ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 13 : คนดวงแข็ง

ขุนเขาแมกไม้ บทที่ 13 : คนดวงแข็ง

โดย :

Loading

“ขุนเขาแมกไม้” นวนิยายเรื่องเยี่ยมในชุดโหราศาสตร์ ผลงานเรื่องล่าสุดของ ’กฤษณา อโศกสิน‘ ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ประจำปีพุทธศักราช 2531 กับเรื่องราวของเดินดงและอิทธิพลของดาวเสาร์ที่มีต่อชีวิตของเขาได้ในอ่านเอา

ขณะที่ยืนดูคนงานทั้งคู่ลงมือกะระยะที่จะล้อมรั้วเป็นลำดับแรก เสียงมือถือก็ดังขึ้น เดินดงจึงยกหูฮัลโหล

แม่นั่นเอง ถามว่า

“จัดการไปถึงไหนแล้วดง ท่านพระครูหาคนมาช่วยแล้วใช่ไหม…แม่ก็กำลังรอฟังข่าว มีอะไรต้องจ่ายก็บอกมาได้เลย”

“ต้องจ่ายเยอะเลยแม่” ชายหนุ่มตอบอย่างรู้สึกเหนื่อยเพิ่มขึ้นมา “นี่ก็ยังจะต้องตั้งศาลพระภูมิอีกไง…ศาลพระภูมิก็สำคัญไม่ใช่เหรอ”

“สำคัญ” นางอัมพวาลงเสียง “ต้องให้คนระดับอาจารย์มาทำพิธีนะ…ที่แม่เคยตั้งบ้านเรา แม่ก็ยังเชิญท่านพราหมณ์จากโบสถ์พราหมณ์มาทำพิธีเลย อัญเชิญเทพมาสถิตที่ศาลพระภูมิ…จะได้คุ้มครองบ้านช่องผู้คนให้อยู่เย็นเป็นสุขไงล่ะ…ที่นี่มีไหม พราหมณ์น่ะ…”

“มีลุงอะไรคนอยู่ประจำร้านที่ขายศาล คิดว่าคงพอจะถามรายละเอียดได้ว่าแกเคยบวชเรียนมาไหม”

“เคยฮะ” คนงานตอบทันควันเมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม “แกเคยบวชอยู่ตั้งสิบสองพรรษา”

“ถ้างั้นก็ต้องไปคุยกันก่อนมั้ง”

“ไปคุยได้เลย นี่ก็แค่เตรียมหลุมไว้” อีกฝ่ายบอกกล่าวเมื่อนึกถึงเสียงนินทาของนายจ้าง ‘มึงก็ช่วยๆ มันหน่อยนะ มันท่าทางเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ทำท่ายังกะลูกมหาเศรษฐี มีอะไรก็ช่วยแนะแนวมันละกัน’

ดังนั้น คนงานทั้งคู่จึงพร้อมใจกันทำตามคำสั่งโดยแนะนำ

“เดี๋ยวไปคุยกะแกก่อนก็ได้ กะเจ้าของร้านขายศาลน่ะนะ จะได้รู้ก่อนตั้งศาลว่าอะไรเป็นอะไร…คือเห็นคนตั้งศาลเขาก็ไม่ได้ตั้งเลย ต้องดูฤกษ์ด้วย”

“ยังงั้นเหรอ…ถ้ายังงั้นก็ไปเลยดีไหม”

“เดี๋ยวนี้หรือคุณ”

“ว่างแล้วไง ไหว้เจ้าที่แล้วก็ว่างแล้ว” เดินดงตอบ แต่มิวายปวดหัวกับเรื่องจุกจิกกวนใจ

จึงบอกมารดาว่า

“แค่นี้ก่อนนะแม่ จะต้องจ่ายเท่าไหร่เดี๋ยวบอก”

คนงานได้แต่สบตากันพร้อมยิ้ม

ใครต่อใครก็คุยกันจนเอิกเกริกเกี่ยวกับชายหน้าใหม่คนนี้ ผู้ดูเหมือนว่ามาแต่ตัว มิได้นำหัวใจมาด้วย เพราะตลอดสองวันกำลังจะเริ่มวันที่สาม ก็ยังดูเหมือนจะคุ้นเคยกับสถานที่ใหม่ได้ยาก ถ้าไม่ได้ลูกมือคือหนุ่มรับใช้ช่วยจัดการ ก็ดูคล้ายจะยอมรับสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้มิได้

‘พ่อแม่มันส่งมาดัดสันดาน’ นายจ้างของพวกเขาบอกลับหลัง

ก็จะใครเสียอีก

นายจัดนั่นละ ตัวดี

‘คิดดู…พ่อมันยังไม่ยอมให้ขอไฟขอน้ำไว้เลย…มาบอกน้านวมว่า ลองให้ใช้น้ำบ่อกับตะเกียงสักเดือน ดูซิว่าจะทนไหวไหม…แบบนี้ก็มีด้วยว่ะ’

ข่าวนี้ก็เลยเป็นที่รู้กันในกลุ่มผู้ที่เสนอตัวมาช่วยงาน นินทาชายหนุ่มอย่างขำขันเอิกเกริกลับหลัง

แต่บางคนก็เวทนา เลยตั้งใจช่วยมากขึ้นดังเช่นเอี้ยงกับไวที่ทั้งคุยให้ใครๆ ฟัง แต่ก็ทั้งรับอาสาทุกเรื่องราว

ฝ่ายนายนวมนั้นวางตัวเป็นผู้ใหญ่ คอยห้าม

‘เฮ้ย…ก็พวกคุณหนู มึงจะให้เขาสมบุกสมบันเหมือนพวกมึงได้ไง’

หากก็แกมหัวเราะเอ็นดู

ดังนั้น เพียงแต่เสร็จจากไหว้เจ้าที่ นายจัด นายนวมและเอี้ยงจึงชวนเดินดงกับเก่งนั่งท้ายพาหนะของเขาไปที่ร้านขายศาลพระภูมิ

พบเจ้าของร้านสามีภรรยาวัยราวหกสิบเศษกับลุงเดี่ยวที่ว่าบวชเรียนมาแล้วสิบสองพรรษา ผิวคล้ำ ผมเส้นขาวหวีเรียบ สวมเสื้อขาวกางเกงขาว นั่งอยู่ด้วย

นายจัดจึงยกมือไหว้ เดินดงและเก่งก็ไหว้ตาม

“ผมเลยพาคุณนี่มาซื้อศาลพระภูมิฮะคุณลุง แล้วเลยเชิญคุณลุงช่วยทำพิธีตั้งศาลให้ด้วย”

ลุงเดี่ยวท่าทางเรียบๆ อารมณ์เย็นพยักหน้าหากก็บอก

“ได้…แต่ต้องดูวันเดือนปีก่อนว่า ฤกษ์ดีวันไหน” ชายสูงอายุบอกกล่าวช้าๆ “คือศาลพระภูมินี่จะตั้งหรือไม่ตั้งก็ได้…แต่ถ้าตั้งก็ต้องทำให้ถูกวิธี ถึงจะไม่มีโทษ”

“ผมอยากตั้งมากกว่าครับ” เดินดงจึงยืนยัน เนื่องด้วยกำลังต้องการความคุ้มครองอย่างยิ่ง ทั้งจากคนด้วยกัน และจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วย

ก็ไม่รู้ว่าตัวเองกำลังกลัวอะไร

น่าจะกลัวหลายอย่าง โดยเฉพาะจากนักเลงเจ้าถิ่น

“ปีนี้ พฤหัสบดีไม่เป็นอุบาทว์โลกาวินาศก็ใช้ได้” คุณลุงบอกกล่าว

 

เดินดงจึงรีบพนมมือทำความเคารพผู้รู้ผู้นั่งอยู่บนเก้าอี้ถัดเคาน์เตอร์ของร้านอย่างสงบ สองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของจึงเอ่ยกับนายจัดและนายนวม

“คุณลุงต้องดูฤกษ์ก่อนทุกครั้งค่ะคุณ”

“แล้วก็ต้องหาวันที่เป็นคู่มิตรคู่ธาตุ…เป็นเดช ศรี มนตรี กับวันเกิดเจ้าของบ้าน”

ชายหนุ่มจึงรีบบอกวันเดือนปีเกิดของเขา

“ผมเกิดวันเสาร์ ปีกุน เดือน 7 ครับ”

“จดมาซี แล้วจะดูให้ แต่ไม่ใช่วันนี้หรอกนะ วันนี้มันวันพุธ เป็นวันกาลกิณีของเสาร์ คลาดกันไปวันเดียว ที่ถูกจะต้องเป็นวันอังคารแรม 5 ค่ำ”

“สุดแต่ท่านอาจารย์ครับ” อีกฝ่ายเริ่มเลื่อมใส จึงเปลี่ยนสรรพนามทันใดนั้น

“ถ้าต้องการให้พระภูมิเข้มแข็งศักดิ์สิทธิ์ ก็เลือกวันอังคารที่ตรงกับวันขึ้นหรือแรม 4 ค่ำ เป็นวันตั้งศาล ดิถีก็ควรใช้ดิถีนครคือ วันขึ้นหรือแรม 2 ค่ำ 4 ค่ำ 6 ค่ำ 9 ค่ำ 11 ค่ำ ส่วนเดือนควรใช้เดือน 6, 9, 12 กับเดือน 4 อย่างเดียวกับเดือนปลูกเรือน”

“ถ้างั้นก็คงต้องรอละมั้งครับท่าน” ชายหนุ่มก็เลยคล้อยตาม

“รอก็ได้…ตั้งไม่ตั้งตอนนี้ก็ไม่เป็นไร”

“เอ้อ…” พลางเขาก็หันไปทางเจ้าของร้าน “ถ้างั้นผมซื้อศาลแล้วฝากป้าไว้ได้ไหมฮะ”

“ยังไม่ต้องซื้อก็ได้นี่คะ” ป้าคนขายบอกอย่างมีน้ำใจ ช่วยให้ผู้มาใหม่สบายใจขึ้นทันใดนั้น

“ขอบคุณมากครับ…แต่ผมว่าซื้อดีกว่าจะได้คอยเตือนว่ามีศาลพระภูมิรอตั้ง…”

“ตามใจคุณค่ะ ยังไงก็ได้” คนขายสูงวัยไม่เกี่ยงงอนคนแปลกหน้า นั่นก็เนื่องด้วยรู้แล้วว่าคือใคร มาจากไหน

“จดวันเดือนปีเวลาตกฟากไว้ให้ดีกว่า” ลุงเดี่ยวบอกเรียบๆ

“ท่านพระครูท่านผูกดวงไว้ให้แล้วครับ” เดินดงพลันนึกขึ้นมาได้ เขาไม่ควรให้วันเดือนปีเวลาตกฟากใครพร่ำเพรื่อ เพราะแม้แต่พระก็ยังสงวนคำทำนายตัวเขาไว้เป็นความลับ

“ถ้างั้นก็ดีแล้ว จะดูแค่นั้นว่าราศีไหน”

เขาก็เลยดึงแผ่นดวงชะตาขนาดเท่านามบัตรนั้นส่งให้ลุง

อีกฝ่ายรับไปดูพลางพยักหน้าแล้วส่งคืน

“เกิดวันเสาร์นี่นะ ดวงก็แข็งไม่ใช่เล่น…แถมยังราศีทวารอีก” ฝ่ายผู้จะทำพิธีพึมพำ “ดี…มาอยู่นี่ ดวงต้องแข็ง”

คำคำนี้ยิ่งชวนให้เจ้าตัวสะดุ้ง

“จะเป็นยังไงมั่งไหมฮะท่าน”

“ไม่เป็นไร…ก็…สู้กับมันไป…แต่ก็สู้ได้อีก” อีกฝ่ายยิ้มในหน้า เป็นยิ้มที่มีความหมาย “เอาเถอะ ว่างๆ ก็ไปเที่ยวน้ำตกมั่งอะไรมั่งละกันนะ ทำใจให้สบาย…มีเมียละยัง…คงยัง…เสาร์อังคารเล็งแบบนี้”

“ยังครับ”

แต่อีกฝ่ายแค่พยักหน้า บอกเพียงสั้นๆ

“แล้วจะส่งข่าวนะ ถ้าได้วันยกศาลที่ไม่เป็นทิศทางร้าย”

เขาก็เลยชำระเงินค่าศาลพระภูมิด้วยเงินสดที่มีอยู่ พร้อมมอบเบอร์มือถือไว้กับเจ้าของร้านและลุงเดี่ยว ต่อจากนั้นก็ลากลับโดยพาหนะของนายนวมและนายเอี้ยง

หากก็ยังมีภาพรอยยิ้มของลุงเดี่ยวติดตามมา

ครั้นถึงกระท่อมแล้ว นายนวมกับนายเอี้ยงก็ขอตัวจากไป เหลือเพียงนายจัด

คนงานพรวนดินตั้งแต่หลังกระท่อมยาวไกลออกไปในทุ่งโล่งได้มากพอใช้ นายจัดยืนมองอยู่เพียงครู่ก็บอก

“งั้นผมกลับไปก่อนละนะ วันหลังมาใหม่ อยู่กับเรา ไงๆ ก็ไม่ต้องกลัว” อีกฝ่ายพูดชอบกล

เก่งก็เลยหลุดปากถาม

“แถวนี้มีเจ้าของไร่เยอะซีนะฮะ”

“มี” ลูกชายนายจังมองไปทางซ้ายที่แลเห็นพื้นที่โล่งอีกข้าง ครั้นแล้วจึงคั่นด้วยสีเขียวลิบๆ ของต้นพืชที่ไม่รู้ว่าพันธุ์ใด “ก็นั่นไง…ไร่…ของมันละ…แต่อย่าเข้าไปยุ่งย่ามเด็ดขาด…”

ครั้นแล้ว เจ้าตัวก็ทิ้งไว้แค่นั้น พร้อมสีหน้าเปลี่ยนไป

“น้องผมละก็เกลียดพวกมันยังกะอะไรดี”

“น้อง…”

“อ้าว…ก็ผู้หญิงที่เคยมานี่หนนึงไง” ลูกชายนายจังบอกกล่าว “ที่ดุยังกะเสือน่ะ”

 



Don`t copy text!