เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “๒๔๗๕ นายห้างรุ่นใหม่”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “๒๔๗๕ นายห้างรุ่นใหม่”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

เรื่องที่รอยเมืองสะกิดบอกว่าสยามจะเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นเกิดขึ้นจริงในปี พ.ศ.๒๔๗๕ คณะราษฎรเป็นผู้ปฏิบัติการเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตย ปฏิบัติการในครั้งแรก ๆ ยังไม่กระทบกับชีวิตของประชาชน บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น รู้กันมาเป็นข่าวลือว่าทหารทะเลาะกันบ้าง ทหารตีกับตำรวจบ้าง อย่างร้ายที่สุดก็ว่าบุกวังไปคุมตัวในหลวง

จนกระทั่งในหลวงรัชกาลที่ ๗ ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน และต่อมาในวันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๔๗๕ ประกาศใช้ฉบับถาวร ถัดมาอีกปีกว่าทรงสละพระราชสมบัติในวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ.๒๔๗๗ ชาวบ้านร้านตลาดจึงยอมว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นแล้วจริง ๆ

วิลเลียมมิได้พาครอบครัวอพยพไปอยู่อังกฤษตามที่รอยเมืองแนะนำแกมร้องขอด้วยความกังวล ประกอบกับการปะทะกันของขั้วอำนาจเก่ากับอำนาจใหม่ก็ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น เป็นการแย่งชิงอำนาจในกลุ่มผู้ก่อการ ยังไม่กระเทือนมาถึงชีวิต วิลเลียมก็ยิ่งมั่นใจว่าตัดสินใจถูกแล้ว ในวัยหกสิบกว่าปี ปลดระวางตัวเองจากงานปางไม้แล้ว หันมาทุ่มเทให้กับโรงงานเฟอร์นิเจอร์เป็นหลัก และการทำสวนผักผลไม้เป็นรอง ก็คิดว่าต่อให้สถานการณ์ในสยามจะเลวร้ายกว่านี้ เขาก็ยังจะอยู่ที่นี่กับครอบครัว เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าจะให้แผ่นดินสยามเป็นเรือนตาย

มีเรื่องให้สะเทือนใจอยู่บ้างคือข่าวการต่อสู้ของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าบวรเดช ซึ่งจะนับว่าเป็นผู้ที่รู้จักและเคารพนับถือกันก็ว่าได้ ในตอนที่เกิดเรื่องนั้นท่านเพิ่งลาออกจากตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหมได้ไม่นานเพราะไม่พอพระทัยที่งบประมาณของกองทัพถูกลดลง ท่านนำทัพที่เรียกตัวเองว่า “คณะกู้บ้านกู้เมือง” จากนครราชสีมามาประชิดพระนครที่ทุ่งดอนเมือง แต่ผลสุดท้ายท่านถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สยามว่าเป็น กบฏบวรเดช และตัวท่านเองต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศ

การเปลี่ยนแปลงของสยามไม่กระทบกับงานป่าไม้มากนัก เพราะปีหลัง ๆ มานี้ รัฐบาลสยามปรับเงื่อนไขสัญญาขึ้นภาษีตอไม้และค่าธรรมเนียมอื่น ๆ ตลอดจนมีกรมป่าไม้ที่ดูแลเรื่องการทำไม้โดยตรง จนเหล่านายห้างชาวตะวันตกทั้งหลายนำมาคุยเป็นเรื่องขำขันแกมเสียดสี

“ไม่รู้จะทำอะไรก็ใช้วิธีขึ้นภาษีตอไม้” นายห้างวัยเกษียณผู้หนึ่งเยาะ อีกคนจึงผสมโรง

“หรือไม่ก็ยึดเอาไปทำเอง เห็นว่าการทำไม้เป็นเรื่องง่ายกระมัง” รายนี้หัวเราะแล้วอัดซิการ์พ่นควันปุ๋ย หันมาพยักกับวิลเลียม “คงเห็นว่าเป็นทางที่จะบีบเราให้ยอมนะสิ ทำขู่ว่าจะไม่ให้สัมปทานอีก คงยังไม่รู้ตัวกันสินะว่าพวกเรานี้ ไม่มีใครอยากขอสัมปทานอีกแล้ว ไม้ที่เหลืออยู่ไม่คุ้มค่ากับการต่อสัญญาอีกแล้ว”

“รัฐบาลสยามกำลังจะตั้งโรงเรียนป่าไม้ที่แพร่” วิลเลียมบอกเพื่อนนายห้างด้วยกัน

แต่ผู้อยู่ในวงสนทนายักไหล่อย่างไม่ศรัทธา

“จะมาตั้งโรงเรียนหลังจากหมดสัมปทานแล้วนี่นะ แต่ก็…ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

 

ในขณะที่ ‘ขั้วอำนาจ’ ทางการปกครองสยามยังแย่งชิงอำนาจกันไปมา มีปะทะกันบ้างให้เกิดความเสียหาย แต่ชีวิตนายห้างปางไม้กลับมั่งคั่งขึ้น

นายห้างหลายคนมีที่ดินแปลงใหญ่เนื้อที่หลายสิบไปจนถึงร้อยไร่อยู่ในทำเลที่ดี บางที่ติดดอย บางที่ติดแม่น้ำปิง สร้างบ้านแล้วยังมีว่างอีกมากสำหรับปลูกดอกไม้ ทำสวนผักและผลไม้ นายห้างคนหนึ่งเล็งเห็นการณ์ไกลว่าพื้นที่แถบนี้ยังไม่มีการปศุสัตว์ ก็บุกเบิกทำฟาร์มขอใบอนุญาตถูกต้อง

เมื่อพบกันในวงดินเนอร์หรือวงไพ่บริดจ์ในสโมสร เรื่องความเจริญก้าวหน้าในชีวิตแต่ละคนก็เป็นที่นำมาเล่าสู่กันฟัง

หนึ่งในผู้ที่วงสนทนามักหยิบยกขึ้นมาพูดถึงเป็นประจำ และตั้งสมญานามให้ว่า ‘พ่อเลี้ยงอสังหาผู้สำรวย’ นั่นก็คือไอเดนลูกชายมิสเตอร์อีแวนเดอร์ผู้ล่วงลับกับนางหนู แม้บัดนี้เขาจะเป็นนายเด่นชาติ หนูบุตร ซึ่งทั้งชื่อและนามสกุลดูไม่เป็นฝรั่ง แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่แทบจะโขกออกมาจากพิมพ์ของพ่อ มีเค้าแม่ปนอยู่เล็กน้อย สมาชิกในสมาคมจึงยังยินดีต้อนรับมิสเตอร์ไอเดนเช่นเคยเป็นมา โดยเฉพาะเวลาชักชวนเข้าทีมแข่งขันโปโลประจำปี

ไอเดนหรือเด่นชาติมีนิสัยหวงตัว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร เขาจึงมาสมาคมที่สโมสรน้อยครั้ง ทว่าการมาแต่ละครั้งมีเป้าหมายที่ชัดเจนซึ่งหนีไม่พ้นเรื่องการตกลงซื้อขายที่ดิน เขาไม่เสียเวลามานั่งอ้อยอิ่งจิบวิสกี้ อ่านหนังสือ หรือดูเพื่อนฝูงตีกอล์ฟ ชาวสมาคมจึงมักค่อนว่าเขาหวงตัว

เหตุผลข้อนี้มีแต่เจ้าตัวที่รู้ดี

เหตุการณ์สะเทือนใจที่เมียหลวงของพ่ออุตส่าห์หอบหิ้วร่างกายเทอะทะของหล่อนข้ามน้ำข้ามทะเลมาเพื่อทวงสมบัติทุกชิ้นของสามีคืนไป ทำให้ไอเดนเกิดอคติกับชาวตะวันตก ตอนทำงานเป็นเสมียนในบริษัททำไม้ เขาเห็นเล่ห์เหลี่ยมกลโกงหลายอย่างที่บริษัทเอาเปรียบรัฐบาลสยาม ในข้อนี้จะว่าไปแล้วก็ติได้ไม่เต็มปากนัก เพราะรัฐบาลเปลี่ยนสัญญาสัมปทานใหม่ทีไรก็กระหยิ่มใจว่าไม่ถูกเอาเปรียบจากบริษัทตะวันตกแน่ จนแม้สิ้นสุดสัญญาแล้วยังไม่รู้ตัวว่าบริษัททำไม้ตลบหลังเอาคืนสารพัดวิธีโดยที่ผู้ให้สัมปทานไม่รู้เลยว่าถูกเอาเปรียบหนักยิ่งกว่าเดิม

มารู้ตัวอีกทีไม้ก็เกือบหมดป่า บริษัทต่างชาติไม่ขอต่อสัญญาอีก ปล่อยให้กรมป่าไม้จัดการกันเอง

ไอเดนมีสายเลือดตะวันตกก็จริง แต่ก็มีความเข้าใจผู้ถูกกดขี่และเอาเปรียบอยู่มาก เขาจึงมีอคติต่อคนชาติเดียวกัน…คือชาติตะวันตก และตั้งปณิธานเอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสทำกิจการใด ๆ ร่วมกัน เขาจะเป็นฝ่ายเอาเปรียบชาวตะวันตกด้วยกันอย่างถึงที่สุด

คิดได้ดังนั้น หลังจากเก็บเกี่ยวกลโกงในบริษัททำไม้มาพอสมควร ไอเดนก็ลาออกแล้วตั้งบริษัทของตัวเอง ‘ไอเดนคอมปาวด์’ ทำกิจการอสังหาริมทรัพย์และนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศมาขายให้พวกตะวันตกด้วยกัน และชนชั้นนำของเชียงใหม่ที่ปลาบปลื้มใจกับสินค้าจากเมืองฝรั่ง

โชคดียังเข้าข้างไอเดนและนางหนูผู้เป็นแม่อยู่บ้าง ที่แม้โดนริบมรดกของพ่อไปแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงกับสิ้นไร้ไม้ตอก ทรัพย์สินของมิสเตอร์อีแวนเดอร์ที่ตกทอดมาถึงเขาคือที่ดินหนึ่งแปลงริมแม่น้ำปิง มันหลุดรอดสายตามิสซิสอีแวนเดอร์ไปเพราะตอนนั้นยังซื้อขายไม่แล้วเสร็จ มิสเตอร์อีแวนเดอร์จ่ายค่ามัดจำไปแล้วครึ่งหนึ่ง เจ้าของที่ก็ทำกระบิดกระบวนกะจะโก่งราคาให้ได้อีกสักนิด ครั้นมิสเตอร์อีแวนเดอร์ตายไป ไม่มีใครมาไถ่ถามอีก ฝ่ายเจ้าของที่เดือดร้อนตามหาทายาทจนได้พบไอเดน ส่งโฉนดให้ดูว่าโอนเรียบร้อยแล้วแต่ยังขาดเงินอีกครึ่งที่เหลือ

ไอเดนตรวจสอบจนแน่ชัดแล้วว่าพ่อค้างจ่ายอีกครึ่งหนึ่งจริง ๆ มิใช่จ่ายหมดแล้วแต่ฝ่ายเจ้าของที่ดินทำตุกติกเก็บโฉนดไว้ ก็เขียนจดหมายขอยืมเงินจากลุงวิลเลียมมาจ่าย หลังจากได้ที่ดินมาแล้วไอเดนก็สร้างบ้านใหญ่โตอยู่กับแม่สองคน

ระหว่างจัดการเรื่องนี้เองที่ไอเดนเห็นภาพรำไรของการได้เงินก้อนโตมาอย่างง่าย ๆ จากการซื้อขายที่ดิน ในตอนแรกเขายังไม่รู้ว่าวิธีการที่ว่านั้นเป็นอย่างไร รู้แค่ว่ามีแน่ ๆ จนกระทั่งบ้านตึกริมแม่น้ำหลังใหญ่ใกล้แล้วเสร็จ ไอเดนก็เห็นช่องว่างในการหารายได้จากงานด้านอสังหาริมทรัพย์

เขาเริ่มซื้อที่ดินแปลงเล็ก ๆ ขายออกไป แล้วซื้อแปลงใหม่ที่ใหญ่กว่า…แล้วขายออกไป

กลยุทธ์ในการเพิ่มกำไรจากการขายที่ดินมีมากกว่านี้ ไอเดนถือว่าเป็นคนมีเหลี่ยมคูมากมายในทางนี้ ยิ่งถ้าคู่สัญญาเป็นชาวตะวันตกแล้วละก็ ไอเดนจะเหลี่ยมจัดขึ้นอีกทวีคูณโดยที่อีกฝ่ายไม่ทันเฉลียวใจ รู้ตัวอีกทีก็จ่ายเงินใหญ่ให้ไอเดนแล้ว

การซื้อขายครั้งหนึ่งเป็นที่โจษจันในกลุ่มบริษัททำไม้คือตอนที่ไอเดนซื้อที่ดินจากบริษัทบอมเบย์เบอร์มาในราคา ๗,๕๐๐ บาท ที่ดินแปลงสวยอยู่ติดริมน้ำปิง แต่ตอนนั้นทางบริษัทขาดสภาพคล่อง จำเป็นต้องแบ่งขายที่ดินไป อีกสามปีต่อมาจึงขอซื้อคืน ไอเดนก็ขายคืนให้ไปในราคา ๑๕,๐๐๐ บาท ได้กำไรไปหนึ่งเท่าตัว

เขาจึงได้ฉายา พ่อเลี้ยงอสังหาผู้สำรวย และอาจต่อท้ายด้วย…สุดเขี้ยว หรือเขี้ยวลากดิน…ก็แล้วแต่อารมณ์ของผู้ที่พูดถึงเขาในขณะนั้น

ธรรมดาคนมั่งมีมักมีเพื่อนฝูงล้อมหน้าตามหลัง ซึ่งอาจผูกไมตรีกันเพราะเกื้อหนุนประโยชน์ให้กันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง น้อยคนที่คบหากันด้วยน้ำใสใจจริง ความร่ำรวยของเขาจึงเป็นที่ดึงดูดทั้งผู้ทำธุรกิจและสาว ๆ

โดยเฉพาะฝ่ายหญิงสาวนั้น ภาพพ่อเลี้ยงหนุ่มลูกครึ่งสูงโปร่งหน้าตาดี มีบ้านหลังใหญ่อยู่ติดแม่น้ำปิง มีที่ดินอีกหลายแปลงเก็บไว้ทำไร่ทำสวนหรือเก็บไว้ขายก็หมายความว่าเงินทั้งนั้น ไอเดนจึงเป็นความฝันของสาว ๆ ว่าจะได้ก้าวไปสู่ตำแหน่งภรรยา ชาวบ้านจะเรียกหล่อนอย่างยกย่องว่า แม่เลี้ยง พ่อแม่ที่มีลูกสาวมักจะหาโอกาสพบนางหนูเพื่อฝากฝังให้ลูกสาวเข้ามาทำงานในบ้านตามแต่จะใช้สอย หวังว่า ‘นังหนู’ จะเข้าตาพ่อเลี้ยงไอเดน ต่อให้ไม่ยกย่องออกหน้า แต่ถ้าพลั้งพลาดได้เสียกัน พ่อแม่เหล่านั้นก็พร้อมจะเรียกร้องเอาค่าทำขวัญลูกสาวอย่างเต็มที่

ไอเดนไม่ห้ามแม่ที่จะรับอุปการะเด็กสาวมาทำงานบ้าน เขาระวังตัวเองไม่ให้เด็กสาวเหล่านั้นเข้าใกล้ทอดไมตรี หรือแม้แต่มีท่าทีตอบกลับที่จะทำให้พวกหล่อนเข้าข้างตัวเองว่าเขามีไมตรีด้วยจนเอาไปเพ้อฝันเลื่อนลอย หลายคนอยู่มาจนท้อก็ไม่อาจเข้าถึงตัวพ่อเลี้ยงได้ก็ล่าถอยไปเอง

สาวน้อยหลายคนเก็บความแค้นใจที่ไม่อยู่ในสายตาพ่อเลี้ยงไอเดนไประบายกับพ่อแม่

“สวย ๆ สด ๆ ไม่ชอบ วัน ๆ หลงอยู่กับม้าจนแทบจะกินนอนอยู่ในคอก”

อีกหนึ่งความสนใจของไอเดนคือม้าแข่งฝีเท้าดี เขามีม้างาม ๆ หลายตัวสั่งมาจากต่างประเทศ มีคอกม้าอยู่ในบ้าน บ่อยครั้งที่สาว ๆ จะเห็นพ่อเลี้ยงหนุ่มในชุดขี่ม้าลงจากตึกเดินไปที่คอกม้าแล้วหายไปหลายชั่วโมง หากนั่นก็เป็นภาพฝันที่งดงามของเทพบุตร แม้ในยามอยู่ในชุดปกติก็ยังสำรวยเนี้ยบไปทุกกระเบียดนิ้ว ไม่เว้นแม้แต่กางเกงแพรที่สวมอยู่ในบ้าน อันนับว่าเป็นชุดลำลองที่สุด

ในหมู่ชาวตะวันตกด้วยกันมักเหน็บแนมว่า

“แต่งตัวยังกับจะไปแข่งม้าในเทศกาลรอยัลแอสคอตอย่างนั้นละ”

ไอเดนไม่ได้ยินเองกับหู แต่รู้จากคำบอกเล่าของโอลิเวอร์ผู้เป็นแขกประจำของบ้านริมปิง ทั้งสองใจตรงกันตรงที่ไม่ชอบการปั้นหน้าเป็นสุภาพบุรุษผู้ดีในสโมสร แต่ไอเดนเก็บอาการนิ่งเฉยได้ดีกว่าโอลิเวอร์ เมื่อโอลิเวอร์มาเยี่ยมและชวนกันไปขี่ม้าเล่น เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไอเดนก็หัวเราะออกมาเต็มเสียง

“อยากจะพูดยังไงก็พูดไป ตอนแข่งโปโลก็เห็นว่ารักฉันทุกคนนี่”

“นายอยู่ทีมไหน ทีมนั้นก็ชนะทุกทีนี่นา” โอลิเวอร์ว่า

ไอเดนหัวเราะอีกครั้งอย่างถูกใจ

“ไม่ใช่เพราะฝีมืออะไรหรอก แต่เพราะฉันมีเงินซื้อม้าโปโลฝีเท้าดีราคาแพงเท่านั้นละ” ครั้นโอลิเวอร์ส่ายหน้าน้อย ๆ ไม่เห็นด้วย ไอเดนจึงบอกด้วยน้ำเสียงสนุกว่า “ตาแก่พวกนั้นแอบคุยกันว่าอย่างนี้นี่ เขาอยากได้ม้า แต่ไม่อยากได้ฉัน บังเอิญไอ้ม้าตัวนั้นดันเป็นม้าของฉัน เขาเลยต้องมาชวนฉันเข้าทีมอย่างเลือกไม่ได้ ถ้าฉันบอกว่ายินดีให้ยืมม้าไปแข่งโดยที่ฉันไม่ลงสนามด้วย เขาคงร้องไชโยต่อหน้าฉันจนลืมเรื่องมารยาทผู้ดีไปเลย”

“ต่อให้ได้ม้าฝีเท้าดี แต่คนขี่บังคับไม่เป็น เล่นไม่เข้าขากัน มันก็ไปไม่รอดหรอก” โอลิเวอร์แย้ง

ไอเดนจึงสรุปว่า

“ฉันไม่สนใจหรอกว่าเขาจะพูดถึงฉันอย่างไร ยิ่งถ้าเขาสามารถสวมหน้ากากมิตรภาพมาชวนเข้าทีม ทั้งที่ในใจเขามิได้นิยมในตัวฉัน นี่มันไม่แสดงให้เห็นหรอกหรือว่า พวกเขาเป็นชาวตะวันตกที่ไม่มีศักดิ์ศรีเลยสักนิด”

โอลิเวอร์เงียบไป จากจุดที่ยืนม้าอยู่มองไปทางตึกใหญ่ ร่างเล็กบางของสตรีนางหนึ่งเดินประคองถาดเงินออกมาวางที่ศาลาหกเหลี่ยมสีขาว หล่อนกลับเข้าไปในตึกแล้วออกมาอีกครั้งพร้อมถาดขนม ไอเดนโบกมือให้หล่อนเป็นสัญญาณว่าเขารู้แล้วว่าถึงเวลาน้ำชายามบ่าย หล่อนยกมือโบกน้อย ๆ ตอบกลับ สองหนุ่มจึงชักม้ามุ่งไปที่ศาลาหกเหลี่ยม

“เป็นอันว่านายจะลงเอยกับลูกสาวข้าหลวงสยามคนนี้ แทนที่จะเป็นหลานสาวท่านกงสุลใช่ไหม”

“ใช่” ไอเดนตอบหนักแน่น บอกถึงการตัดสินใจที่เด็ดขาดแล้ว ถามกลับไปบ้างว่า “ตัวนายละ จะลงเอยกับมาลีเมื่อไหร่ หรือลุงวิลเลียมไม่เห็นด้วย หรือว่านายปรันต์เป็นก้างขวางคออยู่”

ม้าสองตัวเหยาะมาถึงศาลาหกเหลี่ยมพอดี หญิงสาวคู่หมายของไอเดนส่งยิ้มต้อนรับ โอลิเวอร์ถือโอกาสนี้ไม่ตอบคำถาม เสไปทักทายเจ้าหล่อน เอ่ยชมขนมที่วางอยู่บนจานกระเบื้องขาวขอบขลิบเส้นเงิน

“กลิ่นสโคนอบใหม่ หอมเนยโชยไปถึงทางโน้น หวังว่าผมจะไม่สวาปามเข้าไปหลายชิ้นจนไม่เหลือกระเพาะไว้สำหรับมื้อค่ำวันนี้”

หญิงสาวหัวเราะน้อย ๆ อย่างถูกใจ อวดฟันขาวเรียงเป็นระเบียบราวสร้อยมุก ตลอดเวลารับน้ำชา โอลิเวอร์เห็นว่าไอเดนเลือกคู่ไม่ผิด ทั้งสองดูเข้ากันได้ดีไม่มีขัดเขิน เหมาะสมกว่าหลานสาวกงสุลที่เป็นชาวตะวันตกด้วยกันเสียอีก

ระฆังวิวาห์ของไอเดนดังขึ้นในหนึ่งเดือนต่อมา

หลังจากนั้นหล่อนก็ตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายเมื่อครบกำหนดคลอด

คุณข้าหลวงพ่อตาของไอเดนอยากให้หลานชายใช้นามสกุลของมารดา เพราะเห็นว่าจะเอื้อประโยชน์แก่หลานในอนาคตได้ดีกว่านามสกุล ‘หนูบุตร’ ของบิดา ไอเดนก็ไม่ว่า ยินยอมตามนั้น ลูกชายของไอเดนจึงมีชื่อว่า โลเวล ตามด้วยนามสกุลยาวเฟื้อยฝั่งมารดา

ตาหนูโลเวลสุขภาพไม่ดี สามวันดีสี่วันป่วย เวียนเข้าออกโรงพยาบาลจนแทบจะเป็นกิจวัตรประจำวัน เดือดร้อนพ่อแม่ย่าตายายหาวิธีแก้ไขให้รอดเงื้อมมือมัจจุราช กลัวจริง ๆ ว่าจะจากไปตั้งแต่อายุยังน้อย ต่างคนต่างหาหนทางช่วยเหลือ แล้วก็พบทางออกที่ตรงกันโดยบังเอิญก็คือ ให้เปลี่ยนชื่อแก้เคล็ด แล้วจะอยู่รอดปลอดภัย

ไอเดนไม่เชื่อถือวิธีการนี้ มองหาเหตุผลสนับสนุนอย่างไรก็ไม่พบ แต่เมื่อทั้งย่า ตาและยายของเจ้าหนูสมานสามัคคีกึ่งท้าทายกึ่งเกลี้ยกล่อมให้ลองดู ก็ไม่เสียหายอะไร ไอเดนจึงยอมตาม พระผู้ใหญ่ที่ผู้เป็นตานับถืออยู่ที่วัดทางเหนือ คำนวณลัคนาราศีเวลาตกฟากต่าง ๆ แล้วก็ให้ชื่อใหม่ว่า อินถา

“อินถาคือพระอินทร์ ถ้าพูดเป็นภาษาสยามก็คือ อินทรา” ผู้เป็นตาอธิบาย แม้ว่าในใจอยากให้ชื่ออินทรามากกว่า เพราะหน้าตาของตาหนูโลเวลดูเป็น ‘ฝรั่ง’ มากกว่าจะใช้ชื่อพื้นเมือง หากก็ข่มความไม่เห็นด้วยน้อยนิดไว้เพียงในใจ

“เป็นถึงพระอินทร์ เป็นเทวาอยู่เมืองบน…สวรรค์ บ่มีไผมาเอาหลานอุ๊ย…ย่า…ไปละเนาะ” นางหนูว่า

ไอเดนไม่เข้าใจว่าเป็นไปได้อย่างไร แต่สิ่งที่เกิดหลังจากนั้นคือลูกชายของเขาอ้วนท้วนสมบูรณ์ จากที่เคยกินไม่ได้ กินเข้าไปก็ถ่ายไม่หยุดจนตัวซีด กลับกลายเป็นกล้วยบดเท่าไรก็ไม่พอ เดือนเดียวเท่านั้นเนื้อตัวก็แน่นเป็นปล้องอวบขาวอมชมพู ใครเห็นก็ชวนหมั่นเขี้ยว เป็นที่รักของผู้พบเห็นและเป็นแก้วตาดวงใจของย่าและตายายยิ่งกว่าคนเป็นพ่อเป็นแม่

ครั้นเติบโต สายเลือดผสมในตัวทำให้อินถากลายเป็นชายหนุ่มที่สาว ๆ หมายปอง (1)

 

ฤดูฝนกำลังใกล้เข้ามา เวลานั้นจะเป็นหน้าล่องซุง โอลิเวอร์และปรันต์เร่งทำงานให้ทันก่อนฝนแรกจะมา นั่นคือการประเมินคุณภาพไม้ ตีตรา แล้วชักลากออกจากป่าไป ‘รวมหมอน’ ไว้ริมลำน้ำ เมื่อถึงฤดูน้ำหลากได้สะดวกในการผลักซุงลงน้ำ ให้ลอยตามกันไปถึงสถานีผูกแพ

บริษัทซื้อรถยนต์ไว้เพื่อให้สะดวกในการเดินทางแทนที่จะขี่ช้างขี่ม้าหรือเดินเท้า ป่าที่ต้องเข้าไปทำงานวันนี้อยู่ไม่ไกล ขับรถไป-กลับได้ไม่ต้องค้างแรม วิลเลียมจึงติดตามไปด้วย เหตุผลที่เขารู้อยู่กับตัวเองก็คือ เขาจะใช้การประเมินคุณภาพไม้เป็นการประเมินโอลิเวอร์ในขั้นสุดท้ายเช่นกัน

ครั้นถึงป่าวิลเลียมก็พบภาพที่ชินตา ไม้สักขนาดใหญ่ถูกเลื่อยลงมานอนอยู่บนพื้น ยังไม่เป็นระเบียบนัก แต่รอยเลื่อยคมเรียบกว่าครั้งที่เขายังทำงาน เพราะเดี๋ยวนี้ใช้เลื่อยไฟฟ้าแทนเลื่อยมือ ไม้หลายท่อนรอผู้จัดการมาวัดขนาด ประเมินคุณภาพ ก่อนจะลากไปรวมกันเป็นกลุ่มตามที่ได้จำแนกแล้ว

โอลิเวอร์ชวนปรันต์ซึ่งบัดนี้เป็นทั้งเสมียนของบริษัทและเป็นคู่หูในการทำงานป่าไม้ไปวัดขนาด ทุกครั้งโอวิเวอร์จะพึมพำรำคาญที่ต้องใช้หวายในการวัดแทนที่จะใช้สายวัดซึ่งได้มาตรฐานกว่า ทว่าระเบียบการคำนวณภาษีตอไม้ของสยามยังยืนยันให้ใช้มาตรวัดของสยาม คือ ‘กำ’ และ ‘ศอก’ แล้วจึงคำนวณเปรียบเทียบให้เป็นลูกบาศก์เมตร โอลิเวอร์หัวช้าในเรื่องนี้ จึงยกให้เป็นหน้าที่ของปรันต์ ซึ่งเข้าใจมาตรวัดทั้งสองแบบดีกว่าเขา

ปรันต์แกะหวายเส้นยาวที่ขดเป็นวงสะบัดให้คลายออก เกิดเสียง ‘เขวี้ยว-ขวับ’ ยามเส้นหวายผ่านอากาศไป ชวนให้ขนลุกแค่ได้ยินเสียง ยิ่งเมื่อคิดว่าคนสยามมักลงโทษคนทำผิดด้วยการเฆี่ยนด้วยหวายหรือหางกระเบน ภาพผิวเนื้อแตกเป็นทางมีเลือดซิบก็ผุดขึ้นมาชวนขนพองสยองเกล้า

โอวิเวอร์สะบัดหน้าจินตนาการทางร้ายให้หลุดไป ขณะมองปรันต์กำลังดึงหวายให้ตึง

หวายที่ใช้วัดความยาวไม้แทนสายวัดนี้ ทำมาจากหวายผ่าสี่เหลาจนเรียบ นำไปต้มและตากแดดจนแห้ง เมื่อจะใช้งานต้องดึงให้ตึงจนหวายลั่นเสียงดังเอี๊ยดจึงจะถือว่าใช้ได้

โอลิเวอร์เคยลองดีคิดว่าไม่เท่าไร กระชากเส้นหวายสุดแรง หมายใจให้เกิดเสียงเอี๊ยดขึ้นมาอวดใคร ๆ ให้เห็นว่าตนเก่งกล้า แต่กลับต้องร้องโอยขึ้นมา เพราะคมหวายบาดมือจนเลือดโชก เข็ดขยาดไม่ยอมแตะหวายอีกตลอดชีวิต หากเหตุการณ์ครั้งนั้นก็ทำให้โอลิเวอร์รู้ใจมาลียิ่งขึ้นว่าเป็นห่วงเขาเพียงใด มาลีกำลังตรวจการบ้านนักเรียนอยู่ ได้ยินเสียงร้องก็รีบวิ่งออกมาดู ตกใจหน้าซีดที่เห็นเลือดอาบทั่วมือแล้วยังหยดลงสู่พื้นราวน้ำไหล เรียกหากล่องยาแล้วปฐมพยาบาลให้เขาด้วยตนเอง

ปรันต์วัดขนาดเส้นรอบวงท่อนไม้แล้วจดในสมุดเล่มเล็ก การวัดไม้เพื่อคำนวณปริมาตรเนื้อไม้ต้องวัดสามช่วง คือช่วงโคนต้น ช่วงกลางท่อน และช่วงปลาย วัดความยาวจากโคนจรดปลาย จึงจะคำนวณได้ว่าไม้ท่อนนั้นมีปริมาตรกี่ลูกบาศก์เมตร ขณะเดียวกันโอลิเวอร์ก็ประเมินคุณภาพของไม้แต่ละท่อนไปด้วย

วิลเลียมจับตามองสองหนุ่มเดินไปบนท่อนไม้ขนาดใหญ่หลายคนโอบอย่างแน่วแน่ ประสบการณ์ยาวนานในปางไม้ทำให้ชำนาญ มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม้แต่ละท่อนมีคุณภาพอยู่ในระดับใด ตั้งแต่ชั้นหนึ่งถึงชั้นสาม ส่วนโอลิเวอร์ยังประเมินผิดพลาดอยู่บ้าง และบางท่อนที่ประเมินถูกก็เพราะวิลเลียมช่วยทางอ้อม สะกิดให้พิจารณาอย่างถ้วนถี่ก่อนตัดสินใจ

ไม้ท่อนแรกดูธรรมดา ไม่มีลักษณะโดดเด่น โอลิเวอร์ประเมินว่าเป็น ‘ชั้นหนึ่ง’ แล้วดึงค้อนจากถุงหนังที่คาดเอวมาตีตราประทับ ตามด้วยตีตราหมายเลขประจำตัวนายห้างผู้ตรวจและตราบริษัท

วิลเลียมมองนิ่ง ไม่แสดงอาการใด รอดูการประเมินไม้ท่อนที่สอง

ไม้ท่อนนี้ลักษณะสวยงาม ยาวตรงตลอดไม่มีปุ่มตาใด ๆ โอลิเวอร์เดินบนท่อนไม้กลับไปกลับมากระโดดสองสามทีก็บอกปรันต์และคนงานว่า

“ไม่ผ่าน ท่อนนี้คัดทิ้ง”

หน้าตาของปรันต์ไม่เชิงว่าไม่เห็นด้วย แต่เขาอยากรู้เหตุผล โอลิเวอร์จึงบอกว่า

“ลักษณะข้างนอกดูดีก็จริง แต่ไม้ท่อนนี้ข้างในกลวง น่ากลัวจะมีโพรงใหญ่เสียด้วย”

แล้วทั้งคู่ก็เดินสู่ท่อนถัดไป เนื้อไม้แน่นแต่ลำไม่สวย กลางท่อนมีตาไม้ขนาดใหญ่หลายจุด นับว่ามีตำหนิ แต่เนื้อไม้แน่นดี นำไปใช้ประโยชน์ได้ โอลิเวอร์จึงตีตราให้เป็นชั้นสาม

วิลเลียมมองการประเมินไม้ท่อนสุดท้ายด้วยใจระทึก ท่อนนี้คือโอกาสสุดท้ายที่เขาจะลงคะแนนให้ว่าโอลิเวอร์ ‘ผ่าน’ หรือ ‘ไม่ผ่าน’

ไม้ท่อนนั้นบิดเบี้ยวตลอดลำต้น หากเปรียบกับคนก็คือผู้มีรูปลักษณ์ขี้ริ้วไม่ชวนมอง ทว่าสำหรับนายห้างผู้ต้องประเมินคุณภาพไม้ให้ถูกต้อง ท่อนนี้นับว่าเป็นโจทย์ยาก

“ไม้ท่อนนี้แม้จะไม่ตรง ลำคดไปมาแต่ไม่มีตาไม้ ซ้ำยังเนื้อแน่น ข้างในแห้งดี” โอลิเวอร์ร้องออกไป “ผมประเมินให้เป็นชั้นสอง” พูดจบเขาก็คว้าค้อนมาตีตราประทับอย่างมั่นใจ

วิลเลียมไม่พูดอะไรอีก ไม่ดูการประเมินท่อนไม้ที่เหลือ ลุกไปนั่งจิบกาแฟที่เต็นท์คอยเวลากลับบ้าน

 

อาหารเย็นเตรียมไว้พร้อมแล้วบนโต๊ะ ภรรยาและลูกสาวของเขาจัดโต๊ะดินเนอร์อย่างดีเช่นเดียวกับวันที่ต้อนรับแขกพิเศษ วิลเลียมรู้ดีว่าเป็นความตั้งใจของมาลีมากกว่ามุ่ย ภรรยากระซิบบอกเบา ๆ ขณะช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ก่อนออกไปรับประทานอาหาร

“ลูกรู้ว่านายห้างบ่ค้างคืน เลยเตรียมกับข้าวไว้ต้อนฮับ”

วิลเลียมย้อนกลับอย่างขบขัน รู้ทันทั้งภรรยาและลูกสาว

“มิน่าเล่า กับข้าวบนโต๊ะมีแต่ของโปรดของโอลิเวอร์กับปรันต์”

“นายห้างเปิงใจคนใด” มุ่ยถามสามีว่ารักชอบคนใดเป็นพิเศษกว่ากัน

“ไม่มีหรอก สำหรับเรื่องนั้น ฉันให้ลูกตัดสินใจเอง”

“หมายความว่า บ่ว่าลูกจะเลือกไผ นายห้างจะบ่เสียดายแหมคนแม่นก่?”

“ไม่” คำตอบหนักแน่น ถามกลับว่า “มุ่ยล่ะ อยากให้ใครเป็นเขย”

“เฮาตามใจลูก” มุ่ยตอบ “ทั้งสองคนมีดีมีฮ้าย…มีข้อดีข้อเสีย…ต่างกัน เฮาเชื่อว่ามาลีเป็นคนมีกำกึ๊ด…มีความคิดดี คงบ่เลือกไผเพราะอารมณ์พาไปหรอก”

ทั้งห้าคนเคยร่วมวงกินข้าวด้วยกันหลายครั้ง ทว่าครั้งนี้คล้ายมีม่านบาง ๆ ที่มองไม่เห็นคลี่คลุมอยู่ มาลีอยากชี้ชวนพี่ชายทั้งสองกินอาหารก็เกรงสายตาพ่อที่จับจ้องมา กลัวถูกตำหนิว่าแสดงอาการออกนอกหน้าจนเกินงาม ส่วนโอลิเวอร์ที่ปกติชอบเจรจาพาที วันนี้กลับนิ่งเงียบดุจมีเรื่องติดค้างในใจตลอดเวลา

วิลเลียมทำลายบรรยากาศนี้ด้วยคำชม

“วันนี้เธอทำได้ดี โอลิเวอร์”

“ผมประเมินไม้ผิดไปกี่ท่อนครับ” ถามกลับทันทีเพราะรอจังหวะมาหลายที แต่วิลเลียมดูจงใจเลี่ยงไม่เปิดโอกาสให้เขาตลอดทั้งวัน

“ไม่มี” คำตอบสั้นแต่ชัดเจน

“ถูกหมดเลยหรือครับ”

“ฮันเดร็ดเปอร์เซ็นต์”

โอลิเวอร์ยิ้มกว้าง หันหาปรันต์ที่นั่งถัดไป ทว่าผู้ที่ยินดีด้วยอย่างที่สุดคือมาลี เสียงใสร้องออกไปทันที

“อย่างนี้ต้องฉลองกันสักหน่อยแล้ว มาลีคิดก่อนนะว่า ในครัวมีอะไรให้ทำเมนูพิเศษสำหรับคืนนี้ไหม”

“ไม่ต้องหรอก มาลี เท่านี้ก็กินไม่หมดแล้ว” โอลิเวอร์ท้วง “พูดตามตรง ตอนนี้ผมอิ่มจนกินอะไรไม่ลงแล้วครับ”

“อิ่มอกอิ่มใจมันบ่เหมือนอิ่มกายอิ่มท้อง กินเข้าไปให้มีแรงเต๊อะ วันพูก…พรุ่งนี้ยังต้องยะก๋านกันอีกบ่ใช่กา” มุ่ยว่า

“ล่องไม้ปีนี้ มาลีขอไปดูด้วยนะคะ” หญิงสาวร้องขึ้นมา เห็นว่าเป็นโอกาสดี

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มาลีขอพ่อไปดูการล่องไม้ไปตามลำน้ำจนถึงสถานีผูกแพ แต่ไม่เคยได้รับอนุญาต อย่างมากที่สุดนายห้างวิลเลียมก็พาลูกสาวนั่งรถไฟไปนครสวรรค์ ดูการผูกแพที่นั่นแล้วก็กลับ แต่ที่มาลีต้องการจริง ๆ คือนั่งในเรือนแพหลังเล็กล่องไปตามลำน้ำพร้อม ๆ กับท่อนซุงต่างหาก

วิลเลียมจ้องหน้าลูกสาวนิ่งก่อนบอกว่า

“ขอแม่เขาก็แล้วกัน”

มาลีแปลกใจในวินาทีแรกแล้วต่อมาก็แทบกระโดดเต้นเมื่อรู้ความหมายคำพูดของพ่อนายว่าหมายถึงอนุญาต หันไปรบเร้ามารดา

วิลเลียมเอ่ยกับมุ่ยก่อนเข้านอนคืนนั้น

“มุ่ยคงไม่คิดว่าฉันผลักภาระการตัดสินใจไปให้มุ่ย แต่ฉันให้เกียรติว่ามุ่ยเป็นแม่ของมาลีเท่าที่ฉันเป็นพ่อของลูก เราควรต้องมีส่วนอนุญาตเขาเท่า ๆ กัน ถ้ามุ่ยไม่ให้ลูกไป ฉันก็จะยืนยันว่าไม่ให้ไป”

มุ่ยยิ้มน้อย ๆ ตอบสามี

“ลูกเฮาใหญ่แล้ว…โตแล้ว บางทีปิ๊กบ้านคราวนี้ นายห้างจะได้รู้แน่ชัด ว่าคนใดแน่ที่จะมาเป็นลูกจายนายห้าง”

วิลเลียมเข้าใจดี คำว่าลูกจายหมายถึงลูกเขย

ไม่ว่าจะเป็นโอลิเวอร์หรือปรันต์ เขายอมรับได้ทั้งสองคน 

 

เชิงอรรถ :

(1) เรื่องราวของอินถา หรือพ่อเลี้ยงอินถา อยู่ในเรื่อง “ฟลอร์เฟื่องฟ้า”

 



Don`t copy text!