผลอหายใจเข้าออกแน่ จะสูดอากาศแบบนี้เข้าไปอีกไม่ได้

พริบตานั้นลิฟต์ก็กระตุกดังกึก แต่พอมองไปที่ปุ่มก็ต้องเครียดจัด นั่นเพราะไฟตรงปุ่มชั้นสี่นั้นยังอยู่

ลิฟต์หยุดแล้ว ทั้งที่ยังไม่ถึงชั้นสาม…นั่นมีเพียงเหตุผลเดียว

ประตูสองฝั่งค่อยๆ แยกจากกันช้าๆ เห็นภายนอกประตูลิฟต์จึงรู้ว่ามันจอดระหว่างชั้น มองออกไปจึงมีเพียงกำแพงและสายไฟที่ดูทึบและสกปรก มีเพียงส่วนล่างของประตูเท่านั้นที่เป็นช่องว่างซึ่งมีแสงส่องเข้ามา

ช่องว่างประมาณสิบเซนต์ ไม่น่ามีผู้ร่วมทางเดินเข้ามาได้หรอก

แต่เขาก็คิดผิด เพราะครู่เดียวก็มีมือลอดเข้ามาจากช่องว่างด้านล่าง!

เป็นมือที่มีสภาพเหมือนมือคน แต่ผิวหนังนั้นเป็นกระดาษซึ่งมีตัวหนังสือสีดำขีดเขียนอยู่ ราวกับเอากระดาษจากหนังสือมาใช้เป็นผิวหนัง

นิ้วมือของมันมีเล็บสีดำยาว ดูแล้วรู้ทันทีว่าอันตราย

มันค่อยๆ แทรกตัวเข้ามาทางช่องว่างด้านล่างประตูลิฟต์ ตัวยับย่นเหมือนกระดาษที่ถูกขยำ ส่งเสียง อา อา เหมือนกำลังพึมพำคำสาปแช่ง ฟังครู่หนึ่งจึงทราบว่าเป็นเสียงสวดมนต์ที่ได้ยินเมื่อชั้นที่แล้ว

ไม่ถึงนาที ‘มนุษย์ที่ทำจากกระดาษ’ ก็เข้ามาในลิฟต์ทั้งตัว

 

เวลานี้พ่อเลี้ยงคงกำลังล้างแค้นพินธาอยู่ ตัวดิวาห์นั้นขอปลีกออกมาทำงาน แต่อันที่จริงก็เพียงนั่งจ้องมองหน้าจอนับร้อยตรงหน้าในห้องทำงานขนาดใหญ่ซึ่งปิดไฟมืดสนิทเท่านั้น

เสียงกรีดร้องของพินธาดังมาถึงในนี้ ทั้งที่ห่างออกไปตั้งหลายห้อง พ่อเลี้ยงเคยสอนว่าเสียงโหยหวนด้วยความทรมานนั้นนับเป็นดนตรีชนิดหนึ่ง แต่เขาไม่เข้าใจ เป็นเพียงไม่กี่เรื่องที่ไม่เข้าหัวเลย

ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ดิวาห์ไม่ชอบดนตรี และไม่เคยเข้าถึงความไพเราะใดๆ ในโลก…ทว่ากลับมีอยู่เพลงหนึ่งที่เขามักเปิดฟังเป็นประจำ และเสียงที่ถูกอัดอย่างไร้คุณภาพนั้นกำลังกังวานจากเครื่องเล่นเก่าๆ บนโต๊ะ สะท้อนไปมาในความมืด

พวกเราคือพี่น้อง พวกเราคือผองเพื่อน

กี่ยาม กี่วัน กี่เดือน

ความเป็นเพื่อนของเราคงทน

และหากว่ามีวันไหน ที่ใจพวกเราสับสน

ก็ขอแค่มีเธอนั้น…

เสียงของเด็กน้อยหกคนร้องวนไปมาโดยไม่มีดนตรีประกอบ ช่างบาดหูไปพร้อมๆ กับช่วยให้สบายใจขึ้น

หน้าจอมอนิเตอร์นับร้อยที่เรียงรายกันสูงถึงเพดาน และกว้างสุดขอบกำแพงสองฝั่ง มีเพียงจอตรงกลางจำนวนสี่จอที่ทำงาน

สิ่งที่กำลังฉายออกมา คือห้องพยาบาลที่อยู่ชั้นล่างของบ้านหลังนี้ แยกหนึ่งจอต่อหนึ่งเตียงผู้ป่วย

ทั้งสี่คนคือเพื่อนในวัยเด็กของเขา อันที่จริงคงต้องนับเป็นน้องๆ

ไม่นานดิวาห์ก็เริ่มเอียนกับเสียงเพลง จึงกดปิดลงที่แผงคำสั่งหน้ากลุ่มจอมอนิเตอร์

และนั่งเฝ้ามองเพื่อนรุ่นน้องทั้งสี่คนนอนนิ่งบนเตียงสีขาว รอคอยการปลดปล่อยจากความทรมานอันไร้ที่สิ้นสุด

 



Don`t copy text!