เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “ผู้ลี้ภัย”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “ผู้ลี้ภัย”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

นายห้างฝรั่งทั้งเชียงใหม่มารวมกันที่สโมสรยิมคานาโดยไม่ต้องนัดหมายให้เสียเวลา หลังทราบข่าวในเวลาไล่เลี่ยกันเรื่องญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกตอนตีสองเมื่อคืนนี้ ฉับพลันทันทีก็รู้ว่าต้องหารือกันถึงทางหนีทีไล่หรือการรับมือเผชิญหน้าว่าควรเป็นอย่างไร ในสโมสรยามนี้จึงมีทั้งชาวอังกฤษและอเมริกัน ยุติการแบ่งเชื้อชาติชนชั้น วางเล่ห์เหลี่ยมทางธุรกิจเพื่อรักษาประโยชน์สูงสุดให้บริษัทไว้ เหลือเพียง ‘พวกเดียวกัน’ คือพวกที่ญี่ปุ่นเหมารวมว่า ‘ฝรั่ง’ เป็นศัตรูของกองทัพแห่งพระจักรพรรดิ

“เรามาถึงจุดนี้กันได้ยังไง ไอ้บ้าเอ๊ย” นายห้างหนุ่มผู้เพิ่งทำหน้าที่ผู้จัดการป่าไม้ได้ไม่กี่ปีและกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นเดือดดาล เมื่อจู่ ๆ สถานภาพก็เปลี่ยนไปเป็นผู้แพ้ที่ต้องหาทางเอาชีวิตรอดจากไอ้พวกลิงเหลืองที่เคยดูแคลนว่า…คงไม่เท่าไร

ถ้อยคำที่เปล่งออกมาด้วยโทสะนั้นแทนใจทุกคน ใครจะคิดว่าประเทศเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งจะลุกขึ้นมาอยู่แถวหน้าชาติตะวันตกที่ยิ่งใหญ่มานานได้ มิหนำซ้ำยังใช้วิธีการเดียวกันอีก คือการเดินทัพยึดครองพื้นที่เพื่อขยายอาณานิคมของตนเอง

เหล่าสุภาพสตรีร้อนใจเพราะมีหลายเรื่องต้องห่วง ทั้งลูก บ้านช่อง และทรัพย์สิน บางคนที่สามียังอยู่ในปางไม้ยิ่งร้อนใจ เพราะการชุมนุมในวันนี้เริ่มนำไปสู่ข้อสรุปอย่างรวดเร็วว่า

“พวกเราต้องหนีให้เร็วที่สุด” นายห้างคนหนึ่งพูดออกมา รู้ดีว่ามิใช่คำที่น่าฟังนัก แต่ก็ให้เหตุผลแก่ทุกคนในที่นั้นว่า “การหนีไม่ได้แสดงถึงความพ่ายแพ้ แต่เราหนีไปเพื่อตั้งหลัก รอวันเอาคืน วันนี้ประเทศของเราเพลี่ยงพล้ำไป แต่ไม่นานเราจะกลับมาเอาคืนให้สาสม”

“เราจะหนีไปที่ไหนกัน” แหม่มมิชชันนารีที่เป็นครูในโรงเรียนถาม เสียงอื่น ๆ ก็รบเร้าจนฟังสับสน อยากรู้ว่าต้องหนีไปที่ไหนจึงจะอยู่รอดปลอดภัยจริง ๆ

“พวกท่านต้องไปที่พม่าครับ” คำตอบของรอยเมืองทำให้ทุกดวงหน้าหันไปมองเขาเป็นตาเดียว

ความสับสนอลหม่านในวันนี้ทำให้ไม่มีใครใส่ใจเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมที่เคยเป็นประเด็นเสมอมา เช่นว่า คนนี้ดูเป็นลูกชาวบ้านมากกว่าลูกชาวตะวันตก คนนี้นิสัยไม่น่าคบหา คนนี้เป็นสมาชิกสโมสรของเราด้วยหรือ และอีกหลายข้อที่มักจะยกขึ้นมาวิพากษ์วิจารณ์อันนำไปสู่การสรุปว่า เขาไม่ใช่พวกเราและกันออกไปนอกวง

หากวันนี้รอยเมืองกลายเป็นเปลวไฟปลายเทียนที่กำลังให้ความสว่างในถ้ำที่มืดมิด วิลเลียมรับรองด้วยตัวเองว่า

“รอยเมืองเป็นลูกผมเอง เขาทำงานหนังสือพิมพ์ที่กรุงเทพฯ รู้เรื่องอะไรดี ๆ อยู่พอสมควร”

“ทำไมเราต้องหนีไปพม่าด้วยเล่า” แหม่มคนเดิมร้องถามยังรอฟังเหตุผล

“เพราะพม่าอยู่ในปกครองของอังกฤษ กองทัพทหารสัมพันธมิตรอยู่ที่นั่น การไปพม่าจึงเท่ากับไปรวมกำลังยังฐานที่มั่น มีกองทัพคอยช่วยเหลือปกป้อง แต่ถ้าอยู่ที่นี่คงไม่ดีนัก เพราะรัฐบาลไทยประกาศเข้าร่วมสงครามกับญี่ปุ่นแล้ว ถึงจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังอย่างไรก็ตาม แต่ผลก็คือตอนนี้รัฐบาลไทยทำอะไรได้ไม่มากนัก การตัดสินใจเรื่องใด ๆ ก็ตามมีแนวโน้มจะเอาใจฝ่ายญี่ปุ่นมากกว่าฝ่ายสัมพันธมิตร”

เสียงอุทานอย่างโกรธแค้นดังผสานกันขึ้นมา

หนุ่มอเมริกันคนหนึ่งวิ่งหน้าเริดเข้ามาในวง ชูกระดาษแผ่นเล็กในมือ ประกาศให้ทราบทั่วกันว่า

“กงสุลอเมริกันที่กรุงเทพฯ โทรเลขมา ว่าให้รีบอพยพไปที่พม่าโดยเร็วที่สุด”

เมื่อคำแนะนำจากกงสุลพ้องกันกับที่กำลังหารือ แปลว่าเป็นทางรอดเดียวเท่านั้น เสียงกรีดร้องสับสนก็ดังขึ้นมาอีกพร้อมกับความชุลมุนวุ่นวายของแต่ละคนที่เริ่มจะทำอะไรไม่ถูก

“เรามีเวลาเท่าใดกัน พ่อหนุ่ม” วิลเลียมถาม จำได้ว่าเขาเป็นเจ้าหน้าที่ในสถานกงสุลอเมริกันนั่นเอง

“แจ้งนัดหมายตอนนี้ ขอให้ทุกคนไปพบกันที่แม่สายภายในวันมะรืนนี้ครับ” มะรืนนี้ที่ชายหนุ่มว่า คือวันที่ ๑๐ ธันวาคม

“มีเวลาวันเดียวจะเตรียมตัวทันกันได้อย่างไร” แหม่มหลายคนร้องโวยวาย

“ทันไม่ทันก็ต้องไปกันแล้วละครับ ผมคนหนึ่งละไม่ขอรอช้า หมดหน้าที่แจ้งข่าวแล้ว ผมไปก่อนนะครับ” บอกลารวดเร็วแล้วก็แผล็วออกจากห้องไป ตะโกนทิ้งท้าย “แล้วพบกันที่แม่สายครับ”

“คงเป็นทางเดียวที่เราจะรอดครับ คุณพ่อ” รอยเมืองบอกพ่อนายวิลเลียมและอธิบายเส้นทางให้ทุกคนในสโมสรทราบว่า “พวกท่านต้องเดินทางไปอำเภอแม่สาย ทางสายนี้สะดวกและรวดเร็วที่สุด ผ่านด่านแม่สายก็เข้าท่าขี้เหล็กของพม่าได้เลย แล้วเดินทางต่อไปยังเชียงตุง”

ได้ยินเท่านี้บางคนก็แทบทรุดตัวร้องไห้ นึกไม่ออกเลยว่าจะหอบครอบครัวและสัมภาระไปถึงเชียงรายได้อย่างไรในเวลาจวนตัวอย่างนี้ อยากถามว่าไม่มีทางอื่นอีกหรือ ก็ดูจะเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุด เพราะไม่ว่าใครก็ลงมติแล้วว่านี่คือทางรอดเดียว

ครั้นตกลงแน่ชัดแล้วว่าต้องหนี ผู้ที่ชุมนุมก็แตกฮือแยกย้ายกลับบ้านเตรียมตัวเดินทาง มีเวลาน้อยนิดสำหรับจัดการเรื่องมากมายก่อนไปพบกันที่จุดนัดหมาย บางกลุ่มจะจับรถไฟ บางกลุ่มจะเช่ารถนั่งไปถึงแม่สาย แต่บางกลุ่มยังร้อนรนสับสนทำอะไรไม่ถูกเพราะสามียังอยู่ในปางไม้…หวังอยู่ลึก ๆ ว่าอาจมีการเปลี่ยนแปลงในอีกไม่กี่นาทีนี้

“เธอควรรีบจัดการตัวเองด้วย โอลิเวอร์” พ่อนายวิลเลียมบอกลูกเขย

“ครับ ผมจะรีบกลับบ้านเดี๋ยวนี้ พวกเราครอบครัวใหญ่ สัมภาระมาก แต่ผมจะรีบจัดการให้เร็วที่สุด”โอลิเวอร์รับคำทันที

แต่รอยเมืองรู้สึกถึงความผิดปกติในคำพูดของพ่อนายวิลเลียม พ่อนายบอกราวกับว่าตัวเองไม่อยู่ในแผนการหนีครั้งนี้ แล้วก็จริงดังคาดเมื่อพ่อนายเอ่ยต่อว่า

“จัดสัมภาระของเธอแค่คนเดียวก็พอ เธอหนีไปคนเดียว คนที่เหลือจะอยู่ที่นี่ รวมทั้งฉันด้วย”

“ทำไมล่ะครับ” โอลิเวอร์ไม่เข้าใจ มองพ่อนายวิลเลียมราวค้นหาว่าเขาพูดด้วยสติสมบูรณ์หรือไม่

“ฉันอยู่ที่นี่มานานจนบั้นปลายชีวิตของฉันแล้ว ครอบครัวฉันก็อยู่ที่นี่ ฉันจะไม่หนีไปไหนอีก แต่เธอ…โอลิเวอร์…วัยสี่สิบของเธอยังเพิ่งเริ่มต้นชีวิต สงครามครั้งนี้เราเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด ถ้าอยู่ที่นี่ ไม่ถูกญี่ปุ่นฆ่าตายก็ถูกจับไปเป็นเชลย ฉันจึงอยากให้เธอหนีไป เธอจะไปร่วมทัพอังกฤษที่พม่า หรือกลับไปตั้งหลักที่อังกฤษก่อนก็ได้ เมื่อสงครามสงบ…ฉันเชื่อว่ามันจะจบลงสักวันหนึ่ง ไม่มีอะไรไม่สิ้นสุดหรอก…จริงไหม ฉันขอให้เธอหนีไปเพื่อรักษาชีวิตของเธอไว้ เมื่อสถานการณ์ตรงนี้คลี่คลาย เธอค่อยกลับมาหาลูกเมียของเธอ ฉันอยู่ทางนี้จะดูแลพวกเขาแทนเธอเอง ลูกเมียของเธอก็คือลูกหลานของฉันเหมือนกัน ฉันไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรพวกเขาหรอก”

“คุณพ่อ…” โอลิเวอร์เสียงเครือตาแดงก่ำ

“พ่อนาย…” รอยเมืองครางออกมาเช่นกัน แน่ชัดแล้วว่าพ่อนายจะไม่หนี เมื่อเลือกหนทางนี้ก็ไม่พ้นต้องกลายเป็นเชลย แต่พ่อนายก็ยังยืนยัน

“ฉันก็ไม่หนี” ไอเดนประกาศก้องเพื่อบอกการตัดสินใจของเขาและให้โอลิเวอร์อุ่นใจว่า เขาจะเป็นอีกคนหนึ่งที่ช่วยปกป้องครอบครัวของโอลิเวอร์ “นายคงไม่ลืมว่าภรรยาของฉันเป็นลูกข้าหลวงไทย ต่อให้รัฐบาลไทยจะเข้าข้างช่วยเหลือญี่ปุ่นแค่ไหน แต่นายก็รู้ใช่ไหมว่า…” ไอเดนถูกนิ้วไปมาเป็นสัญลักษณ์แทนคำว่า ‘เงิน’ “ถ้าเรารู้จักใช้ สิ่งใดที่ปรารถนาก็ได้มาไม่ยากนักหรอก”

โอลิเวอร์มองหน้าพ่อนายวิลเลียมและไอเดนไปมา ต่อให้เขาคัดค้านยืนกรานว่าจะขออยู่สู้ที่นี่ ทั้งสองก็คงบังคับให้เขาลี้ภัยไปถึงพม่าจนได้ ชายหนุ่มจึงได้แต่กลืนความรู้สึกหลากหลายลงไปในตัว

“อย่าชักช้าอีกเลย กลับไปลาลูกเมียเธอเสียเถอะ” พ่อนายวิลเลียมตัดบท เดินนำทุกคนขึ้นรถกลับบ้าน

 

มาลีน้ำตาร่วงพรูเมื่อโอลิเวอร์ตรงเข้ามากอดลูกนิ่งนาน วิลเลียมบอกลูกสาวรวดเร็วถึงเหตุผลที่ต้องให้โอลิเวอร์รีบหนีไปก่อนตอนนี้ มาลียกมือปิดปาก สั่นไปทั้งร่างแต่ไม่อาจกรีดร้องออกมาได้ รู้ตัวอีกทีน้ำตาก็พร่างพรูแม้จะปาดไปกี่ครั้งก็ยังคงไหลร่วง หากกระนั้นมาลีก็ยังมองหากระเป๋าหนังของสามีมาเปิดด้วยสติครึ่ง ๆ กลาง ๆ ถ้าเสียงของพ่อนายจะไม่กำกับอยู่ข้างหูว่าให้ทำอะไร หล่อนก็คงไม่ต่างจากตุ๊กตาทื่อ ๆ ตัวหนึ่ง

“เสื้อผ้าไม่ต้องมาก พวกยารักษาโรคต่าง ๆ น่ะ เอาไปมาก ๆ หน่อย” พ่อนายวิลเลียมกำกับ “เอาไปทั้งหมดเลยก็ได้”

โอลิเวอร์ทิ้งตัวลงบนเก้าอี้บุนวมหนาทว่าไม่สัมผัสถึงความสบาย มองรอบกายก็ให้สะท้อนใจว่าเขาจะต้องจากลูกเมียไปจริง ๆ หรือ บางที…สถานการณ์ที่กำลังเผชิญอยู่อาจคลี่คลายในไม่ช้า ที่วิ่งพล่านเป็นบ้ากันอยู่นี้จะเข้าทำนองกระต่ายตื่นตูม ตกใจเกินเหตุกันไปเอง

โอลิเวอร์เห็นพ่อนายวิลเลียมดึงลูกสาวไปทางหนึ่ง คุยกันเฉพาะสองคนพ่อลูก แม้จะไม่ได้ยินแต่รอยเมืองและโอลิเวอร์ก็รู้ว่าพ่อนายกำลังอธิบายเหตุผลที่ต้องให้โอลิเวอร์ลี้ภัยไปก่อน มาลีโผเข้ากอดบิดา พ่อนายวิลเลียมลูบศีรษะลูกสาวราวหล่อนเป็นเด็กอายุห้าขวบที่วิ่งหกล้มแผลถลอกร้องไห้

มาลีปาดน้ำตา พยายามบังคับไม่ให้ไหล นั่งลงข้างสามีแต่ยังคงให้ลูกสาวอยู่ในอ้อมกอดของเขา ถามพี่ชายตรง ๆ

“ฝรั่งเศสยอมแพ้เยอรมันแล้ว สงครามก็ควรจะจบแล้วไม่ใช่หรือคะ”

รอยเมืองเล่าถึงสงครามในยุโรปที่แบ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรและฝ่ายอักษะ มาลีรับรู้ว่ามันก็เป็นสงครามในยุโรปที่ญี่ปุ่นเข้าร่วมด้วยเท่านั้น…ร่วมมือกับอิตาลีและเยอรมัน เรียกกันว่าฝ่ายอักษะ จนกระทั่งฝรั่งเศสแพ้เยอรมัน ฝ่ายอักษะก็มีชัยแล้ว ยังจะต้องการอะไรอีก…เอาคืนหรือ

“มันเกิดสุญญากาศทางการเมือง” รอยเมืองรู้ว่าเรื่องนี้เข้าใจยาก แต่เขาก็พยายามอธิบาย “ญี่ปุ่นกับจีนมีปัญหาขัดแย้งกันเองอยู่นานแล้ว พอฝรั่งเศสประกาศยอมแพ้ มันก็ลามเลยมาถึงอินโดจีนฝรั่งเศส” เขาหมายถึงดินแดนที่เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส อันได้แก่ เวียดนาม ลาว และกัมพูชา “ญี่ปุ่นขอให้รัฐบาลอินโดจีนฝรั่งเศสปิดแนวชายแดนที่ติดต่อกับจีน เพื่อป้องกันการส่งกองกำลังช่วยเหลือ”

โอลิเวอร์ทำเสียงแค่นในคออย่างดูหมิ่น เขารู้ดีว่าอังกฤษและอเมริกาสัมพันธ์กับจีนด้วยการค้าอาวุธสงคราม แต่ความคิดตอนนี้อยากให้จีนมีอาวุธมาก ๆ จะได้ถล่มญี่ปุ่นให้ราบเป็นหน้ากลอง ไม่ให้มีโอกาสสำแดงเดชข้ามทวีปอย่างนี้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งทหารโจมตีมณฑลกวางตุ้งและเกาะฮ่องกงของอังกฤษ โจมตีฟิลิปปินส์ซึ่งเป็นอาณานิคมของสหรัฐอเมริกา และเปิดฉากสงครามอย่างเป็นทางการด้วยการทิ้งระเบิดฐานทัพเรืออเมริกาที่อ่าวเพิร์ล

“ญี่ปุ่นอยากจัดระเบียบโลกใหม่เพื่อคานอำนาจจักรวรรดิตะวันตกนะสิ จักรวรรดิตะวันตกแผ่ไพศาลไปทั่วโลก ญี่ปุ่นจึงอยากรวมจีนและแมนจูเข้าด้วยกัน อยู่ใต้แนวคิดและระบบเดียวกัน ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม”

“โดยตั้งตัวเองเป็นผู้นำ” โอลิเวอร์แค่นเสียงประชด “เป็นตัวแทนตะวันออก เรียกร้องทวงคืนดินแดนที่เคยตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกกลับมา”

“เพราะแบบนี้สินะคะ รัฐบาลไทยจึงประกาศเข้าร่วมวงไพบูลย์” มาลีย้ำคำท้าย “เพราะมีแกนนำจะทำให้ตะวันออกแข็งแกร่งเทียมหน้าเทียมตาตะวันตกนี่เอง”

รอยเมืองพยักหน้าน้อย ๆ แต่ก็มองหน้าน้องสาวเป็นเชิงเตือนให้ระวังคำพูด เพราะทุกคนในบ้านนี้ก็มีเลือดตะวันออกและตะวันตกผสมในตัวอย่างละครึ่ง

“ญี่ปุ่นอ้างว่าการสร้างวงไพบูลย์ร่วมกันแห่งมหาเอเชียบูรพา จะทำให้พวกเราชาวเอเชียตะวันออกยิ่งใหญ่ทัดเทียมกับตะวันตก และป้องกันการแสวงหาประโยชน์จากตะวันตกและอเมริกา ถ้าสามารถสร้างเขตพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจได้ ก็จะลดการพึ่งพาตะวันตก ปลายทางก็เพื่อปลดปล่อยเอเชียตะวันออกให้เป็นอิสระจากจักรวรรดินิยมตะวันตกนั่นละ”

“แล้วจะสร้างที่ไหนกัน ไอ้เขตพึ่งพาตนเองทางเศรษฐกิจนี่น่ะ” โอลิเวอร์ฉุนเฉียว

“แบ่งเป็นสองวง วงไพบูลย์ด้านในคือญี่ปุ่น จีน และแมนจู” รอยเมืองตอบ “ส่วนวงไพบูลย์ด้านนอก คือ ดินแดนในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และหมู่เกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก”

โอวิเวอร์แค่นเสียงอย่างโกรธแค้นขึ้นมาอีกครั้ง

“อย่างนี้เองสินะ ถึงทำตัวเป็นหมาบ้าทิ้งระเบิดเปิดศึกที่เพิร์ลฮาร์เบอร์ แล้วก็ไล่มาทางฟิลิปปินส์  ฮ่องกง ชวา บอร์เนียว จนเข้าไทยตอนนี้”

“แต่พี่ก็อย่าลืมนะว่า ความเจ็บแค้นของญี่ปุ่นนี้ ส่วนหนึ่งก็มาจากการที่อังกฤษและเอมริกาสนับสนุนจีน ด้วยการขายอาวุธให้” รอยเมืองดึงสติโอลิเวอร์ไม่ให้มองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเกิดจากความบ้าอำนาจของญี่ปุ่นเพียงอย่างเดียว

“เราจะต้องกลัวอะไร ในเมื่อแถบนี้ล้วนอยู่ในปกครองของอังกฤษ ไม่ว่าพม่า มาเลเซีย สิงคโปร์ ไปถึงอินเดีย ส่วนเวียดนามและกัมพูชาก็เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กองทัพฝ่ายสัมพันธมิตรกระจายอยู่ทุกที่ ที่เราต้องเดือดร้อนหาทางหนีกันหัวซุนอย่างนี้ ก็เพราะรัฐบาลสยามไปเข้ากับญี่ปุ่นนี่ละ พวกเราถึงกลายเป็นเชลยสงคราม” โอลิเวอร์เดือดขึ้นมาอีกครั้ง หันไปหาภรรยา “มาลี พี่จะไม่ไปไหนทั้งนั้น จะอยู่กับเธอกับลูกให้นานที่สุด”

มาลีชะงักงันกับคำพูดนั้น บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอย่างไร ใจหนึ่งก็ตื้นตันขึ้นมาว่าสามีจะยังไม่จากไปไหน แต่อีกใจก็หวั่นว่าเขาจะเจอเรื่องร้ายกว่าที่เผชิญอยู่ยามนี้

“น้องจัดกระเป๋าทิ้งไว้ก็แล้วกัน เผื่อฉุกเฉิน” มาลีตอบด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

โอลิเวอร์หัวดื้อมาแต่ไหนแต่ไร ถ้าปักใจจะดื้อเสียอย่างก็ไม่ต่างจากม้าพยศนั่นทีเดียว มิพักพ่อนายวิลเลียมจะทั้งขู่ทั้งหว่านล้อมเท่าใดโอลิเวอร์ก็ไม่ฟังอีกแล้ว ในเย็นวันนั้นทุกคนก็ได้ทราบข่าวว่าคณะที่นัดกันที่สถานีรถไฟเดินทางไปลำปางแล้ว พวกเขารอโอลิเวอร์เหมือนกัน…แต่ไม่ร้อนใจว่าถ้าสมาชิกไม่ครบจะไม่ออกเดินทาง และทำแบบเดียวกันไม่ว่ากับใครทั้งนั้น

พร้อมกับข่าวการอพยพไปเชียงราย ข่าวกองทัพญี่ปุ่นจับเชลยชาวอังกฤษและฝรั่งเศสมาทรมานก็ทะลักเข้ามา แต่ละเรื่องที่ได้ยินชวนขนลุก ไม่คิดว่ามนุษย์ด้วยกันจะทารุณโหดร้ายต่อกันได้ขนาดนี้เพียงเพราะเป็นชาติศัตรู

เช้าตรู่ของอีกห้าวันต่อมา โอลิเวอร์ก็บอกแก่ทุกคนว่า เขาจะอพยพไปพม่าเพื่อรักษาชีวิตและย้อนกลับมาเอาคืนญี่ปุ่นให้สาสมกับที่พวกมันทำกับชาวตะวันตก

ผู้ลี้ภัยกลุ่มแรกเดินทางตั้งแต่สายวันที่รู้ข่าวกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกแล้ว ครอบครัวที่อยู่ลำปางเดินทางไปแม่สายได้รวดเร็วเพราะใกล้กว่าเชียงใหม่ นายห้างป่าไม้ที่เดินทางในกลุ่มนี้มีราวสิบคน พ่อนายวิลเลียมทราบจากที่แต่ละคนแจ้งมายังบริษัทที่เชียงใหม่

“แต่หากนับรวมสมาชิกทั้งหมดคงราว ๆ ห้าสิบคน ทั้งพวกนักหนังสือพิมพ์ มิชชันนารี และพวกที่ปรึกษากระทรวงต่าง ๆ ของไทย” พ่อนายวิลเลียมบอกรอยเมืองที่ตอนนี้เหมือนเป็นเพื่อนคู่คิด นึกถึงลีรอยอยู่เหมือนกัน ไม่รู้ว่าป่านนี้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร แต่ระแหงอยู่ใกล้ชายแดนพม่า ถ้าลีรอยจะหนีออกไปก็ไม่ยากนัก

รอยเมืองเล่าให้ทุกคนฟังว่าผู้อพยพกลุ่มที่สองเพิ่งเดินทางหลังทราบข่าวแล้วสามวัน เพราะมัวแต่จัดการสัมภาระจำเป็นและทรัพย์สินมีค่า รวมเงินกันจัดหาเช่ารถบรรทุกข้าวสารที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘รถคอกหมู’ ให้ไปส่งที่อำเภอแม่สาย ไปทางถนนพหลโยธินที่แม้จะใช้เวลามากกว่ารถไฟ ซ้ำยังมีด่านตรวจอยู่เป็นระยะ แต่ก็สามารถลุไปถึงแม่สายเชียงรายโดยสวัสดิภาพ เพราะนายด่านไม่กักตัวไว้ เห็นเป็นฝรั่งทั้งคันก็ปล่อยไป นายด่านบางคนชิงชังพวกฝรั่งตาน้ำข้าวเป็นทุนอยู่แล้ว เห็นท่าว่าจะลี้ภัยออกนอกประเทศแน่ ก็ปล่อยออกไป จะได้ไปพ้น ๆ ดินแดนนี้เสียดี

พ่อนายวิลเลียมรับฟังข่าวของแต่ละกลุ่มอย่างจดจ่อ แม้บางกลุ่มจะติดขัดอยู่บ้าง แต่เมื่อถึงปลายทางโดยสวัสดิภาพก็โล่งใจ เหลือแค่กลุ่มสุดท้ายที่แต่ละคนยังห่วงหน้าพะวงหลังด้วยสายใยแห่งครอบครัวและภาระรับผิดชอบของบริษัทที่ยังไม่ยอมปล่อยวาง

ข่าวแสนยานุภาพของกองทัพญี่ปุ่นก็เกรียงไกรขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งเรื่องทหารญี่ปุ่นข่มเหงชาวบ้าน บุกทำลายเรือกสวนไร่นา อวดเบ่งเก่งกล้าสารพัด จนรัฐบาลไทยดูหงอไปเสียหมด หากกระนั้นญี่ปุ่นก็คงรู้ดีว่ารัฐบาลไทยมิได้เอาใจตนอย่างแท้จริง ยังคงให้การช่วยเหลือสนับสนุนพวก ‘ชาติศัตรู’ อยู่ลับ ๆ จึงพิมพ์ใบปลิวประกาศโดยทั่วกันเป็นการข่มขวัญอยู่ในทีว่า

‘แม้ไทยจะร่วมมือกับอังกฤษ ก็หาเอาไชยชนะแก่กองทัพญี่ปุ่นได้ไม่’ (1)

วันก่อนที่คณะสุดท้ายซึ่งมีโอลิเวอร์ร่วมด้วยจะเดินทางไปพม่า สายข่าวก็ส่งสัญญาณเตือนให้รู้ตัวก่อนว่า รัฐบาลไทยเตรียมออกคำสั่งห้ามคนต่างด้าวเดินทางออกนอกประเทศ

แผนการเดินทางจึงต้องเปลี่ยนไป

“เรานั่งรถคอกหมูไปทางพหลโยธินไม่ได้แล้ว” รอยเมืองบอก “เส้นทางนั้นมีด่านตรวจมากอยู่แล้ว ถ้ามีคำสั่งห้ามคนต่างด้าวออกนอกประเทศอีกละก็ คงยิ่งตรวจเข้มกว่าเดิมมาก ผมคิดว่าไม่เกินคืนนี้ ทุกด่านคงได้รับโทรเลขคำสั่ง”

“แล้วเราจะไปทางไหนกันดี” โอลิเวอร์ครึมคราง

พ่อนายวิลเลียมอยู่ในป่ามาหลายปี จัดเจนเส้นทางอยู่มากจึงเสนอว่า

“เราต้องใช้ทางเกวียนลัดเลาะไปเวียงป่าเป้า แม้จะอ้อมและลำบากกว่านิดหน่อย แต่ก็ปลอดภัยกว่าไปทางรถไฟหรือเส้นพหลโยธินแน่ ๆ”

ครั้นแล้วคณะเดินทางกลุ่มสุดท้ายก็เคลื่อนออกจากเชียงใหม่ด้วยล้อเกวียนมุ่งหน้าสู่เวียงป่าเป้า ลัดเลาะไปตามป่าเขาแล้วก็พบว่าทางเกวียนนั้นเต็มไปด้วยความลำบากทุลักทุเล นับแต่เส้นทางที่ปกคลุมด้วยฝุ่นสีน้ำตาลแดงหนาเตอะ ขรุขระไปด้วยหินก้อนโตระเกะระกะอยู่ทั่วไป ยามเกวียนเคลื่อนไปข้างหน้าจึงเผชิญทั้งฝุ่นคลุ้งจนต้องหลับตาปิดจมูกและกระแทกกระเทือนจนระบมไปทั้งร่าง บางช่วงที่เส้นทางวิบากมากก็ต้องลงมาเดินเท้าแทน เช่นเดียวกับตอนข้ามเขาลงห้วยที่สูงชัน

โอลิเวอร์เหนื่อยใจเมื่อมองสมาชิกในคณะเดินทาง ตัวเขาเองไม่ต่างกับผู้นำและองครักษ์ของสมาชิกทั้งหมด เพราะนอกจากตัวเขาและชาวบ้านที่จ้างมาเป็นผู้นำทางแล้ว ที่เหลือก็เป็นสตรีต่างวัยและเด็กรวมยี่สิบชีวิต เสียงร้องไห้งอแงของเด็กและเสียงปลอบโยนของสตรีเหล่านั้นดังอยู่เป็นระยะ บ่อยครั้งเข้ากลายเป็นความรำคาญจนโอลิเวอร์เผลอตะคอกใส่หลายครั้ง

ประสบการณ์การทำนีปปิ้งทำให้โอลิเวอร์ชินกับการเดินแหวกไปตามทางที่มีหญ้าขึ้นสูงรกรุงรังในฤดูแล้ง แต่ไม่ใช่ความคุ้นเคยของสตรีและเด็กที่ร่วมทางมา ยุงป่าตัวใหญ่และแมลงหลายชนิดทั้งกัดทั้งตอมจนเนื้อตัวเป็นจ้ำแดงกระจายทั่ว ต้องพักเหนื่อยกันหลายหนเพราะไม่อดทนจะเดินต่อไปได้ เท้าแตกเจ็บ แต่ที่เลวร้ายที่สุดก็คือ เด็กบางคนติดไข้มาลาเรีย อาการหนักถึงอาจเสียชีวิต

โชคดีที่ในกระเป่าเดินทางของโอลิเวอร์มียาให้ช่วยบรรเทาอาการได้

ความรำคาญใจในตอนแรกทำให้โอลิเวอร์นึกอยากจะตัดหางปล่อยวัด เลือกทางตัดช่องน้อยแต่พอตัว หนีไปตามลำพัง มันเรื่องอะไรที่เขาจะต้องมาแบกรับความรับผิดชอบของคนที่ดีแต่เอาแต่ร้องร่ำคร่ำครวญถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอยู่ไม่รู้แล้ว เขามีโอกาสทุกคืน ยามพักแรมทุกคนหลับสนิทเพราะเหนื่อยล้า เพียงแค่เขาเดินออกไปจากกลุ่ม ก็ปลอดเปลื้องภาระทั้งมวล

แต่อาการไข้ของเด็กชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวเป็นจุดแดง ชีวิตแขวนอยู่ระหว่างเป็นกับตายเท่า ๆ กัน แต่กระนั้นมารดาของเด็กชายก็ยังอดทนเดินทาง เพียรทำทุกอย่างให้ลูกชายมีชีวิตอยู่ ยามเจ้าหนูแผดปากร้อง เขาเห็นหล่อนรีบกดหน้าลูกชายไว้กับอก มองเขาอย่างหวาดกลัวและขอโทษอยู่ในทีที่ทำให้เขารำคาญใจ

ตอนพักกินมื้อค่ำ หล่อนใช้ผ้าเช็ดน้ำชุบตัวให้ลูกชายไม่ยอมพัก โอลิเวอร์เข้าไปดูใกล้ ๆ หล่อนก็ปากคอสั่นขอโทษขอโพย

“ขออภัยด้วยค่ะ ฉันจะพยายามให้เขาอยู่สงบ ๆ ไม่ให้รบกวนคุณค่ะ”

“คุณเช็ดตัวแบบนี้เขาจะหายหรือ”

“ไม่ทราบค่ะ” น้ำตาหล่อนร่วงลงมา “ดิฉันไม่ทราบ แต่นี่เป็นสิ่งเดียวที่ฉันคิดออกว่าควรทำอย่างไร มัน…มันอาจไม่ใช่วิธีรักษาที่ถูกต้อง แต่…แต่ฉันทำได้เท่านี้”

ว่าจบหล่อนก็ยกมือขึ้นปิดหน้า โอลิเวอร์ย่อตัวลงดูเด็กน้อยที่นอนนิ่งผิวแดงไปทั้งร่างจนเขาแทบจะสัมผัสไอร้อนที่ผ่าวออกมาได้ ขนาดเขาเป็นผู้ใหญ่ ไม่ป่วย อยู่ใกล้ ๆ ยังรู้สึกสึกถึงไอร้อน แล้วในร่างกายเด็กชายคนนี้เล่า จะระอุร้อนดังไฟสุมสักแค่ไหน

“ฉันมียา มิส…” โอลิเวอร์หันไปทางสตรีอีกคนหนึ่งที่กำลังสำรวจกระเป๋าเดินทาง “เธอเป็นพยาบาล ฉันถามเธอแล้วว่ายาที่ฉันมีพอจะช่วยบรรเทาอาการได้ไหม เธอบอกว่ายานี้ใช้แทนได้”

สตรีผู้เป็นแม่ของเด็กชายรับยาเม็ดเล็กดุจรับทองคำล้ำค่า หล่อนค่อย ๆ บรรจงป้อนใส่ปากลูกอย่างให้แน่ใจว่ายานั้นเข้าไปสู่ร่างลูกชายแล้วจริง ๆ

โอลิเวอร์พลิกตัวไปมาเพราะนอนไม่หลับ สับสนอยู่ว่าเขาจะจาก ‘ภาระ’ เหล่านี้ไปดีหรือไม่ อากาศรอบกายหนาวเย็นด้วยน้ำค้างลง โอลิเวอร์ลุกเดินไป…คิดว่าไม่มีใครเห็น แต่เสียงเบา ๆ อย่างเกรงใจดังแว่วมา

“คุณนอนไม่หลับหรือคะ ตาหนูกวนคุณจนไม่หลับหรือคะ”

“เปล่าหรอก มิส ฉันแค่จะลุกไปถ่ายทุกข์เท่านั้น”

“คุณคง…ไม่ทิ้งพวกเราไว้ที่นี่ แล้วหนีไปคนเดียวใช่ไหมคะ” โอลิเวอร์นิ่งแข็งเหมือนถูกสาป หล่อนมานั่งอยู่ในใจเขาหรือนี่ ทว่าประโยคต่อไปที่หล่อนพูดทำให้เขาก้าวขาไม่ออก “ดิฉันจะไม่รั้งคุณหรอกค่ะ แต่คุณช่วยเขียนแผนที่เดินทางต่อให้พวกเราได้ไหม”

“ไม่จำเป็นหรอก” โอลิเวอร์หันกลับมา “พรุ่งนี้เราก็ถึงหมู่บ้านแล้ว ฉันจะเป็นคนนำทางเอง”

“ขอบคุณค่ะ ฉันสัญญานะคะ ว่าฉันกับลูกจะเป็นภาระให้คุณน้อยที่สุด”

 

เสบียงที่เตรียมมาหมดเกลี้ยงในวันที่สาม แต่พระผู้เป็นเจ้ายังประทานทางรอดมาให้ในรูปของหมู่บ้านกลางป่า โอลิเวอร์เจรจาขอความช่วยเหลือเรื่องที่พักและข้าวปลาอาหารแลกกับทรัพย์สินมีค่าที่ติดตัวมา คนในหมู่บ้านเอื้อเฟื้อเป็นอย่างดี พาไปที่แหล่งน้ำเพื่อชำระร่างกายให้สบายตัว เตรียมเสบียงให้สำหรับเดินทางต่อ และอาสาพาไปส่งถึงจุดที่เป็นแนวถนนพหลโยธิน

ตอนที่ได้นั่งรถคอกหมูมุ่งไปสู่อำเภอแม่สายนั้น โอลิเวอร์แทบจะหลับตาพักด้วยความโล่งใจว่าปลอดภัยแล้ว อีกนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น…ตะวันบ่ายแผดแสงแรงกล้า แต่ไหนแต่ไรมาโอลิเวอร์ไม่เคยอนาทรกับเปลวแดด ไม่ว่าจะร้อนแรงลุกเต้นเป็นเปลวแค่ไหนเขาก็เดินฝ่าไปทำงานในปางไม้ได้ ทว่าเปลวแดดยามนี้กลับทำให้เขานึกถึงกองทัพญี่ปุ่น เปลวแดดที่ยิ่งเริงร้อนคงเหมือนดั่งธงชัยที่สะบัดให้ทัพญี่ปุ่นยิ่งฮึกเหิมกระมัง

รถคอกหมูมาถึงด่านแม่สายตอนบ่ายสามโมงตรง คนนำทางที่เป็นชาวบ้านตรงไปเจรจากับนายด่านเพื่อให้ ‘คณะเดินทาง’ ข้ามชายแดนเข้าท่าขี้เหล็กในฝั่งพม่า แต่นายด่านโบกมือไล่ บอกง่าย ๆ ว่าวันนี้หมดเวลาทำงานแล้วและตัดความสนใจทั้งมวลรอบตัว เพลินอารมณ์กับการพ่นควันมูลีขี้โยมวนโตเท่านั้น

“ยังไงก็ไปบ่ได้ครับ นายห้าง คืนนี้ต้องค้างที่นี่ แล้วพรุ่งนี้เช้ามาใหม่” คนนำทางบอกอย่างเห็นใจ

โอลิเวอร์เริ่มหายใจไม่ทั่วท้อง การค้างแรมในบริเวณใกล้ด่านข้ามฟากเช่นนี้มีความเสี่ยง แต่ที่ยังพอมีหวังอยู่บ้างก็คือยังไม่เห็นเงาของทหารญี่ปุ่นสักนายในบริเวณนี้ คนนำทางช่วยเจรจากับชาวบ้านขอเช่าที่พักค้างคืนให้เพียงพอกับสมาชิกทั้งหมด กระจายกันไปตามบ้านต่าง ๆ และจ่ายค่าเช่าให้ในราคางาม

ยามนี้เงินเท่าใดก็ไม่มีค่าเท่ากับพาชีวิตตัวเองไปให้รอดจากภยันตราย

ตลอดทั้งคืนไม่มีใครหลับตาลงได้สนิท ใจคอยแต่พะวงว่าทหารญี่ปุ่นจะจู่เข้ามาจับกุม ได้ยินเสียงอะไรผิดหูก็ผวาหวาดกลัว จนกระทั่งรุ่งสางฟ้าสว่างแล้วก็รวมตัวกันไปที่ด่านเพื่อขอข้ามแดน แต่ก็เหมือนสวรรค์แกล้งเพราะนายด่านพิโยกพิเกนสารพัดเรื่องราวจะประวิงเวลาไว้ให้นานที่สุดจนเลยบ่าย

“รัฐบาลบ่ให้คนต่างด้าวออกนอกเขต” นายด่านประกาศตรง ๆ ในที่สุด

เสียงสตรีทั้งหลายร่ำร้องและวิงวอนขอให้ช่วยเหลือ แต่นายด่านก็ไม่รับฟัง คงยืนหยัดทำตามคำสั่งรัฐบาลอย่างเคร่งครัด

โอลิเวอร์สังเกตมาตั้งแต่เมื่อวานแล้วว่านายด่านผู้นี้สูบบุหรี่จัด คงติดยาเส้นเป็นแน่ พลันคำพูดของไอเดนก็ผุดขึ้นมา เขาจึงเปิดกระเป๋าเดินทาง หยิบของในนั้นแล้วตรงไปเจรจากับนายด่านเป็นการส่วนตัว

“ซิการ์จากอังกฤษและอินเดีย อาจถูกใจนายกว่ามูลีขี้โย”

แววตาของนายด่านเต้นนิดหนึ่ง เพียงพอแล้วที่โอลิเวอร์จะรุกต่อเพราะรู้ว่าได้ผล

“ถ้าให้พวกฉันข้ามฟากไป ซิการ์ทั้งหมดนี้จะเป็นของนาย”

นายด่านแกล้งชะโงกหน้าไปดูคนที่ยืนรวมกันอยู่ มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ไม่น่าจะกระไรนักหนา แต่ก็แกล้งชี้นิ้วนับอย่างกวนโทสะ โยกโย้ว่า “ซาวป๋ายนะนั่น…ยี่สิบกว่าคนเลยนะ…แลกกับซิการ์บ่กี่มวน คุ้มเร้อ…”

“นายต้องการกี่รูปี” โอลิเวอร์เห็นทางรอดอยู่ตรงหน้า เหลือแค่ว่าจะตกลงกันที่ ‘เท่าใด’

“รัฐบาลไทยห้ามคนต่างด้าวออกนอกเขต”

“คำสั่งมาเมื่อไหร่?”

“ตะแล็บแก็บ…เมื่อวานซืน” น้ำเสียงที่ตอบยียวน ยามพูดตะแล็บแก็บรวบรัดจนฟังคล้าย ‘แต็บแก็บ’ ซึ่งหมายถึงเทเลกราฟหรือโทรเลข

โอลิเวอร์ควักเงินรูปีปึกใหญ่ออกมาวางตรงหน้า กดเสียงเบาต่ำถามด้วยภาษาถิ่น

“เท่าอี้พอไหม สำหรับให้ตะแล็บแก็บแหลวเมื่อวานซืน…เท่านี้พอไหม สำหรับให้เครื่องโทรเลขเสียเมื่อสองวันก่อน”

นายด่านกวาดเงินทั้งหมดลงถุงกระสอบเก่า ๆ ดูผิวเผินไม่ต่างจากถุงขยะที่ไม่มีอะไรสะดุดตา จากนั้นใช้เท้ายันข้าวของรอบตัวให้ล้มระเนระนาด หันมาบอกหน้าตาย

“สามวันก่อนลมตึ๊ง…ลมพายุพัดแรง…ข้าวของหลายอย่างแหลวแฟ่น…พังไปหมด”

โอลิเวอร์ออกมารวมกลุ่มกับผู้ที่คอยอย่างมีความหวัง ขณะที่นายด่านยกธงให้สัญญาณ ด่านชายแดนเปิดให้ ‘คนเดินทาง’ ที่เจ้าตัวก็ไม่ค่อยแน่ใจนักเพราะดวงตาฝ้าฟางว่าเป็น ‘คนต่างด้าว’ ที่เป็นพวกฝรั่งตาน้ำข้าวหรือไม่ มองรถที่เคลื่อนผ่านไปพร้อมสูบซิการ์กลิ่นนุ่มหอม

กว่าจะข้ามไปถึงท่าขี้เหล็กได้ก็ค่ำมืด จำต้องค้างคืนก่อนเดินทางต่อ ทว่าคืนนี้ไม่เหมือนคืนวาน เพราะที่พักเป็นเพิงไม้ไผ่สร้างใหม่เอี่ยมสำหรับผู้อพยพพักแรมโดยเฉพาะ แต่ที่ทำให้หลับสนิทได้คือความปลอดโปร่งโล่งใจว่าอยู่ในอาณาเขตที่ปลอดภัยแล้ว…ดินแดนที่เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิอังกฤษ

เช้าต่อมาจึงเป็นวันที่สดชื่น แม้จะต้องเดินเท้าต่อแต่ก็มีกำลังใจมากขึ้นเพราะเห็นปลายทางที่สดใสรออยู่ข้างหน้า กินมื้อเช้าเสร็จแล้วคนนำทางจึงพาเดินเท้าไปตามถนนจนถึงช่วงที่ต้องลุยข้ามแม่น้ำ สตรีผู้หนึ่งก็ปรารภขึ้นมาว่าควรมีสะพาน แปลกใจที่ไม่มี ซึ่งถือเป็นเรื่องผิดปกติอย่างยิ่ง

ผู้นำทางซึ่งเป็นชาวพื้นถิ่นหัวเราะนิด ๆ ก่อนบอกว่าเมื่อก่อนก็มีสะพานข้ามแม่น้ำ แต่ทหารของเครือจักรภพอังกฤษเองนั่นละที่ระเบิดทิ้งเพราะเกรงว่าญี่ปุ่นจะบุกตามผู้อพยพเข้ามา

“พวกท่านไม่ต้องกลัวไปหรอก ตลอดเส้นทางนี้มีกองทหารพรางตัวซุ่มซ่อนอยู่หลายแห่ง ทั้งทหารอินเดีย ทหารกุรข่า ล้วนแต่เป็นทหารในบังคับบัญชาของอังกฤษทั้งนั้น”

โอลิเวอร์ออกจะสะดุดหูในตอนท้ายที่น้ำเสียงของผู้พูดเปลี่ยนไปเจือรอยประชดประชันอย่างไรอยู่ โอลิเวอร์ไม่ได้นับว่าเขาต้องเดินลุยแม่น้ำกี่สาย มีเวลาได้นั่งพักเหยียดขาให้สบายเมื่อถึงที่พักค้างคืนริมทางอีกแห่งหนึ่ง หลับตาลงด้วยความอ่อนเพลีย ตื่นในเช้าวันใหม่ ล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นแล้วเดินทางต่อ

วันนี้คงเป็นวันโชคดีของพวกเขา พระเจ้าคงพิสูจน์ความอดทนมาพอแล้วจึงประทานพรให้พบกับความสุขใจบ้าง เดินทางไปอีกเล็กน้อยรถบรรทุกทหารของอังกฤษก็ผ่านมา เป็นรถที่นำเสบียงไปส่งให้ทหารจีนคณะชาติซึ่งเป็นพันธมิตรกับอังกฤษและเป็นศัตรูกับญี่ปุ่น โอลิเวอร์และคนอื่น ๆ จึงได้อาศัยรถทหารคันนี้ไประยะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนไปนั่งรถทหารอีกคันที่ไปส่งถึงเมืองเชียงตุง

โอลิเวอร์อยากส่งข่าวให้คนทางบ้านรู้เหลือเกินว่าเขามาถึงเชียงตุงโดยปลอดภัยแล้ว คืนนั้นเขาจึงเขียนจดหมายถึงภรรยาทั้งที่ยังไม่รู้ว่าจะหาทางส่งให้ถึงมือมาลีได้อย่างไร อ่านทวนหลายรอบจนพอใจแล้วว่าครบถ้วนทั้งเนื้อหาและความรู้สึกที่เขามี โอลิเวอร์ก็ดิ่งลงสู่นิทรารมย์อย่างที่ไม่เคยได้สัมผัสตลอดหลายวันมานี้

ถ้าโอลิเวอร์มีตาทิพย์หรือญาณวิเศษที่จะมองเห็นหรือหยั่งรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เชียงใหม่ เขาคงไม่เสียเวลาเขียนจดหมายบรรยายความทุกข์ยากของการเดินทางและความโล่งใจที่ถึงจุดหมายโดยสวัสดิภาพ

วันถัดมาหลังจากที่โอลิเวอร์เดินทางแล้วนั่นเอง ตัวแทนรัฐบาลไทยก็ตรงเข้าไปพบพ่อนายวิลเลียม เอ่ยคำที่ทำให้ทุกคนนิ่งขึงคล้ายถูกสาปให้กลายเป็นหิน

“ในนามของรัฐบาลไทย เราขอเชิญนายห้างไปที่ค่ายกักกันเชลย”

 

เชิงอรรถ :

(1) ไชยชนะ สะกดตามใบปลิวของกองทัพญี่ปุ่น

 



Don`t copy text!