นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ

นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

ณ เรือนริมน้ำของหมอเฮาส์และภรรยาที่ยามนี้ฝ่ายหลังได้ใช้เป็นสถานที่สำหรับฝึกอบอรมเด็กหญิงชาวสยามผู้เป็นลูกหลานชาวบ้านมีคนมาเรียนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม  ด้วยได้รู้ข่าวว่าการมาเรียนนั้นได้เงินทำให้บรรดาพ่อแม่บางคนส่งเด็กหญิงมาเรียน  แม้เงินที่ได้อาจไม่มากแต่ก็พอจะมีรายได้เล็กๆ น้อยๆ สำหรับคนฐานะไม่ได้ร่ำรวยและที่สำคัญยังมีเงินไปเข้าบ่อนและแทงหวยได้ด้วย เจ้าของบ้านนั้นรู้เหตุผลข้อนี้อยู่เต็มเปี่ยมด้วยเข้าใจดีว่าชาวสยามรักสบายและรักสนุกอาจเนื่องมาจากสภาพสังคมที่ไม่ได้แร้นแค้น  แม้ต้องถูกเกณฑ์เป็นไพร่แต่สยามเป็นบ้านเมืองที่ไม่ได้ขาดแคลนอาหารการกิน

อย่างไรเสียผืนดินบนบ้านเมืองนี้ยังปลูกพืชผักได้งอกงามดีนัก  อาหารอันอุดมและอากาศที่ไม่ได้ส่งผลอันเลวร้ายต่อพืชพรรณธัญญาหารนี้อาจส่งผลให้คนสยามไม่ได้ลำบากปากท้อง เว้นแต่เรื่องเงินทองเท่านั้นที่มิได้ใช้จ่ายได้ตามอำเภอใจ  ดังนั้นเมื่อยามว่างจึงเข้าบ่อนเป็นนิจอย่างเพลิดเพลิน  เช่นที่พ่อของกลอย ศิษย์คนหนึ่งของมิสซิสเฮาส์ปฏิบัติจนเกือบต้องขายลูกให้เป็นทาสในเรือนนายเงินนั่นเอง

“แม่กลอย  วันนี้แม่พุดตานมิมาเรียนดอกหรือ”  โชติถามเด็กหญิงคนสนิทที่บัดนี้หน้าตาไร้ความหม่นหมองดูผ่องใสและตาเริ่มมีแววเจิดจรัสเยี่ยงผู้พบความผาสุกในใจแล้ว

“แม่พุดตานบอกว่าวันนี้จะไปทำบุญจ้ะพี่โชติ”

“ไปทำบุญ  เหตุใดมาเรียนมิได้”  โชติถามพลางวางหนังสือเล่มเล็กลงบนตัก

“ป้าสายหยุดแม่ของแม่พุดตานถูกหวยจ้ะพี่โชติ  ได้ยินว่าถูกเยอะเชียว  คงจะเลี้ยงคนทั้งละแวกบ้านเป็นแน่”  กลอยเล่าพลางหัวเราะคิกคักอย่างนึกขันท่าทางของเพื่อนเมื่อคราวที่เล่าเรื่องมารดาถูกหวย

“ก็เลยบอกให้พุดตานหยุดเรียนเช่นนั้นฤา”

“เช่นนั้นแหละจ้ะ  ก็แหมถูกหวยทั้งที ก็คงอยากจะประกาศให้ใครๆ รู้ว่ามีเงินเยอะน่ะจ้ะ”

“แปลกทีเดียว  แทนที่จะเก็บไว้ไม่บอกใครกลับโพนทะนาไปทั่ว  มีหวังได้หมดเงินเสียไม่ว่า”  โชติส่ายหน้าอย่างไม่เห็นด้วย

“ทำไมล่ะจ๊ะพี่โชติ  เขามีเงินก็บอกใครๆ ว่ามีมิถูกหรือ”

“พี่มิได้บอกว่าผิด หากแต่ลองคิดดูดีๆ มีหรือที่คนอื่นรู้จะมิอยากมาคบค้าด้วยเพราะหวังเงินทอง  หากแม่ของพุดตานทำเงียบๆ เสียแล้วทำตัวเยี่ยงที่เคยเป็น ก็อาจมิต้องปวดหัวกับเรื่องที่จะเกิดขึ้น”

“นั่นสิจ๊ะ  มากคนก็อาจมากความได้  พรุ่งนี้แม่พุดตานมา ฉันจะซักเสียให้สิ้น  ได้ความอย่างไรจะเล่าให้พี่ฟังนะจ๊ะ”  กลอยบอกอย่างเห็นเป็นเรื่องสนุกตามประสาเด็ก

“อย่าเลยกลอย  หากแม่พุดตานมิเล่าก็มิต้องถามดอก”

โชติปรามไว้เนิ่นๆ แต่รู้ดีว่าคงไม่ได้ผลเพราะถึงกลอยไม่ไถ่ถามเจ้าตัวต้นเรื่องคงมิอาจเก็บงำเรื่องไว้ได้เป็นแน่

เสียงฝีเท้าหนักๆ ของใครคนหนึ่งดังขึ้นกระทบโสตประสาทผู้กำลังสนทนากันอย่างออกรส  หญิงสาวนึกรู้ได้ในทันทีถึงเจ้าของเสียงนั้น  เมื่อเงยหน้ามองก็พบกับชายหนุ่มผู้ที่กำลังอยู่ในความคิดคำนึง  โชติเก็บสีหน้ายินดีไว้ภายใต้ใบหน้านิ่งทว่าดวงตากลับทอประกายแห่งความยินดีอย่างแจ่มชัด

“มาแล้วหรือ”  กลอยส่งเสียงเบาๆ อย่างรู้ทันเสียดายแต่ว่าวันนี้คู่หูของเจ้าตัวมิได้มาเรียนจึงไม่มีคนเจรจาเข้าขากัน

“ว่าอย่างไรนะแม่กลอย”  โชติจ้องเขม็งปรามอีกฝ่ายแต่ไม่จริงจังนัก

“มิมีอันใดจ้ะพี่โชติ  ฉันแค่นึกได้ว่าประเดี๋ยวคุณมิเชลคงจะมา  แลคิดจบปุ๊บก็เห็นเขามาพอดีจ้ะ”

“นั่งก่อนสิคะ”  โชติส่ายหน้าอย่างรู้ทันเด็กหญิง พลางหันไปเชื้อเชิญมิเชลที่บัดนี้สามารถเข้านอกออกในที่บ้านมิสซิสเฮาส์เยี่ยงผู้คุ้นเคยกับเจ้าของบ้านเป็นอย่างดี

“ทำอะไรกันอยู่ครับ”  เขาถาม

“อ่านหนังสือน่ะค่ะ”  หญิงสาวตอบพลางหันไปมองเด็กอีกกลุ่มที่กำลังนั่งเย็บผ้าอย่างคล่องแคล่ว  “เด็กกลุ่มนั้นก็ฝึกเย็บเสื้อผ้าค่ะ”

มิเชลมองวงหน้าคมคายของอีกฝ่ายแล้วพิศดูอย่างแปลกตา  เขารู้สึกว่าความงามของหญิงสาวยังคงเต็มเปี่ยมหากแต่มีบางสิ่งที่แปลกไป  มิใช่เสื้อผ้าอาภรณ์ที่เคยคุ้นเพราะเขาชินกับเครื่องนุ่งห่มของสตรีชาวสยามแล้วและเห็นว่าช่างงดงามสมตัวกับหญิงสาวตรงหน้ายิ่งนัก

“รู้สึกว่าใบหน้าคุณแปลกไปนะครับ”  เขาเอ่ยอย่างไม่แน่ใจและยิ่งขมวดคิ้วจ้องมองจนเธอต้องหลบตาพลางยกมือขึ้นลูบผมที่เริ่มยาวเบาๆ

“ใช่จริงเสียด้วย”  เขาอุทานอย่างตื่นเต้น  “ผมของคุณ”

“มีสิ่งใดผิดปกติคะ” โชติเอ่ยอย่างไม่มั่นใจ

“ผมคุณเริ่มยาว  คุณมิได้ตัดผมหรือครับ”

“พุทโธ่  คิดว่าสิ่งไร”  หญิงสาวถอนหายใจออกมาอย่างขบขันที่เขามีท่าทีตื่นเต้นจนเกินเหตุ  “มิตัดมาสักพักแล้วค่ะ  ฉันจะลองไว้ผมยาวเพราะหากไปถึงเมืองฝรั่งเศสจะได้มิหนาวจนเกินไปนัก”

“ว่าอย่างไรนะครับ  คุณจะไปฝรั่งเศสหรือ”  สีหน้าเขาตื่นเต้นมากกว่าเดิมเมื่อเธอเฉลยเรื่องการเดินทางออกมา

“ค่ะ  เรื่องที่ในหลวงโปรดเกล้าฯ ให้คุณลุงไปเจรจาเรื่องดินแดนเขมรกับพระเจ้านโปเลียนที่ ๓ คุณป้าต้องติดตามไปด้วยท่าน จึงให้ฉันเดินทางไปด้วยกันค่ะ”  โชติสรุปคร่าวๆ ให้เขาฟัง

“ดีจริงนะครับ  ผมก็กำลังจะมาส่งข่าวว่าจะต้องกลับบ้านสักพักเพราะคุณพ่อคุณแม่เขียนจดหมายขอให้กลับไปเยี่ยม”  เขามิได้เล่าเรื่องราวที่ลึกลงไปกว่านั้นเพราะคิดว่าอย่างไรเสียเรื่องคนรักเก่ามิได้สลักสำคัญอันใด

“อันที่จริงฉันทั้งยินดี หากก็เกรงเหลือเกินเรื่องการเดินทางที่ยาวนานด้วยมิเคยจากบ้านไปไหนเลย”  เป็นครั้งแรกที่ชายหนุ่มเห็นแววตาประหม่าระคนวิตกกังวลของเธอ นั่นยิ่งทำให้มิเชลรู้แจ้งในใจตนว่าเขาพร้อมที่จะอยู่ข้างเธอเสมอตราบเท่าที่โชติต้องการ

“อย่ากังวลไปเลยครับ  การเดินทางยาวนานก็จริง แต่คุณจะได้เรียนรู้โลกกว้างเช่นที่คุณปรารถนามาตลอดแน่นอน”  เขาจำได้ดีเพราะหญิงสาวเคยเอ่ยปากว่าอยากเรียนรู้โลกที่ต่างจากบ้านเกิดเมืองนอนของตนมิใช่เพื่อทำตามอย่างหากแต่เพื่อจะได้ปรับตัวได้ดีเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม

“ค่ะ  ฉันคิดเห็นเช่นนั้นเป็นส่วนใหญ่แต่ในใจก็ยังอดหวั่นมิได้  จะบอกกับใครก็เกรงเขาจะหาว่ามิเก่งจริงเพราะที่ผ่านมาออกจะทำเก่งไปเสียทั่วน่ะค่ะ”  หญิงสาวนึกขันตัวเองไม่น้อยที่ถึงเวลากลับมาตกม้าตายเอาดื้อๆ ด้วยเรื่องนิดเดียว

“เป็นธรรมดานะครับ  ใครๆ ก็กลัว ที่สำคัญบ้านเมืองคุณแทบไม่มีผู้หญิงเดินทางไกลกันเท่าใดนัก”

“จริงค่ะ”  หญิงสาวมองหน้าเขาอย่างเปิดเผยเช่นเดียวกับที่ชายหนุ่มตรงหน้าจ้องมองเธออย่างชื่นชม

“เอาเป็นว่าขอให้คุณเดินทางอย่างปลอดภัย  แล้วเราจะพบกันที่บ้านเกิดของผมนะครับ”

“พบกันหรือคะ”  โชติขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ

“ใช่ครับ  เมื่อคุณไปถึงผมขออาสาพาคุณไปชมสถานที่ต่างๆ แลขอพาคุณไปพบกับครอบครัวของผม”  เขาบอกอย่างจริงใจ

“เกรงว่าจะไม่เหมาะนะคะ  ฉันมิได้ไปลำพังหากแต่ติดตามผู้ใหญ่ไปเรื่องงาน”

“เช่นนั้นผมขอเชิญผู้ใหญ่ของคุณไปผมกับครอบครัวของผมด้วย  เช่นนี้เหมาะหรือไม่ครับ”  เขาเอ่ยง่ายๆ ราวกับว่าเรื่องการพบผู้ใหญ่เป็นเรื่องธรรมดา  ตรงข้ามกับโชติที่หน้าแดงด้วยความเก้อที่จู่ๆ ชายหนุ่มก็เอ่ยเรื่องการพบปะระหว่างผู้ใหญ่  หากเพียงครู่หนึ่งเมื่อจังหวะหัวใจที่ดังระรัวลดระดับลงมาเป็นปกติ หญิงสาวจึงตระหนักว่าธรรมเนียมของเขาคงต่างจากสยาม  การไปพบเจอกันทั้งครอบครัวอาจมิได้มีนัยยะอื่นใดนอกจากเพียงมิตรภาพก็เป็นได้

“ผมจะได้แนะนำกับคุณพ่อคุณแม่ของผมว่า คุณคือหญิงสาวที่ผมพึงใจจะสานสัมพันธ์ในฐานะคนรัก”

ดูเหมือนว่าครานี้หัวใจที่ลดระดับของหญิงสาวจะกลับเต้นระรัวเร็วแรงกว่าเดิม  เลือดในกายก็คล้ายจะไหลเวียนพลุ่งพล่านจนเธอรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าวราวจะจับไข้  หญิงสาวทั้งเสมองไปทางในบ้านเผื่อว่าครูจะเดินออกมาหากก็ไม่มีวี่แววว่าเจ้าของบ้านจะมาสักนิด  เมื่อไม่เห็นมิสซิสเฮาส์ โชติจึงหันกลับมามองหนังสือบนโต๊ะที่อ่านค้างและวางไว้หมายมั่นว่าจะหยิบขึ้นมาอ่านแต่ดูเหมือนว่าไม่มีสิ่งใดเป็นใจเข้าข้างเธอเมื่อเด็กหญิงคนสนิทที่เดินไปหยิบของว่างแล้วกลับมาเอ่ยอย่างไม่รู้อีโหน่อีเหน่ให้หญิงสาวได้เก้ออีกคำรบหนึ่ง

“ตายแล้ว  พี่โชติเป็นอันใดฤาจ๊ะ  หน้าแดงเหลือเกิน  จับไข้หรือไม่  เดี๋ยวฉันไปตามครูนะจ๊ะ”  กลอยละล้าละลังหลังจากรีบวางถาดขนมแล้วเข้ามาจับตัวพี่สาวที่นับถืออย่างห่วงใย

“มิเป็นอันใดดอก”  โชติหยิบหนังสือมาทำท่าพัดไปมาทั้งที่ลมโชยมาเบาๆ พลางหันไปหากลอยแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเร่งเร้าอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“จะไปตามครูก็รีบเข้าเถิดแม่กลอย  ไวๆ เลยอย่าชักช้า”

หญิงสาวกำชับอย่างจริงจังโดยมิได้หันไปมองคนตรงหน้าที่กำลังส่งสายตาเป็นประกายมาที่เธออย่างเอ็นดูแกมขำในท่าทีเก้อเขินจนประหม่าอย่างชัดเจนเช่นนี้

เป็นครั้งแรกที่มิเชลแน่ใจว่าที่ผ่านเขาไม่ได้คิดเข้าข้างตนเองไปฝ่ายเดียว !

 



Don`t copy text!