เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “ต้นตระกูล”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๑ แผ่นดินสุดท้าย “ต้นตระกูล”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

รอบโต๊ะยาวพร้อมหน้าด้วยสมาชิกในบ้านเพื่อรับมื้อค่ำพร้อมกัน ทว่าความรู้สึกประดักประเดิดเกิดขึ้นแก่ทุกคน ไม่เว้นแม้แต่วิลเลียมที่นั่งหัวโต๊ะมองช้า ๆ ไปทีละหน้า นับตั้งแต่ลูกชายคนโตไล่ไปถึงคนสุดท้าย อีกด้านคือลีรอย มุ่ย แดง และมาลี ที่ไม่ยอมให้พ่ออุ้ม คอยจะยึดแต่ ‘น้าแดง’ เป็นโล่กำบัง

“วันนี้ทำกับข้าวเมือง มีแกงแค ผักกาดจอ แกงผักหวานใส่เต้งมดส้ม”

รายการสุดท้ายคือแกงยอดผักหวานใส่ไข่มดแดงที่มุ่ยตั้งใจทำขึ้นสำรับเพื่อต้อนรับสามี ด้วยว่าเป็นแกงแห่งความหลังสมัยยังเป็นหนุ่มสาวคราวเดินป่าครั้งแรก

“ใส่ปลาแห้งตวย” มุ่ยบอกแล้วออกตัว “บ่รู้ว่านายห้างจะมา เลยบ่ได้ตุ๋นเนื้อ อบขนมปังเตรียมไว้”

“ที่ทำมานี่ดีแล้ว อยากกินทุกอย่าง กึ๊ดเติงหาขนาด…คิดถึงมาก ๆ” วิลเลียมเอ่ยออกไป คำสุดท้ายกินนัยทั้งอาหารและทุกคนในที่นี้ โดยเฉพาะภรรยาที่วิลเลียมส่งสายตาลึกซึ้งไปให้

มุ่ยยิ้มน้อย ๆ รับรู้ความหมายนั้น

“กึ๊ดเติงมาก ก็กินนัก ๆ แล่…คิดถึงมากก็กินเยอะ ๆ สิ”

“งั้นลงมือกันเลย กินกันเลยทุกคน”

วิลเลียมให้สัญญาณเริ่มต้น โอลิเวอร์ก็คว้าช้อนตักน้ำแกงเข้าปาก ทำหน้าไม่ถูกดุจพยายามคิดว่ารสชาติที่กินเข้าไปนั้นคล้ายอะไร หรือคิดว่ามันควรเป็นรสที่เรียกว่าอร่อยได้หรือไม่ ท่าทางตื่นเต้นแบบล้น ๆ ของโอลิเวอร์ทำให้บรรยากาศบนโต๊ะค่อยคลายความตึงลง แต่ละคนแอบกลั้นยิ้ม โดยเฉพาะลูก ๆ เพราะถ้าหัวเราะออกมาแม่จะขึงตาใส่

หากกระนั้นความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ก็เป็นไปอย่างเชื่องช้า กว่าจะเอื้อมมือไปคดข้าวจากกระติบมาใส่จานเป็นก้อนใหญ่ แล้วบิออกมาปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ จุ่มน้ำแกงหรือพุ้ยน้ำพริกก่อนส่งเข้าปาก แม้ยามเคี้ยวก็ดูเหมือนจะค่อย ๆ เคี้ยวกว่าจะกลืนลงคอไปได้

ผู้ที่ขัดตาและขัดใจที่สุดคือวิลเลียม ห้าปีที่ไม่อยู่บ้านเกิดอะไรขึ้นกับลูก ๆ ของเขา

คงเป็นชายหนุ่มคนนั้น…น้าแดงของหลาน ๆ

“เราบ่ได้นั่งโต๊ะกินข้าวเมินแล้ว…นานแล้ว…เมิน ๆ เตื้อ…นาน ๆ จะนั่งสักที” มุ่ยบอก

“เด็ก ๆ ชินกับนั่งล้อมวงกินขันโตกมากกว่า” ลีรอยช่วยเสริม

“โธ่! แล้วก็ไม่บอก” วิลเลียมว่าออกมาอย่างรู้สึกว่าจุกก๊อกที่อุดอยู่ปลายขวดพุ่งออกไป “ปะเล ไปจัดขันข้าวใส่โตก”

ปะเลซึ่งอยู่ไม่ไกลวิ่งเข้ามาที่โต๊ะแทบจะทันที กุลีกุจอยกอาหารไปจัดใหม่ใส่ลงในโตกไม้มีขาตั้ง ปลื้มใจที่นายห้างอู้และสั่งเขาด้วยคำเมือง…แปลว่าแม้นายห้างจะจากบ้านไปเมิน…นาน…แต่นายห้างยังบ่ลืม

“ตั้งขันข้าวที่เติ๋น…ระเบียง คืนนี้พระจันทร์งาม กิ๋นข้าวใต้แสงจันทร์น่าจะลำดี…คงจะอร่อย”

วิลเลียมพูดคนเดียว ไม่มีใครตอบสนอง แต่ความอึดอัดดูคลายลง มุ่ยลุกไปช่วยจัดขันโตก ไม่กี่นาทีต่อมาขันโตกใส่กับข้าวหรือขันข้าวก็วางพร้อมที่ระเบียงสองชุด สมาชิกทั้งหมดนั่งล้อมโตกเป็นสองวง

วงแรกมีเพียงสามคนคือ วิลเลียม มุ่ย และลีรอย

วงที่สอง…ในทีแรกปะเลเตรียมโตกสองชุด แต่เหล่าลูกนายห้างอยากดูโอลิเวอร์กินข้าว ท่าทางน่าขันดี ไม่มีใครยอมแยกวงกัน จึงยกโตกสองชุดมาชิดแล้วล้อมกันเป็นวงใหญ่วงเดียว โอลิเวอร์ก็ชอบใจที่จะนั่งรวมกับเด็ก ๆ มากกว่า เพราะแต่ละคนคอยแนะนำให้ลองชิมจานนั้นจานนี้พร้อมวิธีกินที่ถูกต้อง ภาษาไม่เป็นอุปสรรค เพราะลูก ๆ ของนายห้างวิลเลียมพูดอังกฤษคล่องทุกคน

น้าแดงของเด็ก ๆ นั่งรวมในวงใหญ่นี้ มีหนูมาลีนั่งตัก น้าแดงจึงต้องคอยป้อนข้าวหนูมาลีไปด้วย รอยเมืองเขม่นตาใส่น้องสาวและปรามเบา ๆ เป็นระยะ

“มาลีอย่าอมข้าว”

“มาลีโตแล้ว กินเองได้แล้ว ไม่ต้องให้น้าแดงป้อน”

อย่างหลังนี้ ถ้าพี่ชายคนใดว่าก็ตาม มาลีจะทำฤทธิ์โดยการจ้วงมือลงไปในจานขยำกับข้าวแล้วส่งเข้าปากให้เลอะเทอะ พี่ชายทั้งหลายก็จะเอะอะอ่อนใจจนเลิกห้ามปราม

“ถ้าหนูมาลีกินข้าวเองดี ๆ พี่จะเล่าเรื่องนางฟ้าที่อังกฤษให้ฟัง”

โอลิเวอร์ล่อได้ผล หนูมาลีเบิกตากลมแป๋วอย่างสนใจ ถามให้มั่นใจว่า “จริงนะ”

“จริง ๆ ที่อังกฤษมีนางฟ้า มีเทพเจ้า มีมังกรสามหัว นกฟีนิกซ์”

“ไม่เอา ๆ” เสียงร้องมาจากม่อนพี่ชายคนรอง “นิทานพวกนี้ลุงลีรอยเล่าหมดแล้ว พี่โอลิเวอร์เล่าเรื่องตอนเป็นทหารได้ไหม ต้องทำอะไรบ้าง ได้ยิงปืนไหม ได้นั่งรถถังหรือเปล่า”

“แน่นอนสิ ทั้งหมดนี้พี่ทำมาหมดแล้ว” โอลิเวอร์ชะเง้อไปยังอีกวงหนึ่งก็สบสายตาวิลเลียมพอดี ยิ้มน้อย ๆ แล้วก้มหัวลงเหมือนสุมหัวบอกแผนการแก่กัน ลดเสียงเบาลง “จะบอกอะไรให้นะ ตอนออกไปต่อสู้ พี่อยู่ข้าง ๆ พ่อพวกนายตลอดเวลาเลย หลายครั้งเราถูกฝ่ายศัตรูซุ่มทำร้าย….เกือบตายแน่ะ ถ้าพี่ไม่อยู่ตรงนั้น พ่อของพวกนายก็อาจไม่ได้มานั่งอยู่ตอนนี้ก็ได้”

เด็กชายเบิกตากว้างร้องคะยั้นคะยอให้รีบเล่ารายละเอียดจนเสียงดัง วิลเลียมกระแอมดัง ๆ ให้ได้ยินเพื่อให้สงบกิริยาลง

วิลเลียมหันสู่วงขันโตกของตน เอ่ยคำพูดที่คาใจมาตลอดบ่าย

“หนูมาลีติดนายแดงมากนะ”

“มาลีบ่เคยเห็นหน้าพ่อ จนใหญ่อู้รู้เรื่อง ก็บ่คิดว่าป้อนายจะปิ๊กมา” มุ่ยบอกเรียบ ๆ ไม่มีริ้วประชดประชันอยู่ในน้ำเสียง ถือโอกาสบอกไปเสียคราวเดียว “นอกจากนายห้างลีรอยแล้ว ผู้ใหญ่อีกคนที่มาลีคุ้นเคยก็อ้ายแดงนี่ละ”

“แดงนี่…เป็นใครมาจากไหน” วิลเลียมถาม ไม่ระบุว่าถามใคร มุ่ยเป็นคนตอบ

“แดงเป็นขะโยม…เด็กวัด…ที่อยู่กับตุ๊ลุงที่ระแหง ตอนนายห้างมาที่ระแหงเตื้อแรก…ครั้งแรก…อ้ายแดงมันก็อยู่ในหมู่นั่นละ ล่นไปล่นมา…วิ่งไปวิ่งมา…แต่นายห้างคงบ่ได้สังเกตเห็น”

“มิน่าล่ะ ฉันว่าคุ้นหน้าอยู่ แต่กึ๊ดบ่ออกว่าเคยเห็นที่ใด” วิลเลียมรำพึง ทว่าในใจโปร่งโล่งคล้ายหินใหญ่หนาหนักที่ทับอกทับใจมานานกลายเป็นละอองฝ้ายปลิวไปกับสายลม แต่ก็หยอดท้ายให้มุ่ยเขินอายจะชักมือที่ปั้นข้าวเหนียวว่า “ตอนนั้นฉันมองแต่มุ่ยคนเดียว”

“หลวงพ่อเสียแล้ว ไล่ ๆ กับมิสเตอร์อีแวนเดอร์” ลีรอยเป็นฝ่ายบอก “ทางวัดนั้นมีเจ้าอาวาสรูปใหม่ แดงก็เลยอยู่รับใช้ต่อ แล้วก็เป็นคนส่งสารวิ่งไป ๆ มา ๆ ระหว่างแพร่กับระแหงนี่ละ”

“นายห้างจากบ้านไปเมิน…นาน…ลูกหล้ามันบ่เกย…ลูกคนสุดท้องจึงไม่คุ้นเคย” มุ่ยให้กำลังใจอยู่ในที “นายห้างบ่ดีน้อยอกหมองใจอะหยังเลย อยู่ไปแหมสักหว่าง…ชั่วระยะหนึ่ง…ลูกก็เกยกับนายห้างไปเอง”

“ได้ยินอย่างนี้แล้วฉันก็สบายใจ” สีหน้าวิลเลียมเป็นไปอย่างที่พูด ลมเย็นพัดโชยมาพร้อมกลิ่นดอกไม้ป่า ช่วยให้เย็นผิวกายและเย็นสงบในจิตใจ จันทร์เต็มดวงฉายแสงนวลสีเงินยวงส่องมา วิลเลียมชวนภรรยาว่า  “อีกสองวันฉันจะไปหาหนูที่ละกอน มุ่ยไปด้วยกันไหม ฉันคิดว่าลำพังตัวฉันอาจพอรับมือกับมิสซิสอีแวนเดอร์ได้ แต่กับหนูและลูก มุ่ยน่าจะปลอบโยนได้ดีกว่า”

มุ่ยเล่าว่าเมื่อรู้ข่าวการเสียชีวิตของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ ทุกคนก็รีบไปที่ละกอน อยู่ช่วยงานจนพิธีฝังศพเสร็จสิ้น หนูเสียใจกับการจากไปของสามีแต่ก็รับปากกับทุกคนว่าจะเข้มแข็งให้ไวที่สุด ส่วนไอเดนหรืออ้ายเด่นที่คนที่นี่เรียกก็โตเป็นหนุ่มพูดจารู้เรื่องมีความรับผิดชอบดีแล้ว รับปากกับญาติพี่น้องว่าจะดูแลแม่เอง พ่อทิ้งสมบัติไว้ไม่น้อย ชีวิตของเขาและแม่คงไม่ลำบาก

ครั้นวิลเลียมเล่าให้ฟังถึงการปรากฏตัวของมิสซิสอีแวนเดอร์ นางข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อขนสมบัติทุกชิ้นของสามีกลับไปด้วยสิทธิอันชอบธรรม มุ่ยก็เคืองขึ้นมา คิ้วเรียวยาวลู่ลงมาแทบจะชิดติดกัน หันมาทางลีรอยส่งสายตาแทนคำถามว่า มันจะเป็นไปได้อย่างนั้นจริงหรือ ลีรอยก็ก้มหน้าช้า ๆ ทว่ามีน้ำหนักเป็นคำตอบว่าจริง

“เราไปกันสามคนก็พอ” วิลเลียมว่า “โอลิเวอร์ดูจะเข้ากับเด็ก ๆ ได้ ฉันไม่ห่วงที่จะต้องปล่อยทิ้งไว้”

“เรื่องลูก ๆ บ่ต้องห่วง” มุ่ยเอ่ยบ้าง “ขอแดงอยู่ดูลูกให้ก่อน เราปิ๊กมาจากละกอนแล้ว ค่อยให้แดงกลับระแหง”

เมื่อไม่มีใครคัดค้านอย่างใด ในวันรุ่งขึ้นทั้งสามคนก็มุ่งหน้าไปเวียงละกอน

 

มิสซิสอีแวนเดอร์กับผู้จัดการที่เพิ่งรู้จักกันที่สยามมาที่บ้านนางหนูพร้อมด้วยกุลีขนหีบไม้หลายใบขนาดต่าง ๆ มาวางเรียงเปิดอ้าเตรียมพร้อมที่สนามหญ้าหน้าเรือน เมื่อวิลเลียม มุ่ย และลีรอยมาถึง จึงพบภาพของกุลีหลายคนเดินขึ้นลงเรือนขนข้าวสองใส่ลงหีบ

มุ่ยรีบเข้าไปในบ้านหาตัวนางหนูผู้นั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้ยาวตรงนอกชาน ครั้นเข้าไปถึงตัวจึงพบว่าภายใต้ท่าทีนิ่งสงบนั้นนางหนูตัวสั่นระริก ขอบตาแดงช้ำด้วยพยายามสะกดน้ำตามิให้ไหล แต่เมื่อคราวใดกลั้นไม่อยู่ไหลลงมา นางหนูก็ปาดน้ำตาออกไปโดยไว

“เปิ้นบอกว่าเป็นของเปิ้น….เขาว่าทั้งหมดเป็นของเขา…เปิ้นจะขนไปหมด” นางหนูข่มเสียงมิให้เผยความสะเทือนใจ

ไอเดนนั่งอยู่ข้างแม่ มือข้างหนึ่งโอบตัว มืออีกข้างกุมมือแม่บีบเบา ๆ เป็นระยะเพื่อให้กำลังใจ

“เด่น…ยะหยังบ่ไปขวาง” มุ่ยถามเสียงสะบัด

“มีประโยชน์อะหยัง น้ามุ่ย” เด็กหนุ่มว่า “ต่อให้เปิ้นขนไปจนเสี้ยง…หมดเกลี้ยง…บ่เหลืออะหยังสักอย่าง เด่นก็จะดูแลแม่ให้สุขสบายเหมือนเก่า แม่คนเดียวเด่นเลี้ยงได้ แต่เด่นจะบ่ยอมให้ใครมาข่มเหงน้ำใจแม่จะอี้แหม”

มุ่ยได้ยินเสียงจากจุดหนึ่ง บทสนทนาเกือบเป็นทุ่มเถียงกันระหว่างนางอีแวนเดอร์กับวิลเลียม ประเด็นหลักก็อยู่ที่วิลเลียมพ่ายแพ้ยอมจำนนด้วยสิทธิของหล่อนในฐานะภรรยาตามกฎหมาย แต่วิลเลียมพยายามขอร้องให้หล่อนเห็นอกเห็นใจหนูและลูกบ้าง อย่างน้อยก็ควรเหลืออะไรไว้ให้ดูต่างหน้าสามีและพ่อผู้ล่วงลับ ทิ้งทรัพย์สมบัติให้พอดำเนินชีวิตต่อไปได้

มิสซิสอีแวนเดอร์ก็โต้แย้งด้วยเหตุผลที่ทั้งฟังขึ้นและฟังไม่ขึ้นจนมุ่ยอดฉุนเฉียวออกมาไม่ได้ว่า

“คนจะอี้ก็มีตวย…คนแบบนี้ก็มีอยู่ในโลก”

กุลีคนหนึ่งหอบตั้งหนังสือมาถามว่าจะให้เก็บไปด้วยหรือไม่ นางอีแวนเดอร์หยิบมาพลิกเปิดดูเห็นเป็นสมุดวาดเขียนหลายเล่ม ส่วนใหญ่เป็นภาพดอกไม้ก็ส่ายหน้า

“ทิ้งไป หรือจะเก็บไปเป็นเชื้อไฟก็ได้”

“ไม่ได้นะ สมุดพวกนั้นเป็นของผม” ลีรอยไม่นิ่งเฉยอีกต่อไป ร้องขึ้นมาแล้วปรี่เข้าไปแย่งคืน

“จะว่าเป็นของเธอได้ยังไง ก็มันอยู่ในบ้านสามีฉัน”

“ผมฝากมิสเตอร์อีแวนเดอร์ไว้ ทุกภาพมีลายมือชื่อของผมกำกับ”

นางอีแวนเดอร์ปรายตามองอย่างไม่ใส่ใจนัก ต่อให้จริงดังที่เขาว่านางก็ไม่แยแส ไม่มีราคาค่างวดอะไร ฝีมือก็งั้น ๆ ลีรอยเห็นท่าทางกึ่งเยาะของนางอีแวนเดอร์ก็นึกว่าฝ่ายนั้นดูแคลนฝีมือเขา จึงเอ่ยไปว่า

“ผู้ที่ไม่เห็นความงามในศิลปะ เป็นคนหยาบ”

นางอีแวนเดอร์ไม่โต้แย้ง ไม่เก็บมาเป็นอารมณ์ สะบัดหน้าเดินลงจากเรือน ตรวจดูข้าวของในหีบก่อนปิดฝา กำชับกำชาให้ขนย้ายอย่างดีมิให้แตกหัก

ภายในบ้านตอนนี้แทบจะเป็นห้องโล่ง ๆ ไม่มีเครื่องเรือนและของตกแต่ง วิลเลียมคิดว่าคงถึงเวลาสิ้นสุดเสียที แต่กลับผิดคาดเพราะผู้จัดการของมิสซิสอีแวนเดอร์สั่งให้กุลีแงะบานประตู หน้าต่าง และส่วนประกอบอื่น ๆ ในบ้านที่ประเมินแล้วว่า

“ไม้สักดี ๆ แกะลายสวยแบบนี้ ถ้าเอาไปทำเฟอร์นิเจอร์ขายก็ได้แบบที่แปลกตา หรือถ้าจะมอบให้พิพิธภัณฑ์ที่โน่น” เขาหมายถึงอังกฤษ “เราก็จะได้เงินอีกไม่น้อย”

“นั่นนะสิ ถ้าบริทิชมิวเซียมสนใจ เราจะได้…” นางอีแวนเดอร์คล้อยตาม ประกายตาพราวระยิบด้วยความโลภ

เมื่อคณะของมิสซิสอีแวนเดอร์จากไป บ้านที่เคยโอ่อ่าของนายห้างต้นคอแดงที่มักเดินเท้าไปไหนต่อไหนพร้อมด้วยกระโปรงตาสก็อตก็ไม่ต่างจากบ้านที่เพิ่งผ่านคมเขี้ยวของปลวก นางหนูมองภาพบ้านที่กลายเป็นซากด้วยความรู้สึกว่าชีวิตของตนยามนี้ก็เกือบกลายเป็น ‘ซาก’ แล้วเช่นกัน

“คงไม่กลับมาอีกใช่ไหม นางผู้หญิงใจร้ายคนนั้น” ไอเดนเข่นเขี้ยวอย่างคั่งแค้น

“คงบ่ปิ๊กมาแล้ว…บ่เหลืออะหยังให้เอาไปแหมแล้ว นอกจากตัวแม่ ใจแม่” นางหนูรำพันไม่อาจกลั้นน้ำตาอีกต่อไป “ถ้าเปิ้นจะเอาแม่ไปเป็นขี้ข้า ก็ฆ่าแม่หื้อต๋ายก่อนเต๊อะ ค่อยเอาศพแม่ไป”

วิลเลียมรู้สึกคล้ายก่อนแข็งแล่นมาจุกที่คอ ที่นางหนูพูดนั้นใช่ว่าไม่มีมูล หากเกิดจากความเห็นแก่ได้ของชาวอังกฤษมาหลายกรณี บ่อยครั้งที่คนสำคัญชาวอังกฤษเสียชีวิต ทางกงสุลก็จะอ้างเรื่อง ‘คนในบังคับอังกฤษ’ มาช่วงชิงเอาไป ถ้าเป็นคนมีบรรดาศักดิ์หน่อยก็อาจได้รับการดูแลอย่างให้เกียรติ แต่ถ้าเป็นคนทั่วไปจนถึงไพร่ ก็หนีไม่พ้นต้องกลายเป็นคนรับใช้ของชาวต่างชาติ

“บ่มีไผมายะอะหยังแม่ได้…จะไม่มีใครมาทำร้ายแม่ได้อีก” ไอเดนว่า “นี่เป็นความเจ็บครั้งสุดท้ายที่พ่อจะฝากไว้ให้แม่ แต่จากนี้ไป เขาบ่มีสิทธิ์มายะอะหยังให้เราเจ็บอีก ชีวิตของเราแม่ลูกจากนี้จะบ่มีคนบ้านนั้นมาเกี่ยวข้อง”

ความเป็นหนุ่มทำให้ไอเดนอารมณ์ร้อนง่ายตามวัย แต่ไม่มีใครคิดว่าเขาจะเด็ดเดี่ยวชนิดที่ตัดบัวไม่เหลือใย ตัดใจไม่ให้สืบสาวไปถึงต้นเค้าเดิม เมื่อในเวลาต่อมามีการเชิญชวนให้คนทั่วไปต้องมีนามสกุลเพื่อจะได้ระบุตัวตนได้ถูกต้องขึ้น ชาวต่างชาติที่มีสกุลมาแต่เดิมก็ดัดแปลงให้เป็นภาษาไทยที่ยังเห็นเค้าของนามสกุลเดิมอยู่

ทว่า…ไอเดน อีแวนเดอร์…ไม่พยายามคิดนามสกุลที่เหลือเค้าเดิมของพ่อ

ใบจดทะเบียนของเขาระบุตัวตนว่า…นายเด่นชาติ หนูบุตร

 

ลูก ๆ ล้อมวงรอบกองไฟทั้งที่มิใช่หน้าหนาวและวันนี้อากาศไม่เย็น แต่เหตุผลของการก่อกองไฟคือ

“โอลิเวอร์อยากกินข้าวหลาม เขาอยากรู้ว่าทำข้าวให้สุกในกระบอกไม้ฮวกได้ยังไง” ม่อนบอกพ่อนายวิลเลียม ไม้ฮวกคือไม้ไผ่ หาได้ทั่วไปในถิ่นนี้ แต่โอลิเวอร์ไม่เคยเห็น

ครั้นวิลเลียมหันไปยังคนต้นเรื่อง โอลิเวอร์ก็พยักหน้ายอมรับแถมยิ้มกริ่มตาเป็นประกายพราวที่เด็ก ๆ ตอบสนองความสนใจใคร่รู้ของเขา มองปราดเดียววิลเลียมก็รู้ว่าในยามนี้โอลิเวอร์กับลูก ๆ เข้ากันได้ดี แต่แทนที่โอวิเวอร์จะเป็นผู้ใหญ่ตามอายุที่มากกว่า เด็กหนุ่มกลับทำตัวเป็น ‘เด็กโข่งหัวโจก’ ที่หาเรื่องเล่นสนุกไปวัน ๆ

แต่นั่นก็เป็นนิมิตหมายที่ดีว่าโอลิเวอร์จะอยู่ที่นี่ได้อย่างเป็นสุข

เก็บข้าวของเรียบร้อย วิลเลียม มุ่ย และลีรอยก็มาสมทบล้อมวงรอบกองไฟ มุ่ยปั้นข้าวเหนียวเป็นก้อนกดให้แบนหนา ชโลมด้วยไข่ผสมเกลือเล็กน้อย แล้วเสียบไม้ส่งให้คนละอันเพื่อทำข้าวจี่ มื้อเย็นวันนี้จึงมีทั้งข้าวจี่ ข้าวหลาม และมันเผา ที่เด็ก ๆ สนุกสนานกับการแข่งกันว่าใครเผามันได้สุกพอดีกว่ากัน

“ปิ๊กมากันแล้ว วันพูกหลังข้าวงาย…มื้อเช้า…เฮาจะปิ๊กระแหงละเน่อ”

แดงบอกกับทุกคน เด็ก ๆ ส่งเสียงร้องขอให้อยู่ต่อ เพราะทุกครั้งที่น้าแดงอยู่จะมีเรื่องสนุกเสมอ ส่วนมุ่ยเข้าใจสาเหตุความรีบร้อนนั้น แม้ไม่มีเหตุด่วนแต่ก็เลยเวลากลับมาหลายวัน

“บ่อยากให้ตุ๊พี่กองหา…รอคอย” แดงว่า

ลีรอยละมือจากไม้ยาวที่เขี่ยมันเผาออกมาพักให้หายร้อน ลุกออกไปครู่หนึ่งแล้วกลับมาพร้อมกับต้นไม้กอเล็กที่วิลเลียมและโอลิเวอร์ประคบประหงมมาจากอังกฤษ ลีรอยส่งต้นสตรอวเบอร์รีที่แยกมาให้แดง พร้อมกับภาพวาดที่เขาตัดออกมาจากสมุดวาดเขียนเล่มหนึ่งของตัวเอง

ภาพสตรอวเบอร์รีสีแดงสด รูปใบในภาพวาดเหมือนกับใบของต้นจริงในมือแดง ขาดไปก็แต่ต้นจริงยังไม่มีผลเท่านั้น

“ฝากให้ตุ๊พี่ของแดงด้วย”

ลีรอยบอกเรียบ ๆ แต่มุ่ยชะงัก มืออ่อนจนข้าวจี่ร่วงตกไปบนพื้น หันมามองหน้าลีรอยเขาก็ไม่แสดงอาการอย่างไรนอกจากแววตานิ่งเฉยอมเศร้า หากเท่านั้นก็เพียงพอที่มุ่ยจะรู้สึกผิดที่คิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาตนเองเก็บงำความลับเรื่องนี้ไว้มิดชิด นายห้างลีรอยไม่มีท่าทีตำหนิหรือเหน็บแนม นอกจากการบอกว่า….เขารู้แล้ว…เท่านั้น

มุ่ยจึงกำชับกับแดงดุจนี่เป็นภารกิจสำคัญ

“ส่งให้ถึงมือตุ๊พี่…เท่าอั้นละ”

 

แสงจันทร์นวลทอลอดมาทางหน้าต่างที่เปิดรับลม แม้จะดับตะเกียงน้ำมันก๊าดแล้วก็ยังมองเห็นผู้ที่นอนอยู่เคียงกัน มุ่ยพลิกตัวเบา ๆ เกรงว่าจะทำให้สามีตื่น

มุ่ยเพิ่งมานอนบนเตียงหลังจากอยู่กินกับวิลเลียม ก่อนหน้านั้นตั้งแต่เด็กจนสาว ที่นอนคือสาลีหรือฟูกยัดด้วยนุ่นที่คนเหนือเรียกว่างิ้ว ในแต่ละปีเมื่อดอกงิ้วบาน ชาวบ้านจะไปคอยใต้ต้นงิ้ว ครั้นดอกสีแดงกลีบใหญ่หนาร่วงลงมาก็เก็บมาปลิดกลีบเหลือเพียงแต่เกสร เอาไปตากแห้งเก็บไว้ใส่ในอาหารพวกแกงแคหรือน้ำเงี้ยว ครั้นเมื่องิ้วติดฝักไม่นานจากเขียวเป็นสีน้ำตาลเปลือกปริ ก็ถึงคราวเก็บฝักงิ้วเอานุ่นข้างในมาตีให้เมล็ดหลุดออก แล้วใช้ใยงิ้วนั้นยัดหมอนและสาลี

ในรอบหนึ่งปีมุ่ยและชาวบ้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงจึงมีช่วงเวลาที่เกี่ยวข้องกับงิ้ว ถือเป็นกิจกรรมประจำปีในการซ่อมแซมที่นอน การยัดฟูกและหมอนด้วยงิ้วเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ใช้วัดฝีมือ เพราะฟูกผืนใหญ่หากยัดงิ้วไม่สม่ำเสมอก็เป็นคลื่นเป็นหลุม นอนไม่สบาย หมอนหนุนหัวก็เช่นกัน

ครั้นแต่งงานกับวิลเลียมแล้ว นายห้างสามีนอนฟูกกางมุ้งได้ไม่นานก็ให้ช่างต่อเตียงแบบมีขาตั้งยกสูงจากพื้นและมีเสาสี่เสาอยู่รอบ ที่นอนหนาสูงสั่งกับเรือสินค้าที่มาจากอินเดียและยุโรป วิลเลียมบอกว่าที่อังกฤษใช้ขนเป็ดยัดหมอน มุ่ยก็ทำหน้าเหย คิดไปว่าต้องฆ่าเป็ดกี่ตัวจึงจะได้ขนพอยัดหมอนได้สักใบหนึ่ง ฉะนั้นนุ่นหรืองิ้วจึงดีกว่า

เมื่อมุ่ยพลิกตัวอีกครั้ง เสียงทุ้มของคนข้างกายจึงถามว่า

“นอนบ่หลับกา มุ่ยคงบ่ได้พลิกตัวไปมาเพราะบ่ชินกับนอนบนเตียงหรอกนะ”

วิลเลียมพลิกตัวกลับมาพบหน้ามุ่ยลืมตามองจ้อง จึงขยับเข้าไปชิดโอบไว้ในอ้อมกอด จูบหน้าผากเบา ๆ อย่างอ่อนโยน

“มีอะหยังไม่สบายใจ บอกให้ฉันรู้ได้ก่”

“ข้าเจ้านึกถึงพี่หนู…นึกถึงเมียนายห้าง…” สำหรับคนหลัง…แม้เอ่ยแค่นี้แต่ทั้งสองก็เข้าใจตรงกันว่าหมายถึงมิสซิสอีแวนเดอร์

“ยะหยังเปิ้นบ่มีความเมตตาเห็นอกเห็นใจคนอื่นพ่อง แม่ญิงใจร้ายใจมารจะอี้มีอยู่ทุกที่เนาะ นายห้าง”

วิลเลียมเงียบไป เขารู้นัยแห่งความหมายของภรรยา มุ่ยกำลังต่อว่าเชื้อชาติของเขา…ด้วยถ้อยคำเรียบง่ายเหมือนรำพึงนี่แหละ ที่มุ่ยหมายความว่าคนอังกฤษพยายามอวดตัวแก่ใครต่อใครว่าเป็นผู้ที่เจริญแล้วและพยายามจะทำให้แบบแผนของตนเองเป็นแนวปฏิบัติที่ยอมรับทั่วไปในทุกสังคม

“ขึ้นชื่อว่าคน ไม่ว่าจะที่ไหน ๆ ก็เป็นเหมือนกันทั้งนั้นละ รัก โลภ โกรธ หลง เป็นความรู้สึกสามัญประจำตัวของมนุษย์ทุกคน”

“ข้าเจ้าเอ็นดูพี่หนู เคยอยู่สุขสบายมาเมิน จากนี้ไปบ่รู้ว่าจะลำบากแค่ไหน”

“ฉันอยากจะอู้เรื่องนี้กับมุ่ยเหมือนกัน” วิลเลียมเอ่ยออกมา “มุ่ยคงเห็นแล้วว่ามิสซิสอีแวนเดอร์เหนือกว่าแค่ไหนเพียงแค่มีหลักฐานชี้ชัดว่าเป็นเมียตามกฎหมายของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ ในขณะที่หนูบ่มีอะไรเลย กงสุลจึงรับรองไม่ได้ แม้พวกเราจะเห็นว่ามิสเตอร์อีแวนเดอร์อยู่กินกับหนูอย่างเปิดเผยและยกย่องให้เกียรติแค่ไหน ก็บ่มีน้ำหนักสู้ได้กับกระดาษแผ่นนั้นเลย”

“มันบ่ถูกต้อง” มุ่ยครางออกมากับอกกว้างของสามี

วิลเลียมสบโอกาสจะพูดในสิ่งที่เขาเพียรพยายามมานานปี

“ฉันอยากให้มุ่ยจดทะเบียนสมรสกับฉัน ไม่ใช่เพราะฉันต้องการจะผูกมัดมุ่ยไว้ให้เป็นสมบัติของฉันตลอดไป ตั้งแต่รู้จักกันมา ฉันรู้ว่าถ้ามุ่ยจะอยู่ก็อยู่ ถ้ามุ่ยจะไป…ก็ไป แปลว่ามุ่ยอยู่กับฉันด้วยหัวใจจริง ๆ บ่ได้อยู่เพราะหวังครอบครองข้าวของเงินทองของฉัน มุ่ยต้องเลี้ยงลูกห้าคน บ่ใช่ชีวิตที่สบายอย่างที่ใคร ๆ คิดหรอก ฉันจึงขอบคุณมุ่ยเสมอมาที่ยังอยู่กับฉัน”

มุ่ยเกลือกหน้ากับอกสามี ชื่นใจกับถ้อยคำที่ได้ยิน

“แต่อนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอน ฉันไม่ใช่ตัวคนเดียวไร้ญาติขาดมิตร ฉันยังมีญาติที่อังกฤษ ทั้งลุงและพี่ชาย ฉันบ่รู้ว่าฉันกับพวกเขาใครจะเดินทางไปเฝ้าพระผู้เป็นเจ้าก่อนกัน ถ้าฉันโชคร้ายจากไปก่อน พวกเขาอาจเดินทางมาที่นี่ ทำกับมุ่ยและลูก ๆ เหมือนอย่างที่มิสซิสอีแวนเดอร์ทำกับหนูและไอเดนก็ได้”

มุ่ยเงียบไปแต่ก็คล้อยตามทุกคำ ภาพหญิงแก่ที่ความโลภครอบงำนั้นน่าเกลียดยิ่งกว่ามนุษย์คนใดที่มุ่ยเคยพบเห็น

“ข้าเจ้าบ่อยากเข้ารีต”

เป็นเหตุผลเดิมและเหตุผลเดียวที่มุ่ยบอกวิลเลียมเสมอมา ทว่าครั้งนี้น้ำเสียงอ่อนลง บางเบาแทบจะไร้ความหนักแน่น มุ่ยรู้ตัวเองว่าการตัดสินใจนี้จะมิใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูก ๆ ทั้งห้าคน

“มุ่ยรังเกียจศาสนาของพระผู้เป็นเจ้าหรือ”

“บ่ใช่จะอั้นดอก นายห้าง ข้าเจ้าเพียงแต่คิดว่าในเมื่อเฮาฮักกัน…อย่างนายห้างกับข้าเจ้า…เฮาก็นับถือกันคนละฮีต จะใดเมื่อจะตีตราเป็นผัวเมีย จึงต้องให้ข้าเจ้าเปลี่ยนฮีตตามนายห้าง”

“ฉันก็ไม่รู้จะตอบมุ่ยว่าอย่างไรดี พูดไปมุ่ยก็จะหาว่าฉันเอาแต่ได้ เชิดชูแต่สิ่งที่ตนเองศรัทธาและเหยียดหยามว่าสิ่งที่คนอื่นนับถือนั้นต่ำกว่า แต่ฉันอยากให้มุ่ยมองไปข้างหน้า กฎหมายอังกฤษให้ประโยชน์แก่ลูกของเรามากกว่าถ้าพวกเขาได้รับการรับรองบุตรอย่างถูกต้อง อย่างน้อย ๆ ถ้าฉันต้องจากไป จะได้ไม่มีใครมารังแกมุ่ยกับลูก ๆ ได้”

“ถ้าข้าเจ้ายอมจดทะเบียน นายห้างจะบ่จากข้าเจ้าและลูก ๆ ไปแหมแล้วแม่นก่”

“ตอนฉันลงเรือ ฉันบอกตัวเองว่าจะไม่กลับไปที่อังกฤษอีก หากไม่มีเหตุจำเป็นด้วยเรื่องที่เป็นประโยชน์แก่ลูกของเรา บ้านของฉันอยู่ที่นี่ ไม่ว่าต่อไปเราจะอยู่ที่ไหนในสยาม บางกอก ละกอน ระแหง หรือเชียงใหม่ บ้านของฉันก็คือที่ที่มุ่ยและลูกอยู่กับฉัน…เท่านั้นเอง”

“เท่านี้ก็พอแล้ว…ที่ข้าเจ้าอยากได้ยิน”

สองร่างกอดกระชับกันแน่นขึ้น ปราศจากอารมณ์ในทางโลกีย์ มีเพียงความไว้เนื้อเชื่อใจว่าต่างฝ่ายต่างจะเป็นหลักมั่นของชีวิตที่จะจับมือประคองกันไปจนตราบลมหายใจสุดท้ายของกันและกัน

 

ลูก ๆ ตื่นเต้นเมื่อวิลเลียมประกาศบนโต๊ะกินข้าวมื้อเช้าว่าพ่อและแม่จะไปจดทะเบียนด้วยกันทันทีที่นัดท่านกงสุลได้ และพร้อมกันนี้ก็จะถือโอกาสจดทะเบียนนามสกุลซึ่งถือเป็นของใหม่สำหรับคนถิ่นนี้ วิลเลียมพยายามอธิบายให้เข้าใจง่ายที่สุดว่าแต่ละเรื่องสำคัญอย่างไร และทั้งสองเรื่องนี้สัมพันธ์กันอย่างไรในทางครอบครัว

วิลเลียมและชาวอังกฤษโดยมากค่อนข้างปลื้มใจที่พระเจ้ากรุงสยามองค์ปัจจุบันสำเร็จการศึกษาจากอังกฤษและนำธรรมเนียมปฏิบัติหลายอย่างมาปรับใช้กับสังคมสยาม ในเมืองแพร่ที่เขาอยู่นี้อาจยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แต่ที่บางกอกนั้นเริ่มเห็นชัด นับแต่การมีสโมสรหรือคลับ หนังสือพิมพ์ หนังสืออ่านเล่น ละครพูด และการเต้นรำ หนุ่มสาวรุ่นใหม่ในบางกอกยามนี้มีลักษณะคล้ายหนุ่มสาวชาวอังกฤษ

อีกเรื่องหนึ่งก็คือการตั้งนามสกุล

ลูก ๆ ของวิลเลียมเข้าใจเรื่องนี้ได้ไม่ยากเพราะมีประสบการณ์จากการถูกล้อที่โรงเรียน

แต่ไหนแต่ไรมาคนที่นี่จะมีแต่ชื่อตัวเป็นคำเดี่ยวเรียกง่าย ๆ แต่เพราะชื่อเรียกไม่หลากหลายจึงอาศัยเรียกสร้อยต่อท้ายให้ชัดเจนขึ้นว่าหมายถึงใคร โดยมากมักใช้ชื่อพ่อหรือแม่ต่อท้ายให้รู้ว่าเป็นลูกใคร ที่ร้ายกว่านั้นหน่อยก็คือการหาจุดเด่นหรือจุดด้อยในร่างกายมาเป็นสร้อยชื่อ ซึ่งบางทีเจ้าตัวก็ไม่ปลื้มเพราะเป็นการย้ำจุดด้อยของตน

เช่นว่า ดำยี่…คือชื่อดำ ฟันเหยิน หรือเขียวแก๊ก…คือชื่อเขียว ตาเหล่หรือตาเข

ส่วนลูกของวิลเลียมทั้งหมดแม้ไม่มีสร้อยชื่อ แต่ถูกเรียกรวมว่า ‘ไอ้หรั่ง’ ซึ่งเด็ก ๆ ไม่ชอบ

ในเมืองมีเด็กลูกครึ่งจำนวนไม่น้อย ด้วยผิวขาวกว่าคนทั่วไป นัยน์ตาสีจางและผมสีน้ำตาลอ่อนหรือแดงเหมือนฝุ่นทราย ทำให้ลักษณะรูปกายของเด็กลูกครึ่งแตกต่างจากเด็กท้องถิ่นอย่างเห็นได้ชัด เด็กบางคนน่าสงสารเพราะเป็นกำพร้าอยู่กับมารดา พ่อของเด็กเหล่านี้เป็นทั้งชาวอังกฤษ ฝรั่งเศส เดนมาร์ก ที่เข้ามาอยู่ในบริษัททำไม้ สร้าง ‘ฝูงช้าง’ ไว้มากมายโดยที่ไม่เห็นว่าตนเองต้องรับผิดชอบในการเกิดมาของเด็กเหล่านั้น

ในขณะที่ชาวต่างชาติที่มาทำงานได้รับการยกย่องให้เกียรติ

เด็ก ๆ ลูกครึ่งกลับถูกเหยียดหยามว่าเป็นตัวตลกของคนที่นี่

แม้ลูกชายสี่คนจะเป็น ‘ลูกนายห้างวิลเลียม’ แต่ก็หนีไม่พ้นจากการถูกเรียกเหมารวมอย่างเหยียดหยามระคนขบขันว่าไอ้หรั่ง บ่อยครั้งที่ม่อนทนถูกล้อไม่ไหวถึงกับมีเรื่องชกต่อยกับเด็กในโรงเรียนจนครูต้องแยกให้อยู่ห่างกัน…ซึ่งนั่นกลับทำให้ในเวลาต่อมาช่องว่างระหว่างความเข้าใจกันถูกถ่างให้กว้างออกไปอีก

ไม่มีใครคัดค้านกับสิ่งที่วิลเลียมบอก พร้อม ๆ กับรอเวลาที่วิลเลียมนัดหมายท่านกงสุลได้ ก็คือการคิดชื่อสกุลโดยที่ยังมีเค้าโครงเดิมไว้ให้รำลึกถึง จนกระทั่งวันที่ทุกคนรอคอย ทั้งครอบครัวเดินทางไปสถานกงสุลที่เชียงใหม่ มุ่ยลงนามในเอกสารที่รับรองว่าตนเป็นภรรยาตามกฎหมายของนายวิลเลียม บรูค และยอมรับเงื่อนไขทุกอย่างที่กงสุลกำหนด

ส่วนเรื่องนามสกุล วิลเลียมถือโอกาสนี้เป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้งในสยาม

นามสกุลบรูค…อยู่ที่อังกฤษและเป็นอดีตสำหรับเขา

ในเอกสารจดทะเบียนจึงปรากฏชื่อสกุล ‘บูรวนาวงศ์’

ลูก ๆ ของเขามีชื่อภาษาไทย ต่อท้ายด้วยนามสกุลนี้

มีเพียงรอยเมืองคนเดียวที่มิได้จดทะเบียนรับรองบุตร มิใช่ว่าวิลเลียมและมุ่ยไม่ยอมรับเพราะเกิดคิดถึงประโยชน์ของลูก ๆ ในอนาคต แต่เพราะเจ้าตัวเองไม่ยอมรับ

ในวันที่เดินทางจากแพร่ไปเชียงใหม่ ไม่มีใครสังเกตว่ารอยเมืองเงียบกว่าทุกครั้ง จนกระทั่งเข้าที่พักเรียบร้อยแล้ว รอยเมืองก็หาโอกาสที่วิลเลียมและมุ่ยอยู่ด้วยกันโดยไม่มีน้อง ๆ แวดล้อม เอ่ยคำพูดที่ทำให้ทุกคนอึ้งไปว่า

“รอยรู้ว่าพ่อนายกับแม่รักรอย แต่รอยไม่ขอจดทะเบียนนี้ได้ไหมครับ รอยรู้ว่ารอยไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของพ่อนายกับแม่”

“รอย…” วิลเลียมและมุ่ยครางออกมาพร้อมกัน ไม่คิดฝันว่าจะประสบเหตุการณ์นี้

รอยเมืองเล่าว่าเขาพอรู้เรื่องนี้และมั่นใจว่าเป็นความจริงเมื่อไม่นานมานี้เอง แม้วิลเลียมและมุ่ยจะพยายามบอกว่าถึงกระนั้นก็รักรอยเมืองเหมือนลูกแท้ ๆ เด็กหนุ่มก็ยังยืนยันที่จะไม่ขอมีส่วนแบ่งในทรัพย์สินของน้อง ๆ

ลีรอยผู้แอบสังเกตเห็นความผิดปกติของรอยเมืองมาตั้งแต่วิลเลียมเอ่ยเรื่องนี้ก็รู้ว่าภายใต้ท่าทีนิ่งขรึมของเด็กหนุ่ม เขากำลังคิดหาคำตอบบางอย่างให้กับตัวเอง

“ถ้ารอยไม่อยากจดทะเบียนเป็นลูกของป้อนาย มาเป็นลูกของลุงไหมล่ะ”

รอยเมืองลังเลใจ แต่เขาไม่ค้านหนักแน่นเท่าคราวแรก ยิ่งเมื่อลีรอยเกลี้ยกล่อมถึงการต้องมีนามสกุลเป็นสิ่งประกาศเทือกเถาเหล่ากอซึ่งอาจส่งผลถึงความก้าวหน้าในอนาคต รอยเมืองก็ตกลง

ลีรอยจึงจดทะเบียนรับรอยเมืองเป็นบุตรบุญธรรม พร้อมกับจดทะเบียนนามสกุลเป็นภาษาสยาม นามสกุลบลูมเมอร์อาจจะแปลงเสียงภาษาไทยที่มีความหมายได้ยาก แต่ลีรอยไม่คำนึงถึงเรื่องนั้น นามสกุลที่เขาคิดคือสิ่งที่จะบอกว่าความสุขที่สุดของเขาในการใช้ชีวิตที่สยามคืออะไร

เด็กหนุ่มที่เขารับรองเป็นบุตรบุญธรรมจึงมีชื่อว่า…รอยเมือง วงศ์รอยเมือง

 



Don`t copy text!