นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
อากาศเย็นสบายยามค่ำหากแต่ในใจอันร้อนรนของเจ้าของเรือนผู้นั่งเคียงกันกับสามีดูมิได้เย็นสงบตามที่ควรเป็น เสียงฝีเท้าเบา ๆ แต่เดินอย่างรวดเร็วสะท้อนความมั่นใจของผู้กำลังย่างก้าวขึ้นมาบนเรือนได้เป็นอย่างดี
หญิงสาวผู้มีใบหน้าคมคายประพิมพ์ประพายคล้ายผู้นั่งรออยู่แต่ดวงตาที่ส่องแสงออกมานั้นมีประกายสุกสว่างราวกับทุกสิ่งที่ผ่านเข้ามาในห้วงอารมณ์ของหญิงสาวสะท้อนผ่านออกมาทางดวงตาที่งดงามคู่นี้อย่างมิอาจปิดบังได้
“กลับมาแล้วหรือแม่โชติ” เสียงบิดาที่นั่งนิ่ง ๆ มิได้มีทีท่ากังวลเอ่ยถามเรื่อย ๆ
“เจ้าค่ะคุณพ่อ” หญิงสาวสะบัดชายสไบสีกลีบบัวออกขณะทรุดตัวลงนั่งหน้าตั่งของบิดา ความจริงเรือนของหญิงสาวมีเครื่องเรือนแบบยุโรปตั้งเอาไว้มุมหนึ่งหากแต่มารดามิคุ้นเคยกับการนั่งเก้าอี้ เมื่อยามที่โชติและบิดาอยู่บ้านจึงนั่งตรงกลางเรือนเช่นนี้
“พ่อได้ฟังข่าวจากคุณป้าของลูกแล้วเรื่องที่ต้องติดตามท่านไปฝรั่งเศส” หลวงนรินทรราชเสนาเอ่ยเสียงเรียบอย่างรับรู้โดยไม่ได้ติดใจสงสัยหรือแม้แต่ทักท้วง
“คุณพ่อว่าอย่างไรบ้างเจ้าคะ” โชติรับน้ำล้างมือที่กลอยส่งมาให้ก่อนหยิบผ้ามาเช็ดมือแล้วส่งคืนอีกฝ่ายที่ส่งต่อให้บ่าวในบ้าน
“พ่อจะไปว่าอันใดในเมื่อคุณพี่จัดการเรียบร้อยแล้ว” เขาหมายถึงพี่สาวผู้เป็นคุณหญิงและภรรยาเอกของพระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์
“คุณป้าก็บอกลูกว่าคุณพ่อคงจะทราบเรื่องจากคุณลุงแล้ว”
“รู้จากใครก็เหมือนกันเพราะลูกต้องเดินทางไปถึงฝรั่งเศส” หลวงนรินทรราชเสนากล่าวจบก็ยกถ้วยน้ำชาลายครามลายนกเกาะกิ่งไม้ขึ้นดื่ม
“คุณพี่มิห่วงลูกเลยหรือคะ” มารดาของหญิงสาวผู้ซึ่งนั่งฟังการสนทนาอันปราศจากความอนาทรร้อนใจระหว่างสามีและบุตรสาวอดรนทนไม่ไหวจนต้องเอ่ยความในใจออกมา
“ลูกโตจนจะออกเรือนได้อยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็ออกจากเรือนไปทุกวัน” สามีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มและทอดสายตาอ่อนโยนราวปลอบประโลมแก่ภรรยาผู้กำลังวิตกเรื่องที่ยังไม่เกิดขึ้น
“คุณพี่คะ ลูกจะโตหรือเล็กก็คือลูกนะคะ” นางแสงบ่นพลางหากมือก็จัดของว่างเป็นระวิงส่งให้สามีอย่างเคยชิน
“ฉันก็มิได้บอกมิให้เป็นห่วง เพียงแต่อยากบอกว่าเรามิอาจห้ามสิ่งที่มันจะเกิดได้ ใช่หรือไม่แม่แสง” สายตาที่มองยังภรรยายังเปี่ยมด้วยความรักและเข้าใจเช่นเดิมไม่ต่างจากเมื่อเกือบยี่สิบปีที่แล้ว หากด้วยวัยที่เปลี่ยนไปทำให้อีกฝ่ายมีท่าทีนิ่งสุขุมมากขึ้น
“ใช่ค่ะ ตกลงทั้งพ่อทั้งลูกเห็นคล้อยตามกันไปหมดสินะ มีแค่แม่ที่กังวลเรื่องต่าง ๆ อยู่คนเดียว”
“เรื่องการเดินทางของลูกเราน่ะมิต้องกังวลดอกแม่แสง หากแต่เรื่องที่ควรต้องวิตกในครานี้เห็นจะเป็นเรื่องบ้านเมืองเสียมากกว่า” คุณหลวงพูดจบก็นิ่งไปครู่หนึ่งทำเอาใบหน้าของบุตรสาวสลดลงด้วยช่วงสองสามวันที่ผ่านมาหลังจากที่ได้พบมิเชลที่บ้านของครูหญิงสาวกลับมิได้คิดเรื่องใดมากนักนอกจากเรื่องที่เขาบอกจะไปพบกับเธอที่เมืองของเขาด้วย ดูเหมือนเรื่องต่าง ๆ ที่นอกเหนือจากการได้มีโอกาสเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลถึงฝรั่งเศสจะเลือนหายไปจากการรับรู้ชั่วขณะกระทั่งเมื่อครู่ที่คุณพ่อของเธอเอ่ยปากเรื่องการเจรจาความเมืองโชติจึงฉุกใจคิดถึงหมุดหมายสำคัญของการเดินทางในครั้งนี้
“จริงสินะเจ้าคะคุณพ่อ เรื่องนี้สำคัญนัก” โชติสบตากับบิดาอย่างหวั่นใจ
“คงมิเกินความสามารถของคุณลุงของลูกดอกแม่โชติ” บิดาของหญิงสาวกล่าวอย่างหนักแน่นหากแววตาก็คล้ายมีร่องรอยความกังวลซ้อนขึ้นมาครู่หนึ่ง
เพียงแค่เขามิได้เอ่ยออกมาให้คนในเรื่อนนี้รับรู้เท่านั้น
กระเป๋าเดินทางที่ตั้งตรงมุมห้องยังคงปิดสนิทเหมือนเช่นเคยเนื่องจากผู้เป็นเจ้าของยังไม่ได้เริ่มจัดการนำสัมภาระของตนใส่ลงไปในนั้นด้วยมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงกำหนดเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้าน
ในความคิดคำนึงของชายหนุ่มผู้กำลังนั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานมีเพียงคำว่า “เยี่ยมบ้าน” เท่านั้น เพราะเขาคาดว่าจะต้องเดินทางกลับมายังสยามอีกแน่นอน การเดินทางเพื่อกลับไปพบบิดามารดาในครั้งนี้จึงเป็นเพียงการกลับไปเยี่ยมท่านทั้งสอง เขาคิดจะนำของฝากจากสยามไปให้ท่านซึ่งชายหนุ่มได้ตระเตรียมไว้แล้ว ก่อนหน้านี้เขาไปสำรวจตามละแวกต่าง ๆ ในบางกอกที่แต่ละพื้นที่ต่างมีอัตลักษณ์เนื่องจากเป็นชุมชนของกลุ่มเชื้อชาติหลากหลายที่ตั้งรกรากอยู่ แม้ว่าคนในครอบครัวของเขาจะให้ความสำคัญกับงานศิลปวัตถุจำพวกงานปั้นแต่เขาเลือกงานท้องถิ่นประเภทงานจักสานเป็นของฝากเพราะมีน้ำหนักเบาและสวยแปลกตาดี
เสียงเรียกตรงหน้าประตูทำให้ชายหนุ่มละความสนใจจากความคิดในห้วงคำนึงแล้วลุกเดินมาเปิดประตูบานเฟี้ยมออกกว้าง
“คุณมิเชล เป็นเยี่ยงไรบ้าง ได้ยินว่าจะเดินทางกลับประเทศหรือขอรับ” เจ้าของห้องผู้ปล่อยเช่าให้เขาต่อเอ่ยถามด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
“เพียงแค่กลับไปเยี่ยมบ้านน่ะครับ ว่าแต่คุณจะช่วยเก็บห้องนี้ไว้ให้ต่อได้หรือไม่หากผมกลับมาในอีกไม่กี่เดือน”
“ไปหลายเดือนหรือขอรับ” นายฮกเดินเข้ามาภายในห้องเช่าที่จัดเป็นระเบียบเรียบร้อยแยกสัดส่วนชัดเจน เขาทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้รับรองที่มิเชลจัดวางไว้ด้านหน้าอย่างโดดเด่น ชุดโต๊ะไม้เนื้อแข็งจากยุโรปนี้เขาซื้อมาจากร้านหนึ่งในละแวกนี้ที่ขายสินค้านำเข้า มิเชลนั่งลงตรงข้างเจ้าของห้องพลางรินชาให้อีกฝ่ายอย่างเป็นกันเอง
“รวมเวลาเดินทางด้วยก็คาดว่าหลายเดือนครับ แต่ผมจะจ่ายค่าเช่าในเดือนที่ไม่อยู่ไว้ให้ด้วยนะครับ”
“มิต้องดอกขอรับ” ชายชาวจีนในชุดสากลแต่ตัดผมเยี่ยงชาวสยามกล่าวยิ้มแย้มอย่างคนใจดี แม้ทำการค้าขายยาจีนแต่เนื่องจากก่อนหน้านี้นายฮกเคยทำงานในห้างของนายหันแตรหรือฮันเตอร์มาก่อน เมื่อห้างของนายหันแตรปิดตัวลงเขาจึงไปทำงานอื่น ๆ กับพวกฝรั่ง และเก็บหอมรอมริบจนมาเช่าห้องตรงถนนเจริญกรุงเปิดกิจการของตนเอง
“มิได้ ผมเดินทางไปนานหากคุณปล่อยเช่าก็จะได้เงินนะ ผมเลยคิดว่าผมจ่ายเงินให้คุณเป็นค่าเช่าดีกว่า”
“เช่นนั้นคุณก็จ่ายมาเพียงกึ่งหนึ่งก็พอขอรับ คุณไม่ได้อยู่แต่จะจ่ายเงินเพื่อให้กระผมเก็บห้องไว้ให้ กระผมก็ขอรับเงินสำหรับเป็นค่าเก็บห้องไว้ให้เท่านั้นก็เพียงพอแล้วขอรับ” เขากล่าวอย่างยิ้มแย้มใจดี
“หากคุณต้องการเยี่ยงนั้นผมก็ขอบคุณมากครับ”
“แล้วจะออกเดินทางเมื่อใดเล่าขอรับ”
“อีกสามสัปดาห์ครับ”
“หลังจากคณะของราชทูตเดินทางไปเพียงไม่กี่วันน่ะสิ” นายฮกถามอย่างผู้รู้ความเป็นไปในเมืองนี้เพราะคลุกคลีกลับคนในวังที่มาซื้อหาหยูกยาที่ร้าน
“คุณทราบเรื่องด้วยหรือครับ”
“รู้สิ กระผมมีคนรู้จักเยอะนะขอรับ” เขาตอบกลั้วหัวเราะขณะยกชาขึ้นดื่ม “แลกระผมยังรู้จักกับคนในบ้านเจ้าสัวยิ้มอีกด้วย พวกเขาบอกว่าคณะราชทูตจะลงเรือเจ้าพระยาในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว นับเวลาก็ก่อนคุณออกเดินทางสามสี่วันกระมัง” นายฮกหมายถึงเรือกลไฟของเจ้าสัวยิ้มผู้มั่งคั่งเพราะมีกิจการมากมายและเป็นเจ้าของเรือกลไฟอันเป็นเรือโดยสารระหว่างสยามไปสิงคโปร์ด้วย
“เช่นนั้นเอง” มิเชลรู้สึกทึ่งที่ได้รู้ว่าบุคคลตรงหน้าผู้ซึ่งเขาคิดว่าเป็นชาวจีนซึ่งเป็นเพียงคนค้าขายธรรมดา หากแต่สายสัมพันธ์ของนายฮกนั้นไม่ธรรมดาเลยสักนิด “คุณนี่ช่างกว้างขวางยิ่งนัก”
อีกฝ่ายไม่ตอบอะไรหากแต่ยิ้มรับนิด ๆ และก้มศีรษะเช่นผู้ที่มีนิสัยถ่อมตน นายฮกมองไปรอบห้องที่ผู้เช่าจัดเป็นระเบียบสะอาดตาดี เขาพินิจใบหน้าชายหนุ่มเชื้อชาติตะวันตกตรงหน้าแล้วพบว่ามิเชลดูมีความสุขเพราะดวงตาเปล่งประกายฉายแสงสุกใส คงเป็นเพราะเขาได้พบกับหญิงที่พึงใจเป็นแน่
“คุณโชติมิค่อยได้มาแถวนี้นานแล้ว” นายฮกเปรยขึ้นเบา ๆ
“เธอคงกำลังเตรียมตัวเดินทาง”
“เธอจะไปที่ใดกัน” นายฮกสงสัย
“คุณมิรู้ดอกหรือ” มิเชลมองอีกฝ่ายอย่างฉงน “แสดงว่าเรื่องนี้ผมรู้มากกว่าคุณ” เขาบอกพลางยิ้มด้วยหัวใจพองโต
“เรื่องอันใดกัน”
“ก็เธอจะเดินทางไปกับคณะราชทูตอย่างไรเล่า” เขาพูดจบก็เว้นระยะช่วงหนึ่งก่อนอธิบายต่อไปด้วยใบหน้าวาดหวัง “ช่างประจวบเหมาะกับเวลาที่ผมกลับบ้านพอดี ผมจึงจะถือโอกาสพาเธอไปพบกับครอบครัวของผมด้วย”
“ดีจริงนะขอรับ ขอให้คุณโชคดี” นายฮกกล่าวอย่างจริงใจ คนต่างชาติในละแวกนี้ต่างคุ้นเคยกับหญิงสาวลูกขุนนางผู้นั้นเป็นอย่างดี เธอเป็นสตรีชาวสยามที่แตกต่างจากคนอื่น อาจเพราะได้ศึกษาเล่าเรียนภาษาอังกฤษซึ่งปกติแล้วจะมีเพียงสตรีในราชสำนัก แต่โชติได้เรียนกับมิสซิสเฮาส์ที่บ้านของหญิงอเมริกันผู้เป็นภรรยาของมิชชันนารีคือหมอเฮาส์ ทั้งยังรู้เรื่องเหตุการณ์ต่าง ๆ จากบิดาของเธอและการสนทนากับพ่อค้าต่างชาติในละแวกนี้สม่ำเสมอทำให้ทุกคนคุ้นเคยกับหญิงสาว เมื่อเห็นว่าระยะหลังมิเชลได้พาตนเองไปสนิทสนมกับเจ้าหล่อน บรรดาเพื่อนต่างชาติของมิเชลต่างเกรงว่าอาจเกิดปัญหาระหว่างเชื้อชาติแต่เมื่อเวลาผ่านไปกลับดูเหมือนหญิงสาวจะยิ่งสนิทสนมและตอบรับไมตรีของมิเชลจากการบอกเล่าของเจ้าตัวเองทำให้นายฮกรู้สึกยินดีกับทั้งสองยิ่งนัก
ริมน้ำแซนอันเป็นแม่น้ำสายหลักกลางมหานครอันยิ่งใหญ่แห่งนี้กำลังจะเปลี่ยนเป็นสถานที่จัดงานแสดงสินค้าต่าง ๆ จากหลายประเทศ สตรีนางหนึ่งกำลังยืนดูคนงานกำลังเตรียมขอเครื่องมือมาเพื่อสร้างศาลาของแต่ละประเทศเพื่อเป็นสถานที่อวดโฉมสินค้าอันแสดงอัตลักษณ์ของประเทศนั้น ๆ เธอดูช่างบอบบางจนไม่น่าเชื่อว่าสามารถมายืนอยู่ท่ามกลางสายลมแรงที่กำลังพัดอยู่ขณะนี้ได้ เบื้องหน้าของเธอเป็นลานกว้างซึ่งจะใช้เป็นที่จัดแสดงงานในปีนี้
“มาดามคะ กลับกันเถิดค่ะ ลมแรงเหลือเกิน”
“ยังมิกลับดอกมารี” เจ้าของร่างบอบบางเอ่ยอย่างเด็ดขาด “มิเห็นดอกรึว่าคุณพ่อกำลังควบคุมงานอย่างหนัก” เธอบอกอย่างจริงจัง “ฉันก็อยากจะมาดูว่าท่านจะกลับหรือยัง เป็นห่วงสุขภาพท่าน”
“เช่นนั้นฉันไปบอกให้คุณพ่อของมาดามเลิกงานตอนนี้ดีหรือไม่คะ” สาวใช้คนสนิทบอกอย่างเป็นห่วง
“มิต้องดอกมารี อ้อ แล้วต่อจากนี้เลิกเรียกฉันว่ามาดามได้แล้ว เรียกชื่อเช่นเดิมดีกว่า”
“เหตุใดเล่าคะมาดาม เอ้อ คุณเฟลอร์ ก็คุณเป็นมาดามของท่าน…”
“พอเถอะ สามีของฉันเสียไปหลายเดือนแล้ว ตอนนี้ฉันไม่ได้เป็นมาดามของใครแล้ว ฉันจะกลับไปอยู่บ้านกับคุณพ่อคุณแม่ เข้าใจหรือไม่มารี”
“เข้าใจค่ะ”
หญิงสาวคนสนิทตอบรับเสียงอ่อยแต่ยังคงไม่เข้าใจผู้เป็นนายอยู่ดีด้วยสถานะมาดามผู้มั่งคั่งของนายหญิงนั้นเป็นตำแหน่งที่มีแต่คนปรารถนา ยิ่งเมื่อนายผู้ชายเสียชีวิตลงนายหญิงของเธอจึงตกอยู่ในฐานะม่ายสาวผู้ร่ำรวยทันที มารีผู้อยู่กับมาดามมาตั้งแต่บ้านเดิมก่อนแต่งงานไม่เข้าใจว่าเหตุใดมาดามของเธอจึงอยากทำตัวเป็นสาวแรกรุ่นเยี่ยงที่เคยเป็นมา
หากมีเหตุผลเดียวที่พอจะนึกออกก็คือชายหนุ่มผู้เป็นอดีตคนรักที่บัดนี้ใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนอันไกลโพ้น แต่ทั้งคู่ก็ได้ขาดการติดต่อกันไปนานมากแล้ว
เว้นเพียงแต่ว่าในความคิดคำนึงของนายสาวของหล่อนอาจยังมีเขาอยู่ไม่เคยเปลี่ยน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ