เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “เทมปุระ”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๓ รอยบูรพา “เทมปุระ”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

ธนบัตรใบละ 20 บาท หลายมัดในกำปั่นรวมแล้วมีมูลค่าหมื่นกว่าบาท มุ่ย เมือง บุญผ่องมองกันไปมาแล้วถอนใจ คิดไม่ตกว่าจะนำเข้าไปในค่ายเชลยส่งให้ลีรอยได้อย่างไร รอยเมืองเองก็จนปัญญา เพราะพักหลังมานี้มีข่าวกลุ่ม ‘สายลับ’ หรือพวก ‘ใต้ดิน’ เกิดขึ้นหลายกลุ่ม ทำให้รอยเมืองต้องระวังตัวเองมากขึ้นในการออกหน้าในเรื่องใดๆ

“พวกตำรวจ ทหาร หรือนักหนังสือพิมพ์อย่างผมถูกหมายหัวไว้ก่อน ว่าอาจเป็นพวกใต้ดินได้” รอยเมืองเอ่ยขึ้นมา แอบชำเลืองมองบุญผ่องก็เห็นว่าฝ่ายนั้นแม้จะทำนิ่งเฉย แต่ประกายตาก็วาบขึ้นมาชั่วแวบหนึ่ง

“จะแอบใส่ไว้ก้นกระบุงผักหรือเข่งผลไม้ก็ไม่ได้ พวกญี่ปุ่นมันตรวจตรานัก” บุญผ่องว่า จากที่ค้าขายกับญี่ปุ่นมา บทกองทัพจะเคี่ยวก็ตรวจสอบถี่ถ้วนทุอย่างไป ฉวยคราวนี้โชคร้ายคว่ำเข่งกล้วยหรือเทกระสอบข้าวเห็นเงินเป็นปึกร่วงลงมาก็ถูกจับได้ว่าลักลอบส่งข่าวกับพวกเชลย “ไอ้เคมไปตายมันโหดเอาเรื่องเสียด้วย”

บุญผ่องจบท้ายด้วยชื่อตำรวจลับญี่ปุ่นนายหนึ่งชื่อ Kempeitai เล่าลือกันว่าโหดเหี้ยมนัก ในขณะที่มุ่ยเรียกฝ่ายนั้นด้วยคำเมืองเหนือว่า ไอ้คนปันต๋าย หมายถึงคนที่น่าจะไปตายเสียไวๆ

“เราค่อยๆ แบ่งให้ไปดีไหม” เมืองออกความเห็นบ้างแต่บุญผ่องส่ายหน้า

“การส่งเสบียงมีรอบส่ง ถึงจะมีสัญญาซื้อขายกัน แต่พวกมันก็ไม่อยากให้เราเข้าไปในค่ายบ่อยนัก เราต้องหาวิธีส่งเข้าไปให้หมดในคราวเดียว”

แล้วปัญหาก็วนกลับมาที่เดิมว่าจะทำอย่างไรดี

มาลีโผล่เข้ามาในทันทีนั้น หล่อนทิ้งกระเป๋าเดินทางแล้วทรุดตัวร้องไห้ มุ่ยตกใจกว่าใครอื่นเพราะจู่ๆ ลูกสาวก็ปรากฏตัวขึ้นมา สีหน้าของมาลีแสดงความรู้สึกหลากหลายทั้งเคืองและน้อยใจปนกัน ครั้นมุ่ยย่อตัวลงประคองถามลูกสาวว่ามาที่นี่ได้อย่างไร ประตูแห่งความอดทนของมาลีก็ทลายสิ้น ถ้อยคำพรั่งพรูออกมา

“ทุกคนเห็นมาลีเป็นตัวอะไร พี่รอยเมือง นายแม่ ทำไมไม่มีใครบอกมาลีสักคนว่าโอลิเวอร์ถูกจับมาเป็นเชลยอยู่ที่นี่ ทุกคนจงใจปิดบังมาลี ทีคุณลุงเมือง…ยังตามมาหาคุณลุงลีรอยได้ แล้วทำไมมาลีจะมาตามหาสามีของตัวเองไม่ได้”

“มาลีใจเย็นก่อน ไม่มีใครอยากปิดบังหรอกลูก แต่ทุกคนกำลังหาทางกันอยู่ว่าจะช่วยทั้งลีรอยและโอลิเวอร์ออกมายังไง” มุ่ยปลอบลูกสาวแต่หล่อนยังพาล

“แล้วเมื่อไหร่จะช่วยได้คะ นายแม่ทิ้งบ้านมาอยู่นี่ตั้งกี่เดือนแล้ว ถ้าช่วยได้จริง ไม่ยืดเยื้อมาถึงป่านนี้หรอกค่ะ”

“มาลีอย่าล่วงเกินนายแม่” รอยเมืองปรามน้องสาว ก็ได้รับแต่ค้อนสะบัดให้

บุญผ่องขอตัวปลีกออกไปก่อนเพราะเห็นว่าครอบครัวคงต้องการเวลาปลอบโยนและพูดคุยกันให้เข้าใจสักพักหนึ่ง จนกระทั่งถึงเวลามื้อเย็น เขารีบมาหานางมุ่ยเพื่อบอกโอกาสงามที่ลอยลงมาดั่งโชคชะตาเข้าข้าง แม้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารจะยังมีกระแสมึนตึงของมาลีแผ่ออกมาเป็นระยะ แต่บุญผ่องก็แจ้งข่าวนี้แก่ทุกคนว่า

“สัปดาห์หน้าจะมีงานเลี้ยงในค่าย พวกญี่ปุ่นฝากฉันมาถามนายแม่ว่าจะต้มเหล้าเพิ่มอีกสักหน่อยได้ไหม ฉันก็รับปากไปก่อนว่าได้ แต่นายแม่หวงนักต้องเข้าไปกำกับการขนส่งด้วยตัวเอง พวกนั้นก็ไม่ติดขัด บอกว่ายิ่งดีเพราะอยากให้นายแม่ทำเทมปุระให้กินด้วย”

มาลีหันมาทางมารดา ถามด้วยความสงสัย

“นายแม่ทำเทมปุระเป็นด้วยหรือคะ”

“กะบองน่ะลูก” มุ่ยตอบ มาลีก็ครางอ๋ออยู่ในคอเป็นการรับรู้ ผักสารพัดชนิดชุบแป้งทอดที่เรียกว่ากะบองนี้แม่ทำให้มาลีกินบ่อยๆ เมื่อครั้งยังเด็ก

มาลีรู้ว่าแม่ไม่มีวันปล่อยให้โอกาสนี้หลุดมือ หล่อนจึงรวบรัดว่า

“หนูจะเข้าไปเป็นลูกมือช่วยนายแม่เอง”

“บ่ได้เน่อ” นายแม่มุ่ยและรอยเมืองร้องออกมาแทบจะพร้อมกัน

มาลีเอียงหน้าท้าทาย

“ทำไมคะ พี่รอยเมืองจะเข้าไปเองหรือคะ นักหนังสือพิมพ์ปากกาคมแห่งพระนครจะเข้าไปเป็นลูกมือช่วยทำครัวในค่ายเชลยญี่ปุ่น” ว่าพลางยักไหล่ “ใครๆ คงเชื่อหรอกว่าเข้าไปช่วยทำครัวแค่นั้น ไม่ได้ไปเป็นสายสืบ”

ไม่มีใครค้านเหตุผลของมาลี เมืองก็เข้าไปด้วยไม่ได้เพราะพวกในค่ายคุ้นเคยกับ ‘พระ’ เสียแล้ว จะให้ครองจีวรไปช่วยทำกับข้าวแกล้มเหล้าก็จะยิ่งผิดวิสัยไปใหญ่

“บ่ใช่แม่ไม่อยากให้หนูเข้าไป แต่หน้าตาหนู…” มุ่ยลากเสียงยาว

“เป็นฝรั่ง” มาลีตอบเสียเอง “นายแม่กลัวว่าพวกญี่ปุ่นเห็นหนูเป็นฝรั่งแล้วจะจับไปเป็นเชลยอีกคนหรือคะ ไม่ต้องกลัวไปหรอกค่ะ เท่าที่เห็นกันมา มันจับแต่พวกเชลยผู้ชายทั้งนั้น มันไม่สนใจพวกผู้หญิงนักหรอก”

“แต่รูปร่างท่าทางลูกสะดุดตา” มุ่ยหมายถึงว่ามาลีเป็นที่โดดเด่นมาแต่ไหนแต่ไร ค่าที่เติบโตมาอย่างอุดมสมบูรณ์ทำให้ร่างกายแข็งแรงผิวพรรณเปล่งปลั่ง แม้กระทั่งยามนี้ลูกสาวอาจจะซูบผอมอิดโรยไปบ้าง ก็ยังเห็นสง่าราศีจับอยู่ไรๆ

“นายแม่ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ อีกหลายวันกว่าจะถึงวันนัดเข้าไปในค่าย มาลีทำให้ตัวเองดูเป็นหญิงชาวบ้านได้ค่ะ” ว่าแล้วหล่อนก็เริ่มปฏิบัติการแปลงโฉมด้วยการหันไปถามบุญผ่องว่า “พอจะหายาย้อมผมให้หน่อยได้ไหมคะ สีดำค่ะ”

บุญผ่องพยักหน้า จบมื้ออาหารแล้วมาลีก็ตามไปรับที่ร้าน แล้วคืนนั้นมาลีก็จัดการผมสีเข้มหากก็ยังเหลือบประกายทองให้กลายเป็นสีดำสนิท วันต่อมาหล่อนก็เที่ยวไปตามบ้าน ขอซื้อเสื้อผ้าใช้แล้วจากหญิงชาวบ้านมาสวมใส่เพื่อมิให้ดูเป็นคนมั่งมีเกินไป นายแม่มุ่ยไปไหนมาลีก็ติดตามไปด้วยทุกที่ให้สายตาชาวบ้านและทหารญี่ปุ่นเริ่มคุ้นตาว่านางแม่ค้าเหล้ามีลูกจ้างสาว

ก่อนวันนัดหมายเข้าไปในค่าย ทุกคนจึงช่วยกันซ่อนธนบัติไว้ในหัวปลีและฟักทองซึ่งจะนำไปทำกะบองหรือเทมปุระ แต่ก็ยังเหลือเงินอีกจำนวนหนึ่งที่ยังหาทางจัดการไม่ได้ มาลีนั่นเองที่ให้ทางออกอย่างง่ายๆ ว่า

“ก็ไม่ต้องซ่อนมันหรอกค่ะ เอาใส่ไว้ใต้กระบุงแป้งนี่ละ”

“มันจะไม่เสี่ยงไปหน่อยหรือ” รอยเมืองสะกิดน้องสาว

“ที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุด” มาลีว่าซ้ำยังย้อนพี่ชาย “พี่รอยเมืองทราบไหมคะว่าผู้ชายบกพร่องเรื่องอะไรมากที่สุด”

รอยเมืองส่ายหน้า มาลีจึงแย้มปากเฉลยว่า

“ความละเอียดรอบคอบค่ะ คอยดูนะคะมาลีจะยื่นให้พวกญี่ปุ่นเองกับมือเลย”

มุ่ยมองลูกสาวอย่างห่วงกังวลแกมอ่อนใจ อดให้นึกย้อนไปไม่ได้ว่านิสัยของลูกสาวนี้ถอดแบบมาจากใคร แล้วก็ให้หัวเราะน้อยๆ ส่ายหน้ากับตนเอง

 

ทหารญี่ปุ่นยืนรอรับนางมุ่ยอยู่หน้าค่าย ครั้นเห็นหญิงสูงวัยเข็นรถบรรจุไหเหล้ามาแต่ไกลก็ซอยเท้าเข้าไปหาเพื่อรับช่วงต่อ มุ่ยลักลอบส่งข่าวและยาให้ลีรอยมาหลายหนทว่าไม่มีครั้งใดใจเต้นระทึกเท่าครั้งนี้ คงเพราะ ‘ของ’ ที่ซุกซ่อนมานั้นมีมากมาย เงินจำนวนหมื่นที่ถูกยัดไว้ในฟักทองและหัวปลี แต่ที่กังวลที่สุดคือลูกสาว แม้มาลีจะทำตัวเป็นหญิงลูกจ้างมอมแมมแค่ไหน ในสายตาแม่มาลีก็ยังโดดเด่นสะดุดตาอยู่นั่นเอง

ทหารญี่ปุ่นจ้องหน้ามาลีอย่างพิจารณาราวจะค้นหาว่าหญิงชาวบ้านผู้นี้ซ่อนอะไรไว้ในตัว มาลีเย็นวาบไปทั่วร่าง แม้ก่อนหน้านี้จะเชื่อมั่นในความใจกล้าเด็ดเดี่ยวกระทั่งบ้าบิ่นของตนเอง แต่ก็ไม่นึกว่าถึงคราวเผชิญหน้าแล้วก็แทบเข่าอ่อนทรุดลงไปกองกับพื้นเหมือนกัน

“นังมา มันเป็นลูกมือต้มเหล้า วันนี้ฉันพามาช่วยทำของกิน” มุ่ยบอกออกไป

ทหารนายนั้นยังจ้องไม่วางตา เอียงหน้าไปมาพึมพำเป็นภาษาญี่ปุ่นที่ฟังไม่เข้าใจ แต่มุ่ยคิดว่าเขาคงรำพึงว่าไม่เคยเห็นมาก่อน ควรจะให้เข้าไปในค่ายเชลยดีหรือไม่

“มันเป็นใบ้” มุ่ยรีบชิงบอกก่อนลูกสาวจะตอบโต้อย่างใดอย่างหนึ่ง “มันหาเงินซื้อยาให้แม่กับผัวมัน ไปขอรับจ้างใครเขาก็ไล่ว่าเป็นเบื้อใบ้ ฉันเวทนาเลยจ้างมันไว้ แต่ถ้าไม่สะดวกใจ ฉันก็จะทิ้งข้าวของไว้ตรงนี้ละ ถือว่าเอามาส่งให้แล้ว ที่เหลือก็ขนเข้าไป ทำกินกันเอง”

นายทหารญี่ปุ่นย่นคิ้วทำหน้าฉงน นางมุ่ยพูดยาวเหยียดฟังไม่รู้เรื่อง แต่จากสีหน้าและน้ำเสียงบ่งชัดว่ามีอารมณ์ ทหารอีกนายผู้ทำหน้าที่กึ่งล่ามเพราะพอรู้ภาษาไทยอยู่บ้างแปลความแล้ว นายผู้ตรวจตราจึงพยักหน้ารับรู้

“เอาวางไว้ตรงนี้ละ”

คำสั่งเสียงดังทำให้ทั้งมุ่ยและมาลีตัวเย็นวาบขึ้นอีกครั้ง ฝ่ามือชื้นไปด้วยเหงื่อ พวกมันคงจะไล่กลับไปตั้งแต่หน้าค่าย หากมันพบว่าของมากมายซุกซ่อนอยู่ในนั้นมันคงไม่ยอมอยู่เฉยแน่ โดยเฉพาะไอ้ ‘คนปันต๋าย’ มันมาร่วมฉลองในวันนี้ด้วย

มุ่ยทำแข็งใจไม่รบเร้า เหลือบเห็นลูกสาวทำปากขมุบขมิบ กลัวว่าแผนจะแตกหากมาลีโพล่งอะไรออกมา มุ่ยจึงปราดเข้าไปฉวยข้อมือลูกสาวดึงออกมาเพื่อให้สติไปพร้อมกัน

“นังมา กลับ งานของเอ็งวันนี้จบแล้ว แต่บ่ต้องกลัว ข้าบอกว่าจะให้ค่าจ้างเท่าไหร่ก็จ่ายให้เท่านั้น” มุ่ยแบมือยื่นไปตรงหน้านายทหารเพื่อบอกว่าขอเงินค่าสินค้า

นายทหารผู้นั้นพูดอะไรสักอย่างเหมือนตะคอก แล้วนายคนเป็นล่ามก็บอกด้วยสำเนียงแปร่งๆ ว่าเงินค่าของจะจ่ายให้หลังจบงานแล้ว ที่ให้วางของไว้ตรงนี้เพราะจะให้ทหารมาขนเข้าไป นางมุ่ยและลูกจ้างได้ไม่ต้องเข็นเข้าไปให้เหนื่อยแรง เพราะยังต้องเตรียมทำอะไรอีกมากมาย

สองคนแม่ลูกได้ยินเช่นนั้นก็โล่งใจขึ้นหน่อย แต่ก็ยังหายใจไม่ทั่วท้องเมื่อนายทหารสั่งลูกน้องให้ช่วยกันขนของแยกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกขนไหเหล้าไปที่โรงเลี้ยง ให้นางมุ่ยตามไปคอยกำกับ อีกพวกหนึ่งให้ขนเข่งผักและกระบุงใส่แป้งไปที่เรือนครัว ให้นางมาลูกจ้างตามไป

ภายในใจที่มีแผนการทำให้อดคิดระแวงมิได้ว่าพวกญี่ปุ่นเองก็อาจจะสงสัย จึงแยกสองคนออกจากกัน จะได้ไม่มีโอกาสให้สุมหัวคิดทำอะไรที่อาจจะส่งผลร้ายต่อกองทัพ มุ่ยตั้งสติร้องสั่งลูกสาวไปว่า

“นังมา ยะอะหยังได้ก็ยะไปก่อน ปอกผักเกียมไว้ จัดการตางนู้นแล้ว เฮาจะไปทอดเอง” กำชับอีกครั้งว่า “ดักปากไว้ บ่มีอะหยังหรอก”

นายล่ามทำหน้างงเพราะหลายคำฟังไม่เข้าใจ แต่ก็คิดว่าเพราะตนเองยังรู้คำศัพท์ภาษาไทยไม่มากพอ ไม่รู้ว่าฝ่ายนั้นพูดภาษาเหนือ จึงแปลให้นายหัวหน้ารับทราบเพียงว่า นางมุ่ยสั่งให้นางมาเตรียมผักไว้สำหรับทำเทมปุระ แล้วนางมุ่ยจะเป็นผู้ทอดเอง

มาลีเดินตามขบวนนายทหารที่หิ้วเข่งฟักทอง แบกกระบุงใส่หัวปลีและแป้งด้วยใจระทึก ตอนนี้มั่นใจว่าพวกมันมิได้ระแคะระคายว่าภายในนั้นมีอะไรซ่อนอยู่ แต่หากโชคร้ายใครสักคนทำเข่งร่วงฟักทองแตกหรือแป้งคว่ำความลับก็แตกกันพอดี ระหว่างที่เดินไปเมื่อเห็นพวกขนของเดินเซตัวเอียงกระเท่เร่ มาลีก็ร้องเอะอะเอ้ออ้าเตือนให้ระวัง

มาถึงโรงครัวโดยไม่มีสิ่งใดหกคว่ำระหว่างทาง มาลีก็ค่อยโล่งใจ

นายทหารอีกกลุ่มหนึ่งคอยอยู่แล้วที่โรงครัว เป็นพวกพลาธิการที่รอช่วยเหลือเตรียมทำอาหารสำหรับงานเลี้ยง มาลีร้องเอ้ออ้าโบกมือไล่ให้รู้ว่าอย่ายุ่งเมื่อนายทหารเหล่านั้นเข้ามาจะช่วยถ่ายของออกจากเข่ง นายทหารเหล่านั้นก็ถอยออกไป แต่มิได้ปล่อยให้มาลีอยู่เพียงลำพัง เพราะสายตาทุกคู่จับจ้องมาเขม็ง

มาลีมือไม้สั่นพยายามตั้งสติให้มั่นคงเมื่อลงนั่งหันหลังให้เหล่าทหารพลาธิการ เริ่มลงมือเตรียมหัวปลีก่อน แกะกาบปลีออกทีละชั้นแล้วทิ้งเศษลงในเข่งขยะจนเหลือแต่ปลีอ่อน จึงเรียกนายทหารที่ยืนมองอยู่ให้มารับไปซอยเป็นฝอย พ้นสายตาจับจ้องแล้วมาลีจึงรีบล้วงของที่ซ่อนในฟักทองโยนลงไปในตะกร้าขยะ เสร็จทันเวลาที่นายทหารร้องบอกว่าซอยหัวปลีแช่น้ำเสร็จแล้ว มีอะไรให้ทำอีก มาลีก็เอ้ออ้าบอกให้นำฟักทองไปปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นแท่งแช่น้ำปูนใสเตรียมไว้

จากนั้นก็รอนายแม่กลับมาอย่างเดียว

ทหารญี่ปุ่นนายหนึ่งตรงเข้ามาที่ตะกร้าขยะ เห็นว่าคงไม่จำเป็นแล้วจะเก็บไปทิ้ง มาลีก็โวยวายทำมือไม้โบ้เบ้ว่าอย่าเพิ่งยุ่ง เดี๋ยวนายแม่จะด่าตนเองว่าทำเกินหน้าที่ ขยะนี้ถ้าจะทิ้งก็ต้องรอให้นายแม่มาสั่งก่อน จึงจะนำไปทิ้งได้

มาลียังหายใจได้ไม่ทั่วท้อง เงินจำนวนมากอยู่ใต้กระบุงแป้ง ไม่รู้จะแอบถ่ายเทออกมาได้อย่างไรในตอนนี้ ครั้นแม่มาถึงโรงครัวมาลีก็รีบบอกด้วยท่าทางว่าของทุกอย่างอยู่ในเข่งขยะนี้หมดแล้ว เหลือแค่เงินใต้กระบุงแป้ง มุ่ยจึงบอกให้ทหารญี่ปุ่นหากะละมังใบใหญ่ๆ มาให้เพื่อผสมแป้ง บอกมาลีเบาๆ ว่า

“ตอนเทแป้งลงต้องช่วยกัน แม่เทแป้ง ลูกรีบดึงถุงเงินออกมา”

บอกแค่ครั้งเดียวมาลีก็เข้าใจ มุ่ยวางกะละมังบนพื้นเพื่อให้มั่นคงหากแท้จริงเพื่อมิให้ทหารญี่ปุ่นมองเห็นถนัดนัก ค่อยๆ เทลงไป ครั้งถุงเงินตกลงมามาลีก็ฉวยออกไปทิ้งไว้ข้างนอก ครบทั้งหมดแล้วก็กอบใส่เข่งขยะเอาเศษผักมาคลุมปกหน้าไว้ เลื่อนเข่งแอบไว้ข้างหนึ่งที่ไม่สะดุดตา แล้วสองแม่ลูกก็ทำกะบองหรือเทมปุระอย่างโล่งใจ

รอคอยเวลาที่จะส่งมอบให้คนสำคัญ

 

กะบองฟักทองและหัวปลีที่พวกญี่ปุ่นบอกว่าเหมือนเทมปุระถูกยกจากโรงครัวไปที่โรงเลี้ยงไม่หยุด เช่นนี้แสดงว่าพวกหัวหน้าที่สำราญกันอยู่นั้นคงเพลิดเพลินไปตลอดคืนนี้ มุ่ยต้มเหล้าให้ดีกรีแก่กว่าทุกครั้ง ไม่ตั้งใจว่าจะมอมจนหมดสติล้มฟุบไป แค่หวังให้รื่นรสจนไม่สนใจอย่างอื่นเท่านั้น

เหลือแต่เหล่าทหารที่เป็นลูกมือในโรงครัว พวกนี้ยึดถือคำสั่งปฏิบัติหน้าที่อย่างเคร่งครัด เหลือกะบองชุดสุดท้ายที่ยกขึ้นสะเด็ดน้ำมันมุ่ยก็บอกนายทหารเหล่านั้นว่าไม่ต้องยกออกไป ชุดสุดท้ายนี้สำหรับพวกทหารที่อุตส่าห์ช่วยเหลือ หากสิ่งที่ทำให้นายทหารทั้งตาโตและลิงโลดเปรี้ยวปากก็คือเหล้าสองไหที่มุ่ยบอกว่าเตรียมมาไว้ให้ รู้ว่าพวกนี้ก็อยากกิน แต่ถ้าไม่แยกออกมากับเข่งผักก็คงไม่มีโอกาสได้กิน หน้าที่ขนอาหารไปที่โรงเลี้ยงก็จบแล้ว มุ่ยจึงปล่อยให้นายทหารหิ้วเหล้าและกับแกล้มไปกินกันที่มุมหนึ่ง

มั่นใจว่าพวกทหารที่โรงครัวเริ่มกรึ่มได้ที่และปลอดคนแล้ว มุ่ยก็ทำเสียงนกร้องให้สัญญาณ ไม่นานก็ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวสวบสาบอยู่ไม่ไกล บุญผ่องแอบส่งสารให้ลีรอยรู้ล่วงหน้า นัดให้มาด้อมๆ อยู่แถวโรงครัว ยังไม่รู้ว่าต้องคอยนานแค่ไหน แต่เมื่อสบจังหวะจะได้ส่งของให้กัน

ลีรอยนอนพักเอาแรงตั้งแต่หัวค่ำ ฟังเสียงเชลยด้วยกันคพูดกันว่าคืนนี้พวกนายทหารชั้นหัวหน้าจัดเลี้ยงกัน นางแม่ค้าที่ขายเหล้าอยู่นอกค่ายเข้ามาทำกับแกล้มอยู่ข้างใน คืนนี้คงพักผ่อนได้เต็มที่ ไม่มีนายหทารตรวจตรามากนัก บางคนคิดว่าจะหาทางหนีออกจากค่ายเพราะเห็นว่าเป็นโอกาสดี

ลีรอยบอกเรื่องนี้กับโอลิเวอร์ เขารู้ว่ามาลีจะตามเข้ามาในค่ายด้วยแต่ยังไม่บอก กลัวโอลิเวอร์รู้แล้วจะด่วนตัดสินใจทำอะไรที่ทำให้แผนการล้มเหลว รอคอยจนกระทั่งแถวทหารที่ลำเลียงอาหารเสร็จสิ้นลง ลีรอยจึงสะกิดชวนโอลิเวอร์ให้ตามไปที่โรงครัว

ครั้นเสียงนกเค้าแมวดังขึ้น ทั้งสองเงี่ยหูฟังอีกที ปลีหัวหนึ่งถูกโยนมาตกลงข้างตัวบอกให้รู้จุดนัดหมาย ในนาทีต่อมาสองแม่ลูกก็หิ้วเข่งขยะออกไปพบ

มาลีเห็นสภาพสามีแล้วก็ร้องไห้โฮ โอลิเวอร์อึ้งไปชั่วอึดใจแล้วโผกอดไว้แนบแน่น ไม่คิดฝันว่าชาตินี้จะได้พบหน้ากันอีก ด้วยการออกไปทำงานในแต่ละวันเหมือนกับการเดินไปสู่ขุมนรก การได้กลับค่ายพร้อมลมหายใจไม่รู้ว่าเป็นความโชคร้ายหรือเรื่องน่ายินดี

แต่บัดนี้เมื่อเห็นหน้าภรรยา โอลิเวอร์ก็ขอบคุณตัวเองที่เขายังรักษาลมหายใจมาจนถึงวันนี้

ไม่มีเวลาร่ำไร ลีรอยและโอลิเวอร์รีบหิ้วเข่งขยะออกไปจากตรงนั้นเสียก่อน ครั้นแอบไว้ในที่พ้นตาพวกญี่ปุ่นแล้วจึงรีบกลับมาหาคนทั้งสอง มาลีอยากถามสามีว่าเหตุใดเขาจึงต้องกลายมาเป็นเชลยอยู่ในค่ายนี้ ทั้งที่เมื่อถึงพม่าเขาน่าจะเป็นอิสระแล้ว โอลิเวอร์อยากเล่าให้ภรรยาฟังเหมือนกัน แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร

มาลีค้นหาของที่ซ่อนเหน็บเอวไว้ในซิ่นส่งให้สามี มันเป็นรูปถ่ายของลูกสาวที่เพิ่งถ่ายมาไม่นานนี้

“พอฉันรู้ว่าพี่อยู่ที่นี่ แม้ไม่รู้ว่าจะได้เจอกันไหม แต่ฉันก็ยังหวังว่าจะได้เจอ ฉันเลยถ่ายรูปใบนี้ไว้เพื่อมอบให้พี่หากได้พบกัน”

โอลิเวอร์กอดภรรยากระชับร่างบางไว้มั่นดุจจะถ่ายเทความรักและคิดถึงสู่ตัวหล่อน และฝากไปถึงลูกสาวตัวน้อย…นางฟ้าของพ่อ…พึมพำขอบใจมาลีที่หล่อนเป็นภรรยาที่ดีของเขาและแม่ที่ดีของลูก

“พี่สัญญาว่าพี่จะกลับไปอยู่กับมาลีและลูกให้ได้”

‘พี่สัญญานะ ห้ามผิดคำสัญญาเด็ดขาด’ มาลีเกือบจะบอกไปอย่างนั้นหากก็ฉุกใจคิดว่าจะเอาอะไรแน่นอนได้ในภาวะสงครามเช่นนี้ หล่อนจึงบอกสามีไปว่า

“อย่าสัญญาเลย หากทำไม่ได้แล้วจะกลายเป็นความรู้สึกผิดติดตัวไปเสียเปล่าๆ ได้พบกันวันนี้ฉันก็ดีใจนักหนา แค่เห็นว่าพี่ยังมีชีวิตอยู่ เท่านี้ฉันก็มีความหวังแล้วว่า เมื่อสงครามเลิก พี่จะกลับไปหาพวกเราที่บ้าน”

โอลิเวอร์ไม่เอ่ยคำใดอีกนอกจากรัดร่างของมาลีแนบแน่นจนอยากให้กลืนกลายรวมกับร่างของเขา ประทับรอยจูบให้ตราตรึงไว้จนกว่าจะได้พบกันในสักวันหนึ่งข้างหน้า

เสียงหวอดังขึ้นมา ไม่นานทั้งค่ายก็เอะอะ ลำแสงไฟสอดส่ายทั้งจากบนฟ้าและพื้นดิน

คนทั้งหมดต้องแยกจากกัน มุ่ยกับมาลีรีบกลับไปที่โรงครัว ลีรอยและโอลิเวอร์รีบกลับเรือนพักของพวกเชลย ไม่ลืมที่จะหิ้วเงินปึกใหญ่และยาที่ซ่อนไว้ในเข่งขยะ

โอลิเวอร์บอกมุ่ยเป็นคำสุดท้ายก่อนแยกจากกันว่า

“หลังจากนี้อยากตักบาตรบ่อยๆ”

มุ่ยพยักหน้าเข้าใจ ทั้งหมดแยกจากกัน แล้วเสียงระเบิดก็ดังตูมขึ้นมาทันที



Don`t copy text!