เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ซุ่มซ่อนในดอนดง”

เวียงวนาลัย บทที่ ๗ พิมานพงไพร “ซุ่มซ่อนในดอนดง”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ความคิดร้ายที่สุดเมื่อเกิดแล้วก็ยากจะสลัดให้พ้นไปได้

วิลเลียมพยายามบอกตัวเองให้คลายใจว่ามุ่ยคงไม่โชคร้ายถึงอย่างนั้น แต่ใครจะรับประกันได้ว่าเรื่องที่คนงานสันนิษฐานนั้นจะไม่เกิดขึ้น ต่อให้รู้ว่าตัวมุ่ยเองก็ ‘ใช่ย่อย’ แต่สาวน้อยคนเดียว ถึงฉลาดเฉลียวเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวแค่ไหน ก็ไม่อาจสู้โจรป่าหน้ามืดที่รุกเข้ามาด้วยกำลัง

นายห้างหนุ่มฟังคำรายงานจากกุลีที่อยู่ประจำแต่ละจุดของปางไม้อย่างกระวนวายยิ่งขึ้นทุกนาที เมื่อคำตอบจากทุกปากตรงกัน

“บ่มีไผหันมุ่ยเลย นายห้าง”

กุลีคนหนึ่งรายงานว่าที่โรงครัวก็ไม่อยู่ วิลเลียมไม่สงสัยในคำตอบแต่ก็ขอไปดูให้เห็นกับตา ไปพูดจาซักถามกับกุ๊กจีนด้วยตัวเอง ค่าที่เขาให้มุ่ยมีหน้าที่ช่วยพ่อครัวเตรียมอาหาร ก็เท่ากับเป็นหน้าที่ของกุ๊กต้องดูแลมุ่ยเช่นกัน

“อั๊วบ่ฮู้จิง ๆ นะนายหั้ง” กุ๊กจีนพูดคำพื้นเมืองสำเนียงจีน แม้ฟังยากแต่วิลเลียมก็เข้าใจ “ทุกทีอีมาแต่เช้ามืด แต่วันนี้อีบ่มาเลย สงสัยอีเอาหมูไปซ่อน เพราะตะวาอั๊วบอกอีว่า วันนี้จะทำหมูหัน”

กุ๊กจีนมิได้เดือดเนื้อร้อนใจที่มุ่ยหายไป รวมถึงไม่รู้เรื่องโจรบุกบ้านเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทำร้ายและชิงทรัพย์ เรื่องมุ่ยหายไปกับหมูคู่ใจจึงเป็นรายงานแกมฟ้องอยู่ในที

วิลเลียมคิ้วลู่แทบจะมาชนกันเมื่อถามพ่อครัว

“นอกจากหมูสองตัวนั้น มีอะไรหายไปอีกหรือเปล่า”

“ม่ายมี…” กุ๊กจีนลูบคางไปมาตอบยานคลางพลางทำท่าครุ่นคิด ดุจตนเองก็ไม่มั่นใจในคำตอบ “แต่วันนี้อั๊วว่าจะเชือดไก่สักตัว เบื่อนวดแป้งขนมปังแล้ว นายหั้งอยากกินไก่แช่เหล้า ไก่อบ หรือไก่ตุ๋น”

วิลเลียมยกมือห้ามก่อนกุ๊กจะไล่เรียงเมนูจากไก่มาให้เขาเลือกมากกว่านี้ บอกไปด้วยเสียงกระด้าง

“ฉันไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น และคงกินไม่ลงด้วย รู้หรือเปล่าว่ามุ่ยหายไปจากปางไม้ อาจถูกโจรฉุดไปก็ได้”

“ไอ้หยา!” กุ๊กจีนร้องแล้วก็พ่นออกมายืดยาวเป็นภาษาจีนที่ไม่มีใครฟังออก แต่ดูจากน้ำเสียง สีหน้าและท่าทางที่แกแสดงออกก็พอจะรู้ว่าเดือดเนื้อร้อนใจขึ้นมาเดี๋ยวนั้น ภาวนากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองสาวน้อยวัยแรกรุ่น

มุ่ยหายไปพร้อมกับหมูตัวโปรดทั้งคู่ วิลเลียมจึงตรงไปที่เล้าหมู ดูให้แน่ใจว่าไอ้เลี่ยมกับนังเบ็ดไม่อยู่ที่นั่นจริง ๆ ก็พ่นลมพรืดออกมาอย่างหัวเสีย

“นายห้าง ดูนี่สิ” เมืองร้องเรียก ชี้ไปยังพื้นที่อ่อนนุ่มเพราะฝนตก

รอยกีบเท้าหมูปรากฏเห็นชัด เดินไปตามทางพร้อมกับรอยเท้าเล็ก ๆ คู่หนึ่ง

โดยพลัน ทั้งหมดก็คิดว่านี่คือเบาะแสที่จะตามคนและหมูที่หายไปได้

วิลเลียมร้อนใจ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องตามหามุ่ยด้วยตนเอง เช่นเดียวกับเมืองที่น้องสาวหายไปทั้งคน เขาจะทำใจเย็นรออยู่ไม่ได้ แต่เจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็ยืนกอดอกกระดิกเท้าอยู่ไม่ไกล สายตาที่ส่งมาเป็นคำถามว่าจะเอาอย่างไร จะเข้าป่าตัดไม้หรือตามหาคนกับหมู เพราะเขาเองก็เสียเวลาคอยหลายนาทีแล้ว

“นายดูแลการตัดไม้แทนฉันได้ไหม ลีรอย” วิลเลียมขอร้องแกมสั่งเพื่อนอยู่ในที “นายรู้ขั้นตอนทุกอย่างพอ ๆ กับฉัน บัญชีไม้ที่ต้องตัดวันนี้ก็มากเสียด้วย ถ้าไม่รีบตัดก็กลัวจะไม่ทัน”

เช่นเดียวกับเมืองที่สั่งปะเลให้คอยช่วยเหลือนายห้างลีรอย แม้ว่าปะเลจะชำนาญการเดินไพรมากกว่าตน แต่เมืองก็ไม่อาจทอดภาระตามหาน้องสาวให้ผู้อื่นได้

ในที่สุด คนในปางไม้ก็แยกออกเป็นสองคณะ คณะใหญ่เข้าป่าตัดไม้กับนายห้างลีรอยและปะเล ส่วนคณะเล็กอันประกอบด้วยวิลเลียม เมือง และแก่ช้าง…ผู้เชี่ยวชาญในการเลี้ยงช้างอีกคนหนึ่ง รวมสามคนก็ตามหามุ่ย เริ่มต้นจากรอยเท้าที่หน้าเล้าหมู

วิลเลียมส่งนกหวีดอันเล็กให้กุ๊กจีน สั่งว่าถ้ามุ่ยกลับมาแล้วให้เป่าให้ดังที่สุด เขาจะได้เลิกตามหาและรีบกลับมา

ทว่ากว่าครึ่งวันที่ผ่านไปก็ไม่มีใครได้ยินเสียงนกหวีดเลย

 

สิ่งเดียวที่ช่วยให้กำลังใจในการติดตามค้นหามุ่ยก็คือการไม่พบเศษซากใด ๆ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้าหรือร่างกาย แก่ช้างเป็นผู้นำทางวิลเลียมและเมืองเข้าลึกไปในป่าและพบว่ารอยเท้าทั้งหมดหายไปที่ริมธารน้ำ

จะว่าทั้งสามชีวิตเดินลงไปในลำธารแล้วจมน้ำหายไปก็เป็นไปไม่ได้ เพราะลำธารนั้นลึกแค่ครึ่งแข้ง วิลเลียมส่ายตาสำรวจหาร่องรอยอื่นในบริเวณใกล้ ๆ ก็ไม่พบ แต่เมืองร้องออกมาจากอีกจุดหนึ่งไม่ไกลมาก

“รอยเท้าเสือ”

วิลเลียมและแก่ช้างรีบเดินไปดูก็พบรอยเท้าอยู่สองขนาด แก่ช้างพึมพำบอกไปพร้อมกันว่า

“รอยตีนเสือ แม่เสือคงพาลูกมาเซาะเหยื่อ”

คำบอกเล่าของแก่ช้างทำให้วิลเลียมรู้ในเวลาต่อมาว่าธรรมชาติของเสือ…หรือสัตว์แทบทุกชนิดในโลกนี้…เมื่อโตพอที่จะเดินด้วยขาของตนเองได้ แม่ก็จะสอนวิธีล่าเหยื่อหาอาหารให้แก่ลูกน้อย

วิลเลียมสังเกตรอยเท้าเสือแม่ลูกที่สับสนอยู่ริมธาร พยายามมองหาความผิดปกติอื่นที่ทำให้ใจเขาตกลงไปอยู่ที่เท้า พอดีกับแก่ช้างรำพึงออกมาในเรื่องที่เขาคิดอยู่พอดี ชายหนุ่มจึงค่อยโล่งใจ

“บ่มีรอยเลือด แสดงว่ามันยังบ่ได้เหยื่อ หรือไม่…มันก็ยังบ่หิวถึงขนาด แค่ออกมาสำรวจป่าเท่าอั้น”

“แล้วเราจะทำอย่างกันต่อดี เมือง รอยเท้าทุกอย่างก็หมดลงแค่ตรงนี้” วิลเลียมถาม เขาเองก็จนปัญญาจะหาวิธีอื่นใด ในหัวทึบตันไปหมด

“เราเดินไปตามลำน้ำนี้ดู น่าจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง”

วิลเลียมไม่คัดค้าน หันมาทางผู้เฒ่าที่มาด้วย แก่ช้างหลับตาทำปากขมุบขมิบราวท่องคาถาอะไรสักบท ครั้นแล้วจึงค่อยลืมตาขึ้นช้า ๆ บอกเสียงหนักแน่นพร้อมกับชี้นิ้วไปเหนือธารน้ำใส

“ไปทางนี้”

ชายสามคนเดินตรงไปยังทิศนั้นด้วยความมั่นใจ ไม่นานก็ได้กลิ่นควันไฟโชยมากระทบจมูก จึงสะกิดกันให้ชะลอฝีเท้า

“กลิ่นควันนี้ไม่ธรรมดา แสดงว่าใกล้ ๆ นี้อาจมีคนอยู่” เมืองว่าเบาราวกลัวว่าการใช้เสียงดังจะทำให้ฝ่ายนั้น…ที่ซุ่มซ่อนอยู่…รู้ตัวเสียก่อน

วิลเลียมพยักหน้าเห็นด้วย ความคิดตอนนี้คือพวกเขาคงเข้าใกล้ซ่องโจร และมุ่ยอาจถูกจับตัวขังไว้ในนั้น การสืบเท้าเดินหน้าต่อจึงเป็นไปอย่างระมัดระวัง ไม่เดินบนทางปกติ แต่ลัดเลาะซุ่มไปในพงไม้ให้ช่วยพรางตัวขณะเข้าไปใกล้กองไฟ

จนกระทั่งภาพหนึ่งปรากฏต่อหน้า วิลเลียมแทบจะร้องและกระโจนออกไป แต่เขาก็สะกดใจห้ามทุกอย่างไว้ได้ทัน

เขาไม่อยากให้ ‘ฝ่ายนั้น’ รู้ก่อนเขาจะปราดเข้าไปถึงตัว

 

หญิงสาวนั่งสงบอยู่หน้ากองไฟแทบไม่เห็นอาการเคลื่อนไหวของร่ายกาย เจ้าหล่อนคงจะทอดความคิดไปไกลแสนไกลจึงไม่รู้ว่ามีสิ่งหนึ่งกำลังย่องเข้ามาใกล้จวนประชิดตัว

“มาทำ…”

คำถามกึ่งเอ็ดไม่จบคำ เพราะใบมีดคมเงาวับจ่ออยู่ที่คอเขารวดเร็วเป็นจังหวะเดียวกับที่ร่างบางหมุนตัวมาประจันหน้า

วิลเลียมไม่เคยเห็นแววตาแข็งกร้าวดุดันเช่นนี้มาก่อน มันเป็นแววตาของคนที่มีสัญชาตญาณระวังภัยอยู่ทุกเมื่อและพร้อมจะตวัดข้อมือพาคมมีดตัดเส้นเลือดทันทีถ้าเขารุกรานด้วยกำลัง

จนกระทั่งเห็นว่าเป็นวิลเลียมและเมืองกับแก่ช้างเดินมาสมทบ แววตาของมุ่ยจึงคลายความกร้าวลง ถอนมีดออกจากคอนายห้างกุลาเผือก เก็บเข้าฝักเหน็บไว้ที่เอวตามเดิม หากกระนั้นคมมีดก็ได้เลือดติดมาพอให้คนเจ็บแสบ ๆ คัน ๆ

“เจ้ามาทำอะไรที่นี่ ทำไมไม่อยู่ที่ปางไม้ รู้หรือเปล่าว่าพวกโจรมันออกอาละวาด”

วิลเลียมรัวใส่ไม่ยั้ง ในขณะที่คนถูกซักไม่ยี่หระ ตอบสั้น ๆ เพียง

“รู้”

มือเรียวซุนฟืนเข้าไปในกองไฟเพื่อเติมเชื้อ

“รู้แล้วทำไมยังออกมาเพ่นพ่าน ตะลอนไปทั่วป่าแบบนี้ ใคร ๆ เขาวุ่นวายตามหากันให้ทั่ว”

“นายห้างจะว่าเฮาตะลอนเพ่นพ่านไปทั่วบ่ได้ เฮานั่งอยู่ตรงนี้เมินแล้ว…นานแล้ว…บ่ได้ไปที่ไหน”

“จะบอกได้หรือยังว่ามาแอบทำอะไรตรงนี้”

คราวนี้มุ่ยไม่ตีรวน ตอบไปตรง ๆ

“ต้มเหล้า”

“ต้มเหล้า!” วิลเลียมร้อง

“โว้ย…นายห้างจะไปเดือดดัง…อย่าเสียงดัง ล่อเสือล่อหมีออกมาขบเหียบะดาย” มุ่ยต่อว่าวิลเลียมไปเสียอีก

“จะมาต้มเหล้าอะไรตอนนี้” วิลเลียมชักอารมณ์ขุ่นกับความยียวนของมุ่ยที่สีหน้าและแววตาล้อเลียนบอกชัดว่าเจ้าตัวจงใจกวนประสาทยั่วโมโห หากกระนั้น ลึกลงข้างในวิลเลียมก็โล่งใจที่พบว่ามุ่ยยังปลอดภัยดี มิได้ถูกโจรป่าจับไปทำเรื่องเลวทรามอย่างที่หวาดระแวง

“ถ้าบ่ต้มตอนนี้แล้วจะต้มตอนไหน นายห้างบ่เคยได้ยินกา ที่เปิ้นว่า…ที่เขาว่า” มุ่ยยกอาขยานที่ท่องต่อกันมาให้ฟัง “สิบแหลมซาวแหลม…บ่เท่าแหลมใบข้าว สิบเหล้าซาวเหล้า…บ่เท่าเหล้าเดือนเกี๋ยง”

วิลเลียมเข้าใจระบบนับเลขของที่นี่แล้ว ซาว คือ ยี่สิบ

แหลมอันใดไม่เท่ากับคมใบข้าว ซึ่งก็เหมารวมถึงคมใบหญ้าด้วย เพราะเขาก็เคยถูกบาดนิ้วมาแล้วเมื่อครั้งหัดผูกแพคาสำหรับมุงหลังคาและทำฝากระท่อม

แต่เดือนเกี๋ยงเขายังไม่รู้ ถาม ‘ครู’ ว่าคือเดือนใดก็ได้คำตอบว่า

“การนับเดือนของคนเมืองกับคนใต้บ่เหมือนกัน เดือนเกี๋ยงคือเดือนหนึ่ง เดือนยี่ก็คือเดือนสอง”

“แล้วเดือนหนึ่งมันคือเดือนไหน แจนยูอารีเหรอ” วิลเลียมหมายถึงเดือนมกราคม

แต่มุ่ยตอบกระแทกเสียง แกล้งทำให้เห็นว่ารำคาญในความไม่รู้ของนายห้างหนุ่มอังกฤษ

“โน! ออกโทเบอะ!”

“แล้วทำไม…” วิลเลียมถามได้เท่านั้นมุ่ยก็ยกมือห้าม

“พอแล้ว นายห้างบ่ต้องถามว่าทำไมเหล้าเดือนเกี๋ยงถึงดีกว่าเหล้าเดือนอื่น ไว้ถึงเวลาก็จะรู้เอง”

“โอเค้…เราจะรอ แต่ตอนนี้มุ่ยกับลูกสมุนต้องกลับไปที่ปางไม้ได้แล้ว เดี๋ยวจะค่ำเสียก่อน ป่าแถบนี้เราไม่คุ้นเคย ฉันไม่ไว้ใจว่าซ่องโจรมันอยู่แถวนี้หรือเปล่า”

“บ่หรอก มันอยู่ทางปู้น” มุ่ยบุ้ยหน้าไปอีกทางหนึ่ง

“รู้ได้ยังไง รู้แล้วทำไมยังมานั่งเล่นตรงนี้ ไม่กลัวมันฉุดไปหรือยังไง ยิ่งเป็นสาวเป็นนางอยู่ด้วย”

“ก็ลองดูแล่…ลองดูซิ เมื่อตะกี้ไผหวิดโดนเฮาปาดคอ”

“ฉันรู้ว่ามุ่ยเก่ง เอาตัวรอดได้ แต่ฉันไม่อยากให้ประมาท ถ้าตัวต่อตัวมุ่ยอาจจะสู้หรือป้องกันตัวเองได้ แต่ถ้ามันมากันหลายคนจะทำยังไง ฉันไม่เห็นทางว่าจะรอดไปได้ ไอ้หมูสองตัวนั่นก็ไม่มีทางช่วยได้ นอกจากกลายไปเป็นอาหารของพวกโจร”

ไอ้หมูสองตัวดุจจะรู้ว่ามีผู้ปรามาสมันอยู่ จึงประสานเสียงร้องออกมาราวจะตำหนิ

มุ่ยชี้หน้าเตือนสติคนพูด

“นายห้างอย่าลบหลู่ผู้มีพระคุณนา บ่ใช่เพราะไอ้หมูสองตัวนี่รึ ถึงชนะเดิมพันมิตสะหลวยได้”

“โอเค มุ่ย ฉันยอมแพ้เธอทุกอย่าง แต่วันนี้พอแค่นี้ เก็บของกลับไปที่ปางไม้ แล้วห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวอีก” วิลเลียมเห็นมุ่ยทำท่าจะเถียงก็รีบดักคอว่า “ถ้าจะต้มเหล้าหรือทำอะไรก็ทำที่ปางไม้นั่นละ ถ้าขอร้องกันดี ๆ แล้วยังไม่ฟัง ฉันจะส่งกลับไปอยู่ที่ออฟฟิศทั้งคนทั้งหมูเลย”

“เฮอะเหอ…คิดว่ากลัวก๊า ทำเป็นขู่” มุ่ยลอยหน้าท้าทาย

“ฉันไม่ได้ขู่ แต่ฉันพูดจริง” วิลเลียมบอกเสียงหนักแน่น “ถ้ามุ่ยผูกพันกับใครหรือรักใครมาก ๆ มุ่ยจะอยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลา มุ่ยคงไม่รู้ว่าฉันแทบบ้าตอนที่รู้ว่ามุ่ยหายตัวไป”

แม้มุ่ยจะเพิ่งเข้าสู่วัยแรกสาว ก็ใช่จะไม่เข้าใจนัยแห่งคำพูดนั้น ใบหน้าเรียวจึงร้อนผ่าวขึ้นมา เสเบ้ปากส่ายหน้าดุจไม่แยแสต่อคำพูดนั้น ส่งผลให้วิลเลียมเน้นเสียงหนักแน่นขึ้น

“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะมุ่ย ฉันเป็นห่วงมุ่ยจริง ๆ”

หญิงสาวหันมาประจันหน้าเขา ถามออกไปตามตรง

“กับแหม่มเบ็ตตี้ นายห้างรู้สึกแบบเดียวกันนี้หรือเปล่า”

 

ข่าวโจรป่าอาละอาดปล้นจี้ยังมีมาเข้าหู ทั้งบุกเข้าหมู่บ้านอย่างอุกอาจ ทั้งซุ่มจี้ชิงทรัพย์ชาวบ้านยามหาของป่า เคราะห์ดีอย่างเดียวของวิลเลียมก็คือ พวกโจรป่ายังไม่บุกเข้ามาที่ปางไม้ หากกระนั้นเขาก็ยังปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทริกอย่างเคร่งครัด คือดูแลกำปั่นเก็บเงินอย่างดี ใช้โซ่พันคล้องไว้กับขาเตียงแล้วจึงล็อกด้วยกุญแจเหล็กอันใหญ่ เป็นระบบความปลอดภัยที่แน่นหนา ทว่าลีรอยอดขันไม่ได้

“แบบนี้ถ้าพวกโจรบุกเข้ามา ทางเดียวที่มันจะเอาหีบเงินก็ไปได้ ก็คือต้องยกออกไปทั้งเตียง” เขาว่าแกมล้อ “นายเหลือแค่เอาหีบเงินหนุนต่างหมอนเท่านั้นนะ วิลเลียม”

“ถ้ามันจะบุกเข้ามาจริง ๆ ก็ต้องให้เหนื่อยกันหน่อยละ” วิลเลียมว่าพลางพยักไปทางกรอบประตูที่กว้างเพียงคนตัวใหญ่สักคนจะผ่านเข้ามาได้แล้วหันมาพยักที่เตียงนอน “เตียงนี้กว้างกว่าช่องประตูเพราะเอามาต่อในห้อง ถ้ามันจะมาขโมยจริง ๆ มันก็ต้องพังประตูเสียก่อน”

ลีรอยมองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนโปรยสายลงมาบางเบา ไม่มีเค้าว่าจะหยุด เพราะเป็นปกติของฤดูนี้

“ฉันว่าพวกโจรคงยังไม่บุกมาตอนนี้ ฝนตกหนักวันเว้นวัน”

“ฉันไม่ห่วงเรื่องโจรเท่าไรหรอก ลีรอย ฉันกังวลว่าเราจะตัดไม้ได้ทันก่อนน้ำหลากหรือเปล่า ดูเหมือนตอนนี้เราจะช้ากว่ากำหนดไปแล้วนิดหน่อย” วิลเลียมบอกเรียบ ๆ ความหนักใจเรื่องตัดไม้ยังไม่มากนัก เพราะเขามีแผนสำรองที่จะจัดการให้งานเสร็จตามเวลาได้ แต่ที่ติดอยู่ในใจไม่สร่างคือคำถามของมุ่ย จนบัดนี้เขาก็ยังมิได้ให้คำตอบแก่หล่อน

มุ่ยเองก็ไม่รบเร้าเอาคำตอบ

วันหนึ่ง ๆ ของสาวน้อยหมดไปกับการตะลอนหาเรื่องสนุกทำในปางไม้ ไม่ว่าจะต้มเหล้า เลี้ยงหมู หรือช่วยกุ๊กจีนเตรียมอาหาร วันใดที่คนงานต้องไปตัดไม้ในป่าที่ไกลออกไป วันนั้นจะเป็นวันพิเศษสำหรับมุ่ยเพราะหล่อนจะควบม้าแกลบตัวเล็กร่วมไปด้วยในขบวน

วิลเลียมไม่ห้าม เพราะอย่างน้อยเขาก็ได้เห็นหล่อนอยู่ในสายตา

“นายคิดถึงบ้านบ้างหรือเปล่า” ลีรอยถามอย่างเป็นเรื่องสามัญที่ไม่รู้จะหาเรื่องอะไรมาคุย ทว่าแววตาของเขาทอดเลยไกลไปในความมืด

“บ้านเหรอ…” วิลเลียมเน้นคำว่า ‘บ้าน’ “บ้านที่นายว่า หมายถึงอะไร บ้านที่อังกฤษ ที่อินเดีย หรือที่ปางไม้”

ลีรอยเปลี่ยนคำถามใหม่

“นายอยากกลับอังกฤษหรือเปล่า”

“ไม่” คำตอบของวิลเลียมหนักแน่นชัดเจน ย้อนถามเพื่อน “สัญญาจ้างกำหนดไว้ชัดว่าเราจะลากลับบ้านไม่ได้จนกว่าจะทำงานครบสามปี…นายอยากกลับอังกฤษหรือ”

ลีรอยส่ายหน้า

“ฉันไม่เคยมีบ้าน…ไม่ว่าที่ไหน ที่ไหนที่ฉันอยู่แล้วมีความสุข คือมีคนที่ฉันรัก มีงานให้ฉันทำ แม้จะลำบากไปบ้าง แต่มันก็เป็นที่ที่มีความสุขสำหรับฉัน มีค่าเท่ากับบ้าน” ลีรอยพ่นลมหายใจยาว ส่ายหน้าคล้ายจะตำหนิให้ความไม่เอาไหนของตัวเอง “ไม่ได้เรื่องเลยฉัน ชวนนายคุยอ้อมไปเสียไกล คืออย่างนี้นะวิลเลียม ฉันถามตรง ๆ ว่านายจะทำอย่างไรกับเบ็ตตี้ นายจะปล่อยให้เบ็ตตี้อยู่แบบนี้ไปอีกนานแค่ไหน”

“ฉันคิดว่า…” วิลเลียมพูดแล้วหยุดไปเหมือนหาคำอธิบายไม่เจอ ลีรอยจึงเป็นฝ่ายแจกแจงความรู้สึกของเขาอย่างตรงไปตรงมา

“นายไม่ได้รักเบ็ตตี้อย่างที่เคยรักเมื่ออยู่อังกฤษ สาเหตุก็รู้ ๆ กันอยู่ นายรู้หรือเปล่าว่าพวกคนงานพูดถึงมุ่ยอย่างไรบ้าง”

วิลเลียมเอียงหน้าถาม เขาไม่เคยรู้เกี่ยวกับเรื่องซุบซิบนินทาในปางไม้ ยิ่งกุลีในปางไม้ล้วนเป็นชาย แทบไม่มีผู้หญิงเลย คงห่างไกลจากการนินทาที่มุ่ยเคยสอนเขาว่า คนถิ่นนี้เรียกว่า ‘เล่าขวัญ’

“ระเบียบของบริษัทห้ามผู้จัดการพาภรรยามาอยู่ด้วย รวมถึงพวกคนงาน แต่นายก็พามุ่ยมาอยู่ที่ปางไม้ นายคงไม่รู้ว่าบางคนเล่าขวัญกันว่า นายพามุ่ยมาเป็นนางบำเรอโดยมีเมืองรู้เห็นเป็นใจ สนับสนุนให้น้องสาวเป็นเมียนายห้าง”

“บ้า! ไปเอาความคิดต่ำ ๆ แบบนี้มาจากไหน” วิลเลียมโมโหขึ้นมาทันที

ลีรอยยักไหล่พ่นลมหายใจพรืด

“ห้ามลมไม่ให้พัด ห้ามไฟไม่ให้มีควัน ไม่มีใครทำได้ นายจะห้ามความคิดของคนได้ยังไงกัน”

“อย่าให้รู้นะว่าใครเที่ยวพูดอย่างนี้ ถ้ารู้ว่าเป็นใคร ฉันจะเลิกจ้าง ไล่กลับบ้านไปเลย”

อีกครั้งที่ลีรอยยักไหล่ให้คำตอบของวิลเลียม เพราะรู้ดีว่าสิ่งที่เขาประกาศออกมานั้นทำได้ยากยิ่ง แรงงานกุลีในปางไม้มีค่าไม่ต่างกับช้างลากซุก ต่อให้ไม่เลิกจ้าง แค่พวกนี้ประท้วงหยุดงานเสียวันหนึ่ง ค่าเสียหายก็ปาไปเท่าไร

บริษัททำไม้ยังต้อง ‘ง้อ’ แรงงานชาวบ้านอยู่อีกมากหากจะทำธุรกิจนี้

“ค่อย ๆ คิดไปเถอะ แต่อย่าให้ช้านัก นายควรตัดสินใจให้เด็ดขาดเรื่องผู้หญิงสองคน ทั้งมุ่ยและเบ็ตตี้ นี่คือคำแนะนำจากเพื่อนที่รักนายที่สุด”

วิลเลียมโผเข้ากอบลีรอยแทนคำขอบคุณ

“ขอบใจนายมาก ที่คอยเตือนสติฉัน”

 

ในวันต่อมาฝนตกพรำทั้งวัน ฟ้าหม่นเทาไม่มีแสงอาทิตย์ฉายลงมา ข้อดีคือไม่ต้องตัดไม้ท่ามกลางเปลวแดดแผดจ้า อากาศไม่ร้อน แต่ข้อเสียก็คือการตัดไม้ทำได้ยากขึ้น ป่ายามนี้ทั้งชุ่มและชื้นแฉะ บางช่วงก็หนาวจนปากสั่น แต่อาศัยจิบเหล้าและการออกแรงเลื่อยไม้ทำให้ร่างกายอบอุ่น

กลับมาถึงปางไม้ในตอนค่ำ วิลเลียมและลีรอยก็แทบหมดแรง ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้พร้อมจะหลับได้ในวินาทีต่อมา

“ฝนตกแบบนี้แย่ คันไปทั้งตัวเลย”

วิลเลียมบ่นกับเพื่อนขณะปลดกระดุมเสื้อเม็ดบนให้คลายความอึดอัด และถอดบูตหนังสูงถึงเข่าที่สวมมาตลอดทั้งวันจนคิดว่าป่านนี้เท้าอาจจะเปื่อยซีดและส่งกลิ่นเหม็นร้ายกาจ ครั้นถอดแล้วก็ตกใจด้วยที่หน้าแข้งของเขานั้นเต็มไปด้วยทากสีดำตัวเล็ก ๆ ดูดเลือดราวกับได้อาหารอันโอชะมื้อใหญ่

“เฮ้ย! อะไรกันนี่ มิน่าละ มันถึงคันตลอดเวลา”

ลีรอยถอดรองเท้าก็พบสิ่งเดียวกัน

เมืองและมุ่ย…สองพี่น้องขึ้นมาที่บังกะโลของนายห้างพร้อมอ่างน้ำคนละใบ

“คิดแล้วว่าต้องเจอฤทธิ์ทากดูดเลือด” มุ่ยว่าเยาะ ๆ ดูสมใจที่นายห้างกุลาเผือกเจอดี

“ฝนตกป่าชุ่มแบบนี้พวกทากมันออกหากิน” เมืองอธิบาย “เวลาคนหรือสัตว์เดินผ่านมันก็เข้ามาเกาะดูดเลือด มันไม่เจ็บหรอก แต่คัน ๆ ปนรำคาญ บางทีเราก็ไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็เสียเลือดไปหลายลิตรแล้วกระมัง”

สองพี่น้องก็นำยาเส้นจุ่มลงในน้ำระหว่างอธิบาย ไม่นานน้ำใสก็กลายเป็นสีน้ำตาลกลิ่นฉุน มุ่ยตักน้ำแช่ยาเส้นราดลงไปบนแข้งของวิลเลียม เช่นเดียวกับที่เมืองทำให้ลีรอย นาทีต่อมานายห้างหนุ่มสองคนก็เห็นว่าทากสีตำตัวน้อยที่เกาะพราวอยู่บนหน้าแข้งทยอยหลุดร่วงลงไปทีละตัวสองตัว

“ทากมันไม่ถูกกับกลิ่นยาเส้น” มุ่ยบอก ออกเสียงสำเนียงถิ่นว่า ต้าก เมื่อเอ่ยถึงทากดูดเลือด

“ก่อนเข้าป่าวันพรุ่ง นายห้างเอายาเส้นใส่ไว้ในเกือก กระเป๋าเสื้อ กระเป๋าเตี่ยว…กางเกง ก็จะช่วยได้” มุ่ยแนะนำและบอกเป็นเชิงเลียบเคียงว่า “วันพูก…พรุ่งนี้ เฮาจะเข้าป่าตวย จะได้ช่วยนายห้างจัดการเรื่องทาก”

หากเป็นก่อนหน้านี้วิลเลียมคงไม่คิดมากที่มุ่ยจะนึกสนุกตามไปด้วย แต่หลังจากที่ลีรอยเตือนสติเขาเรื่องความเด็ดขาดในความสัมพันธ์กับหล่อน วิลเลียมก็กระตุกใจนิดหนึ่งว่าควรให้มุ่ยตามไปด้วยหรือไม่

เจ้าตัวร้ายมัน ‘ร้าย’ ไม่สร่างซา

มุ่ยคงรู้ว่าวันพรุ่งนี้เขาจะไปตัดไม้ในป่าที่ห่างออกไปหลายไมล์ ต้องตั้งเต็นท์ค้างในป่าอีกสามคืนจึงจะกลับ ที่มาช่วยกำจัดทากออกจากขาเขาก็คงเพราะจะรุกคืบต่อเรื่องขอเดินทางไปด้วยนั่นเอง

วิลเลียมลังเลในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยอมให้มุ่ยติดตามไป เพราะห่วงเรื่องโจรเข้ามาปล้นในปางไม้ช่วงที่เขาไม่อยู่

รุ่งเช้าถัดมาเมื่อวิลเลียมแต่งตัวเรียบร้อยลงมาที่หน้าบังกะโลก็พบว่ามุ่ยควบม้าคอยอยู่แล้ว คณะเดินทางห่างจากปางไม้ออกไปราวสองไมล์ พระพิรุณก็โปรยสายลงมาอีก พอดีกับเข้าเขตป่าที่ชื้นแฉะ มุ่ยจึงชักม้าของตนขึ้นนำไปอยู่หัวขบวน

“นั่นมุ่ยจะทำอะไรน่ะ” วิลเลียมถามเมืองเพราะอยู่ใกล้ที่สุด

“วิธีที่มุ่ยทำคือ ขี่ม้าล่อทาก”

เมืองตอบพร้อมอธิบายว่าการขี่ม้าล่อทากช่วยลดอัตราการที่ทากจะเกาะขาดูดเลือดคนเดินป่า นายห้างทั้งสองก็พยักหน้าเข้าใจ

คณะเดินทางมาถึงจุดหมายตอนบ่ายแก่ ไม่อาจโค่นไม้ได้ในวันนี้เพราะเหนื่อยล้าจากการเดินทางไกล กุลีกางเต็นท์ผ้าใบให้นายห้างเป็นที่พัก แต่ครั้นวิลเลียมตรวจดูก็พบว่าข้างใต้ผ้าใบที่ปูพื้นนั้นเป็นแหล่งชุมนุมของทาก เส้นสีดำยุบยับชวนชนลุก จึงสั่งให้ย้ายจุดตั้งเต็นท์ใหม่

เมืองจุดไฟกองใหญ่ โยนเปลือกส้มตากแห้งลงไปเพื่อไล่ยุง

“ถึงตอนนี้ฉันไม่รู้ว่าระหว่างทากกับยุง อะไรร้ายกาจกว่ากัน” วิลเลียมเอ่ยขึ้นเมื่อตบยุงตัวใหญ่ที่บินมาเกาะคอ ดูดเลือดจนเป่งไปทั้งตัว หลักฐานคือรอยเลือดที่อยู่บนฝ่ามือ

“มันก็มีแหมนัก…อีกมาก…ที่นายห้างจะต้องเจอ ทั้งที่มองเห็น แล้วก็บ่เห็น” มุ่ยว่าพลางหรี่ตาทำท่าอมพะนำ ถามยั่วให้อยากรู้ “นายห้างอยากฟังเรื่องเสือสมิงก่?”

“มุ่ย…ไม่เอา” ผู้เป็นพี่ชายปราม “เข้าป่าอย่าพูดถึงเสือสาง”

“ไม่ว่าตอนไหนเฮาก็อยู่ในป่า ถ้าบ่เล่า เมื่อใดนายห้างจะรู้เรื่องเสือสมิงเล่า ขืนช้าไป รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นอาหารของมันไปแล้ว”

เมื่อพี่ชายยังปรามและเสียงเข้มขึ้นทุกทีมุ่ยจึงหยุด ลอยหน้าบอกนายห้างแกมขู่ว่า

“ยังมีอะหยังซ่อนไว้ในป่าแหมนัก นายห้างคอยดูไปเต๊อะ”

แยกย้ายกันเข้านอนแล้ว วิลเลียมก็พบปัญหาใหม่ทันทีที่ไม่ใช่เรื่องทาก

เขาเหนื่อยมาตลอดทั้งวันจากการเดินทาง มั่นใจว่าเอนตัวนอนหลับตาก็สามารถหลับสนิทได้ทันที แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คาดเพราะรู้สึกเหมือนมีอะไรไปทั่วตัว ครั้นปัดและเกาก็รู้สึกว่ายิ่งคันและแสบร้อน ทนไม่ไหวจึงลุกขึ้นมาส่องตะเกียงดูก็พบว่าเป็นมดง่ามจำนวนมากดำพรืดไปหมด

วิลเลียมเรียกเมืองที่ยังนั่งคุยกับคนงานให้มาดู มุ่ยตามมาด้วยแล้วก็หัวเราะอย่างถูกใจ เขาแปรคำพูดในตาของเจ้าตัวร้ายได้ว่า…เฮาบอกแล้ว ยังมีอะหยังแหมนักซ่อนอยู่ในป่า

เป็นอันว่าคืนนั้นวิลเลียมต้องนอนอยู่ที่เดิม เพราะการย้ายเต็นท์ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้ เมืองสั่งคนงานให้นำน้ำมันก๊าดมาราดขาเตียงทั้งสี่ แล้วก็ราดเป็นวงรอบเตียงนอน

ทุกคืนที่วิลเลียมต้องอยู่ในป่านี้เขาไม่อาจหลับสนิทได้อย่างเป็นสุข เพราะกลิ่นน้ำมันก๊าดโชยเข้าจมูกตลอดเวลา และยังระแวงว่าสะเก็ดไฟจะกระเด็นมาทางเตียงนอนเขาหรือไม่ เพราะถ้าเคราะห์ร้ายเกิดขึ้น เขาก็ถูกย่างสดอยู่ในป่านี้เอง

แต่เขาก็ผ่านมาได้โดยมีชีวิตรอดจากมดง่ามและเปลวไฟ แม้กำหนดกลับปางไม้จะเลื่อนออกไปจากกำหนดเดิมสองวันเพราะงานไม่เรียบร้อย

วันที่วิลเลียมกลับถึงปางไม้ เขาเห็นท่าทีของคนงานดูผิดปกติไป ในใจคิดว่าคงมีเรื่องอะไรแน่แต่ขอเก็บสัมภาระอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียก่อนค่อยมาซักถามไล่เรียง ลงจากม้าแล้วตรงไปยังบังกะโล เปิดประตูห้องนอนแล้วก็พบสิ่งที่ไม่คาดฝัน

ภาพที่กระทบตาส่งผลให้วิลเลียมตะลึงงัน ทั้งร่างนิ่งขึง

สตรีผู้หนึ่งนอนทอดกายระทดระทวยอยู่บนเตียงของเขา

 

 



Don`t copy text!