เวียงวนาลัย บทที่ ๑๔ ลำนำแห่งชีวิต “รักที่ไม่หวนคืน”

เวียงวนาลัย บทที่ ๑๔ ลำนำแห่งชีวิต “รักที่ไม่หวนคืน”

โดย : เนียรปาตี

Loading

เวียงวนาลัย เรื่องราวของวิลเลียม หนุ่มอังกฤษที่เดินทางมาทำงานในบริษัทสัมปทานป่าไม้ในภาคเหนือของสยาม เขาไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าต้องเผชิญกับอะไรมากมายในดินแดนที่ไม่คุ้นเคย ทั้งมิตรแท้ สงครามและความรัก มาเอาใจช่วยหนุ่มอังกฤษคนนี้กับชีวิตอันแสนจะโลดโผนในเวียงวนาลัย นวนิยายออนไลน์ โดย เนียรปาตี ที่อ่านเอาภูมิใจนำเสนอ

วิลเลียมเลี่ยงการพบกับเบ็ตตี้ในห้องพักของหล่อน แม้ว่าในวัยชราจะพ้นจากข้อครหาเรื่องชู้สาวแล้ว แต่เขาก็ไม่อยากให้มีโอกาสแม้แต่น้อยนิดที่จะทำให้ไพล่ไปคิดถึงเรื่องทำนองนั้นได้ เขาต้องการคุยกับหล่อนเป็นการส่วนตัวในที่เปิดเผย รอยเมืองจึงเลือกที่นั่งในมุมหนึ่งของสวนโรงแรมที่ค่อนข้างลับตาคนแต่ยังเป็นพื้นที่สาธารณะให้ทั้งคู่ได้พบกัน ส่วนตัวเองนั่งอยู่อีกมุมหนึ่งห่าง ๆ ที่พอมองเห็นแต่ไม่ได้ยินว่าคุยอะไรกัน

“คงไม่ต้องถามว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง เพราะตอนนี้เธอกลายเป็นคนดังระดับโลกไปแล้ว” วิลเลียมเปิดฉากสนทนาอย่างไม่อ้อมค้อม

“คนดัง…แปลว่ามีทั้งคนรักและคนเกลียด เธออยู่ในกลุ่มไหนล่ะ” เบ็ตตี้ย้อนถาม

“ฉันไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนี้ เธอควรพิจารณาได้เอง”

“เธอก็ยังเป็นเหมือนเดิม วิลเลียม ไม่เคยมีความชัดเจนกับเรื่องอะไรเลย”

“แต่ฉันก็ไม่เคยโกหกพกลม ปั้นน้ำเป็นตัว ปลิ้นปล้อน ต…” วิลเลียมยั้งปากไว้ทัน

“ตอแหล…เธอพูดออกมาเลยก็ได้ ถ้าจะประณามฉันถึงขนาดนี้แล้ว” เบ็ตตี้ข่มอารมณ์ก่อนเอ่ยต่อไป “ฉันจำเสียงเธอได้…ในห้องประชุม และฉันก็รู้ทันทีว่าเธอไม่พอใจที่ฉันเอ่ยพาดพิงไปถึงภรรยาบ้านป่าของเธอ”

“รู้ทั้งรู้ว่ามันไม่จริง แต่เธอก็ยังพูดได้เรื่อยเจื้อยอย่างไม่ละอาย เธอโกหกใครต่อใครจนสุดท้ายเธอก็หลงอยู่ในเรื่องแต่งของตัวเองว่ามันเป็นความจริง เรื่องครูสอนภาษาอังกฤษในคุ้มก็ไม่จริง เรื่องเจ้านางนกน้อยก็ไม่จริงอีก แล้วยังจะเรื่องกบฏเงี้ยว หรือการก่อตั้งสปอร์ตคลับที่เธอมีส่วนร่วมด้วยก็ไม่จริงสักอย่าง สำหรับฉันมันเป็นนิยายชั้นเลวเรื่องหนึ่งที่ฉันเคยอ่านมา”

“มันเป็นนิยายชั้นเลวเพราะฉันเป็นนางเอก เป็นวีรสตรี แทนที่จะเป็นมุ่ยเมียเธออย่างนั้นสินะ” เบ็ตตี้หยิบหนังสือเจ้าปัญหาเล่มนั้นขึ้นมาส่งให้วิลเลียม เปิดหน้าแรกให้เขเห็นว่าหล่อนเซ็นชื่อว่ามอบให้แก่เขา…วิลเลียม บรูค “ถึงอย่างไรฉันก็ขอมอบไว้ให้เธอหนึ่งเล่ม นี่เป็นฉบับพิมพ์ครั้งแรก ฉบับที่ทำให้โลกนี้รับรู้ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ในโลกนี้ ชื่อเบ็ตตี้ บรูค”

“ฉันขอถามเธอหนึ่งข้อ ขอให้ตอบตามความจริง เธอไม่ได้แต่งงานกับพี่โทมัสใช่ไหม”

“เธอต้องการอะไร” เบ็ตตี้ย้อน “เธออยากรู้ว่าท้ายที่สุดแล้ว ฉันเป็นพี่สะใภ้เธอจริง ๆ ใช่ไหม” หล่อนแค่นหัวเราะออกมานิดหนึ่งก่อนอารมณ์ข่มกลั้นที่อัดไว้มานานปีจะพังทลายลง “ถ้าเธอกลัวว่าฉันจะไปร่วมอยู่ในสาแหรกวงศ์ตระกูลของเธอแล้วล่ะก็ สบายใจได้เลย ฉันกับท่านโทมัสไม่เคยมีสัมพันธ์กันทั้งทางกายและทางใจ รู้ไหมวิลเลียม สกุลบรูคของเธอน่ะมันงี่เง่าบ้าสิ้นดี มีแต่คนคิดถึงตัวเอง ทั้งเธอและพี่ชายก็นิสัยเดียวกัน หลายครั้งที่พี่โทมัสมีโอกาสจะทำอะไรกับฉันหรือยกย่องให้ฉันอยู่เคียงข้างเขาได้ แต่เขาไม่เคยแลเห็นฉันอยู่ในสายตาเลย ฉันไม่รู้ว่าเรื่องอื้อฉาวของฉันกับพี่โทมัสมันเริ่มจากใคร แต่เมื่อมันเป็นเรื่องขึ้นมาคนส่วนใหญ่ก็เชื่อไปแล้วว่าเป็นจริง พี่ชายเธอก็ไม่คิดจะโต้แย้งแก้ต่างให้ตัวเอง จนกระทั่งเขาตายตอนรุ่งสางของวันใหม่ ฉันก็อยู่ในฐานะที่ทุกคนรับรู้ว่าฉันเป็นภรรยาของเขา”

“ถ้าเช่นนั้น มรดกของพี่โทมัสก็มากพอที่จะให้เธอใช้ชีวิตได้สบายโดยไม่ต้องแต่งเรื่องโกหกคนทั้งโลกอย่างนี้”

เบ็ตตี้แค่นหัวเราะอีกครั้ง คราวนี้มีความชิงชังแสดงออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“พี่ชายคนโตของเธอยังไงล่ะ แม้ตัวเขาจะตายไปแล้ว แต่ลูกหลานของเขาเข้ามาหาฉันเพื่อห้ำหั่นให้ชีวิตฉันเหลือแต่ตัว กับเศษเงินพอให้ฉันพอจะเดินทางไปอเมริกาและเช่าห้องรูหนูอยู่ได้สักสองปีแค่นั้น”

“เธอเริ่มสร้างจินตนาการโกหกพกลมที่นั่น”

“อย่าประชดเหน็บแนมฉันนักเลย วิลเลียม ถ้าเธออยากรู้ว่าความจริงคืออะไร ฉันกำลังบอกให้เธอฟัง” ดวงตาของเบ็ตตี้เริ่มแดงช้ำหากหล่อนไม่ยอมให้หยาดน้ำร่วงลงมา

รอยเมืองเห็นว่าคู่สนทนาเริ่มตึงเครียด แหม่มเบ็ตตี้มีอารมณ์ขึ้นมา เขาขยับตัวจะเข้าไปเผื่อช่วยแก้ไขในสถานการณ์ได้ แต่พ่อนายวิลเลียมส่งสายตาว่าเขายังรับมือไหว

“ฉันเขียนเรื่องการเดินทางในอินเดียผ่านพม่าและชีวิตที่เวียงละกอน เพราะคิดว่าคงยังมีคนไม่มากรู้จักดินแดนเหล่านั้น ฉันเสนอให้สำนักพิมพ์หลายแห่งแต่ไม่มีใครตอบรับงานของฉัน ฉันสิ้นหวังจนคิดจะกระโดดน้ำตายแต่โจนาทานก็ฉุดฉันออกมา” เบ็ตตี้กลืนก้อนแข็งลงลำคอ “เขาเป็นบรรณาธิการใหญ่ในสำนักพิมพ์ที่ฉันเอาต้นฉบับไปเสนอแล้วถูกปฏิเสธนั่นแหละ แต่เขาไม่ใช่คนพิจารณางานของฉัน เขาอ่านและวิจารณ์ฉันอย่างตรงไปตรงมาว่าที่เรื่องของฉันไม่ผ่านเพราะมันไม่ชัดเจนว่าจะเป็นทางใด หากพิมพ์เป็นนิยายก็ดูวิชาการเกินไป ถ้าจะเป็นชีวประวัติมันก็ขาดความชัดเจน เขาจึงแนะนำให้ฉันลองปรับการเล่าเรื่องใหม่ เป็นการเดินทางของผู้หญิงอังกฤษคนหนึ่งในดินแดนไกลโพ้น แล้วต้นฉบับของฉันก็ผ่านด้วยการที่ฉันมีอะไรกับเขาเท่ากับจำนวนบทที่ฉันเขียน…นี่แหละ คือความจริงที่เธออยากรู้”

วิลเลียมนิ่งไป…หล่อนเอาตัวเข้าแลกกับการให้ชีวิตต้องเดินหน้าต่อไปเช่นนี้หรือ

ไม่อาจตัดสินหรือประณามได้ว่าหล่อนทำถูกหรือผิด ทุกการกระทำย่อมมีผลลัพธ์ตามมาเสมอ ความโด่งดังของเรื่องนี้รอยเมืองเคยเล่าให้เขารู้มาก่อนหน้าแล้วว่า ตั้งแต่เรื่อง Banal Life เผยแพร่แก่สายตาอเมริกันชนทางนิตยสารข่าวรายสัปดาห์ยาวนานติดต่อกัน ๔ เดือน ก็ได้รับเสียงชื่นชมและการติดตามอย่างเหนียวแน่นจนทำให้ชื่อของ เบ็ตตี้ บรูค เป็นที่รู้จักขึ้นมา เมื่อลงจบในนิตยสารแล้วจึงพิมพ์รวมเล่มครั้งที่ ๑ โดยโจนาทานเป็นบรรณาธิการต้นฉบับ หลังการเปิดตัวหนังสืออย่างยิ่งใหญ่ก็ตามมาด้วยงานแต่งงานของเบ็ตตี้และโจนาทาน

งานชิ้นเดียวกันนี้ถูกเผยแพร่นิตยสารข่าวรายสัปดาห์ที่อังกฤษด้วย ด้วยจุดขายว่าผู้เขียนเป็นสตรีชาวอังกฤษ แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม แต่ละบทที่เผยแพร่ออกไปมีผู้ตั้งคำถามหลายประเด็นที่พบว่าไม่สอดคล้องกันในเรื่องที่หล่อนเล่า ผู้ตั้งกระทู้ถามรายสำคัญคือกงสุลสยามในกรุงลอนดอน เบ็ตตี้เลือกที่จะนิ่งเฉยเป็นส่วนมาก เลือกตอบบางคำถามที่จะส่งผลดีแก่ตัวหล่อนเท่านั้น

“มันเป็นช่วงเวลาที่ฉันก้าวขึ้นสู่ที่สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ แม้จะมีคนด่าว่าฉันอยู่ข้างหนึ่ง แต่ก็มีคนชื่นชมและผลักดันฉันให้ก้าวสูงขึ้นไปอยู่อีกข้างหนึ่ง แต่ละวันฉันถูกรับเชิญให้ไปพูดในมหาวิทยาลัยหรือสมาคมต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยปัญญาชน พวกเขาทึ่งกับเรื่องเล่าของฉัน บางคนบอกกับฉันว่าฉันเป็นแรงบันดาลใจให้เขาอยากเดินทางไปผจญภัยในโลกกว้างบ้าง”

“เธอและสามีคงกอบโกยได้มากเลยสินะ”

“ไม่ต้องประชดฉันหรอก วิลเลียม ฉันมีรายได้จากชื่อเสียงครั้งนี้ และมีมากขึ้นไปอีกเมื่อมันถูกสร้างเป็นละครบรอดเวย์”

ละครบรอดเวย์เรื่องนั้นคือ The Victorian Governess at the Forestry Palace ถูกสร้างโดยคู่หูนักดนตรีนักแต่งเพลงชาวอเมริกันผู้เลื่องชื่อในตอนนั้น เขาหยิบเอาเรื่องราวจาก Banal Life มาผูกร้อยใหม่เล่าผ่านบทเพลงที่ถือว่าแปลกใหม่เพราะผสมผสานท่วงทำนองของดนตรีแบบตะวันออกเข้าไปด้วย บรอดเวย์เรื่องนี้ยืนโรงถึงสามปีเพราะเสียงเรียกร้องจากผู้ชมที่ติดใจความแฟนตาซีของโลกตะวันออก ฉากระบำเทียนและลอยโคมขึ้นฟ้าเพื่อบูชาเทพแห่งน้ำเป็นจุดขายเชิงเทคนิค ฉากต่อสู้ของกบฏที่พ่ายแพ้ต่อชาวตะวันตกทำให้ผู้ชมกระหยิ่มใจและภูมิใจในความเป็นชาวตะวันตกของตน วิลเลียมจำได้เลา ๆ ว่าบรอดเวย์เรื่องนี้กวาดรางวัลไปมากมายในสาขาที่เกี่ยวข้องกับแวดวงดนตรีและละครเวทีในปีนั้น

“แต่แล้วฉันก็เหมือนตกนรกอีกหน ยิ่งอยู่สูง ตอนที่พื้นที่เหยียบหายวับไปแล้วร่วงลงมา เธอคงนึกออกว่ามันจะเจ็บปานใดตอนที่ร่างเรากระแทกพื้น”

“ทำไมล่ะ อะไรทำให้เธอรู้สึกเหมือนตกจากสวรรค์ แล้วตาข่ายของคำโกหกที่เธอถักทอมาแสนนานไม่หนาพอจะรับร่างของเธอไว้หรือ”

“ถ้าฉันหลังหักหรือร่างแหลกสลายเธอคงจะสะใจ ให้เธอรู้ไว้ว่าฉันเจ็บกว่านั้นหลายเท่าแทบกระอักเลือดตาย ผู้ชาย…” เบ็ตตี้แค่นเสียงชิงชังออกมาอีกครั้ง “สันดานผู้ชายเหมือนกันทั้งโลก โจนาทานถูกยิงตายจากเรื่องความขัดแย้งในกองบรรณาธิการ…ทุกคนพอใจที่เป็นเช่นนี้ ทั้งที่ความจริงมือปืนรับค่าจ้างมาจากภรรยาของเขา หล่อนเป็นผู้ได้มรดกทั้งหมดไป ฉันไม่อาจงัดข้อกับหล่อนได้เพราะรายรับที่ฉันได้มาเพื่อสร้างครอบครัวมันเป็นรายได้ของบริษัท หล่อนชนะฉันเพราะหล่อนเป็นภรรยาตามกฎหมายอย่างแท้จริง”

เบ็ตตี้จ้องหน้าวิลเลียมนิ่งอีกครั้ง ครานี้แววตาของวิลเลียมฉายแววไม่คาดคิด

“ใช่ ฉันกับลูกถูกลอยแพอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่มีใครยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราอีก ฉันพยายามเขียนหนังสือเสนอสำนักพิมพ์แต่ไม่มีที่ไหนตอบรับ ถ้าเธอคิดว่าเป็นฝีมือของเมียโจนาทานอยู่เบื้องหลัง…ใช่ หล่อนปิดกั้นหนทางหากินของฉันทุกวิถีทาง จนฉันต้องยอมรับที่จะก้มหน้าทำงานในโรงงานฟอกหนังเพื่อให้ลูก ๆ ของฉันได้มีชีวิตต่อไป”

วิลเลียมมองดูมือเหี่ยวของเบ็ตตี้ที่ส่วนหนึ่งเกิดจากวัยที่ล่วงเลย แต่ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการถูกน้ำยาฟอกหนังกัดมาแรมปี

“ฉันจะได้เงินก้อนบ้างถ้าสตูดิโอภาพยนตร์มาติดต่อขอซื้อไปทำหนัง อย่างครั้งนี้ ที่ฉันตอบรับการมาพูดที่นี่ก็เพราะฉันต้องการค่าตอบแทน แม้มันจะเล็กน้อยก็ตามที แต่มันก็ช่วยให้ชื่อเสียงของฉันยังอยู่ใช่ไหมล่ะ”

“เหตุผลในการตอบรับของเธอมีแค่นี้หรือ”

เบ็ตตี้เม้มริมฝีปาก สูดลมหายใจลึกยาว ยิ้มให้กับตัวเอง

“ฉันอยากมาพบเธอ ฉันมีสังหรณ์ว่าถ้าเธอรู้ว่าฉันจะมาที่นี่ เธอจะมาพบฉัน แล้วเธอก็มาจริง ๆ”

“เท่านี้หรือ”

“ยังหรอก อีกเรื่องหนึ่งก็คือฉันอยากพบลูก ฉันรู้ว่าคนที่แปลเรื่องของฉันเป็นภาษาไทยคือเขา” หล่อนพยักไปยังเก้าอี้ที่รอยเมืองนั่ง “ฉันไม่ได้มาเพื่อแสดงตัวหรือเรียกร้องอะไร ฉันแค่อยากเห็นหน้าเขาสักครั้งหนึ่ง ก็เท่านั้นเอง”

“เขาเหมือนเธอและ…” วิลเลียมไม่เอ่ยชื่อเมืองออกมา “อย่างละครึ่ง หากวัดกันที่หน้าตา เขาดูดีที่สุดในบรรดาพี่น้อง…ลูกของฉัน”

วิลเลียมเอื้อมมือไปกุมมือเบ็ตตี้ สัมผัสความเหี่ยวกร้านและอ่อนโรย กระชับมั่นเมื่อเอ่ยต่อหล่อนว่า

“ถ้าฉันและครอบครัวของฉันเป็นสาเหตุให้ชีวิตเธอเป็นเช่นนี้ ฉันต้องขอโทษด้วย หวังว่าเธอคงจะให้อภัยพวกเราสกุลบรูค แต่ฉันก็หวังว่าเธอจะไม่โทษว่าที่ชีวิตของเธอเป็นอย่างนี้เพราะพวกเราเพียงอย่างเดียว เธอจะอยู่ที่ไทยอีกกี่วันก็ได้ แต่เราคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก นับจากนี้ไปขอให้เธอโชคดี”

วิลเลียมลุกจากเก้าอี้เตรียมเดินจากไป เบ็ตตี้ท้วงไว้ก่อนเขาก้าวขา

“เธอลืมหนังสือที่ฉันมอบให้…เป็นที่ระลึก”

“ขอบใจ” วิลเลียมหยิบหนังสือเล่มนั้นขึ้นมาอย่างเป็นสิ่งของชิ้นหนึ่งที่ไม่มีความหมายพิเศษอะไร “ฉันอ่านจบไปรอบหนึ่งก่อนเธอมาถึง และคงไม่อ่านทวนซ้ำอีก แต่ฉันก็จะรับไว้ บางที…มุ่ยอาจจะมีเวลาว่างและเปิดอ่าน ถึงตอนนั้นมุ่ยคงจะเขียนจดหมายสักฉบับถึงเธอในฐานะลูกศิษย์จอมเฮี้ยว และลงชื่อท้ายจดหมายว่า แวนด้า บีเชอร์ สโตว์”

วิลเลียมเดินไปหารอยเมืองเพื่อให้เขาทำอะไรบางอย่างก่อนออกไปคอยที่ส่วนต้อนรับของโรงแรม

รอยเมืองตรงเข้ามาหามิสซิสเบ็ตตี้ บรูค แล้วยื่นซองหนึ่งให้ เบ็ตตี้รับไปเปิดดูจึงพบว่าเป็นเงินจำนวนหนึ่งร้อยปอนด์

“พ่อนาย…เอ่อ…คุณพ่อน่ะครับ ท่านฝากผมมอบให้แหม่ม และฝากคำพูดถึงแหม่มด้วย”

“ว่าอย่างไรจ๊ะ” มิสซิสเบ็ตตี้ บรูค ถาม

รอยเมืองเม้มปากหลายหน ลำบากใจที่จะเอ่ยออกไป มันยากเหลือเกินที่จะพูดข้อความนั้นกับหญิงตรงหน้าผู้ที่เขารู้ว่าหล่อนคือแม่บังเกิดเกล้าของตนเอง แต่แล้วก็จำต้องเอ่ยออกไปในฐานะผู้ส่งสาร

“คุณพ่อบอกว่า ฝากเงินนี้ให้แหม่ม เธอไม่ได้ประสงค์ร้ายโดยเจตนา แต่เพราะเธอต้องหาเงินเลี้ยงลูกปากกัดตีนถีบ แม้เธอจะรู้อยู่แก่ใจว่าการโกหกเป็นการทอนเกียรติแห่งความเป็นมนุษย์ลง โดยเฉพาะสตรีวิคตอเรียนผู้ยึดมั่นในศาสนาและความถูกต้อง แต่เธอก็ยอมเลือกที่ลวงคนทั้งโลกเพื่อหาเงินมาเลี้ยงปากท้องคนในครอบครัว เราควรสรรเสริญเธอด้วยเงินจำนวนนี้”

เบ็ตตี้สั่นไปทั้งร่างซวนเซจะล้มลง รอยเมืองจะเข้าไปประคองหล่อนก็ยกมือห้ามว่าไม่เป็นไรและอย่าแตะตัวหล่อนไปพร้อมกัน โชคดีที่เก้าอี้ตัวเดิมรองรับร่างหล่อนไว้ ไม่อย่างนั้นคงล้มลงไปกองกับพื้นหมดสภาพ ดวงตาของเบ็ตตี้แห้งผากแสบร้อน ริมฝีปากสั่นระริก วูบวาบไปตลอดร่าง มือที่กำซองเงินสั่นด้วยความแค้นระคนละอายใจ หล่อนโบกมือให้รอยเมืองออกไป ทิ้งหล่อนไว้คนเดียวตรงนั้น

ภาพหลังของลูกชายพร่าเลือนผ่านม่านน้ำตาก่อนจะหายไป เบ็ตตี้กำซองเงินที่เป็นดั่งเครื่องประหารความสัมพันธ์ของหล่อนและวิลเลียมให้ขาดสะบั้นลงอย่างบริบูรณ์กับถ้อยคำสุดท้ายที่เขาฝากลูกชายหล่อนมาบอกแม่

“เธอช่างร้ายกาจนัก ฉันเจ็บแสบขนาดนี้คงสาแก่ใจเธอแล้ว วิลเลียม บรูค”

 



Don`t copy text!