นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
“เฟลอร์ เป็นอย่างไรบ้างลูก เบื่อหรือไม่” ชายวัยกลางคนร่างใหญ่ไว้เคราดกดำเดินมาหาบุตรสาวด้วยท่าทีใส่ใจแม้แววตาของเขากังขาอยู่ไม่น้อยว่าเหตุใดบุตรสาวเพียงคนเดียวถึงมาติดตามบิดาเช่นเขาราวกับว่าเธอเป็นสาวน้อยแรกรุ่นเมื่อหลายปีก่อน
“ไม่เบื่อค่ะคุณพ่อ ลูกเป็นห่วงเกรงว่าคุณพ่อจะเหนื่อยเกินไปด้วยโหมงานนี้มานานหลายเดือนแล้ว”
“นึกว่าเรื่องใด พ่อชินเสียแล้วลูก ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอก”
“ค่ะ ถึงอย่างนั้นก็อดห่วงเรื่องสุขภาพคุณพ่อไม่ได้” ผู้เป็นบุตรสาวส่งสายตาห่วงใยไปยังบิดาเต็มเปี่ยม ดวงตาสีฟ้ามีประกายลึกล้ำเกินคาดเดาแล้วจู่ ๆ เธอก็เอ่ยสิ่งที่บิดาไม่คาดคิดมาก่อน “เอาอย่างนี้ดีไหมคะ ลูกจะย้ายกลับไปอยู่บ้าน จะได้ไปดูแลคุณพ่อคุณแม่ด้วย” เธอไม่รอให้อีกฝ่ายตอบรับแต่เร่งเร้าด้วยน้ำเสียงกระตือรือร้นจนบิดาอดยิ้มออกมาไม่ได้ “ดีไหมคะ”
“พ่อมิขัดลูกหรอกนะแต่เกรงว่าลูกจะอึดอัดด้วยก่อนหน้านี้ใช้ชีวิตของตนเองมาหลายปีแล้ว” บิดาของเธอเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างเอ็นดู มีหรือเขาจะไม่รู้จิตใจของบุตรีว่าคิดเช่นไร การที่เธอครองตัวเป็นม่ายตั้งแต่ยังสาวนั้นอาจทำให้มีผู้ชายมากมายเข้ามาอีกในชีวิต แต่เขารู้ดีว่าเฟลอร์ยังคงรอคอยคนรักในอดีตที่คลาดคลากันไป เขาได้ข่าวว่าอีกฝ่ายเดินทางไปทางโลกตะวันออกโดยติดตามท่านโอบาเรต์ไปเพื่อมุ่งมั่นในงานเขียน มิเชลคงผิดหวังในความรักครานั้นยิ่งแต่จะทำอย่างไรได้ในเมื่อครอบครัวของเขาต้องการเกี่ยวดองกับผู้เป็นอดีตสามีของเฟลอร์เพื่อจะได้เสริมความมั่นคงในหน้าที่การงาน ทั้งฐานะอันมั่นคงของอีกฝ่ายยังช่วยให้เฟลอร์สบายไปตลอดชีวิตด้วย แม้ว่าครอบครัวของมิเชลมิได้ขัดสนทั้งยังมีสัมพันธ์อันดีกับคนในราชสำนักแต่ชายหนุ่มเช่นมิเชลไม่สามารถเชิดหน้าชูตาเฟลอร์ได้เพราะเขารักอิสระเกินไป ทั้งยังไม่มีความมุ่งมั่นก้าวหน้าในงานราชการแต่กลับมุ่งมั่นในงานเขียนที่ผ่านไปหลายปีกลับไม่ได้ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมาสักที การที่มิเชลผิดหวังในตัวเฟลอร์และต้องเดินทางข้ามซีกโลกไปนั้นก็คงเหมาะแล้วเพราะในสายตาผู้เป็นพ่อเช่นปิแอร์เขามิปรารถนาคนอ่อนแอเยี่ยงนั้นมาเกี่ยวดองกับบุตรสาวเพียงคนเดียวสักนิด
“ตราบเท่าที่ลูกเป็นสุข พ่อก็สบายใจแล้ว” เขาเอ่ยดักคอยิ้ม ๆ พลางหันไปสั่งคนสนิทให้ไปตรวจงานก่อสร้างศาลาญี่ปุ่นที่กำลังเริ่มลำเลียงวัสดุมาลงตรงจุดก่อสร้าง
เฟลอร์มองคนงานที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาขนของอย่างสนใจพลางเอ่ยถามบิดาไปเรื่อย ๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก
“ญี่ปุ่น” น้ำเสียงหวานกังวานเอ่ยช้า ๆ อย่างทบทวนชื่อประเทศที่เพิ่งเคยได้ยินมาเพียงไม่กี่ครั้ง “ประเทศนี้มาออกงานแสดงคราวนี้ด้วยหรือคะ”
“ใช่สิ ทางแถบตะวันออกมีทั้งจีน ญี่ปุ่น แลสยาม” เสียงเอ่ยชื่อประเทศที่สามนี้ทำเอาผู้เป็นบิดาถึงกับชะงักไปราวกับเพิ่งนึกรู้ต่อเมื่อหันไปมองหน้าบุตรสาวก็คิดว่าตนเองคงคาดไม่ผิดเป็นแน่ “พ่อขอโทษนะเฟลอร์”
“มิเป็นไรค่ะคุณพ่อ ลูกสบายดี”
เฟลอร์กระชับเสื้อคลุมให้แนบตัวมากขึ้นเพื่อกลบเกลื่อนท่าทีบางอย่างด้วยเข้าใจว่าอาจเบี่ยงเบนความสนใจจากบิดาได้ แต่หล่อนคิดผิดเพราะคนอย่างปิแอร์มิเคยคาดเดาสิ่งใดพลาด สีหน้าและแววตาของบุตรสาวอันเป็นที่รักจึงมิอาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
เรือนหลังใหญ่รายล้อมไปไม้ร่มครึ้มดูคึกคักด้วยผู้มาเยือนได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินขวักไขว่ เขามองหน้าบ่าวชายผู้นั่งอยู่ตรงลานด้านหน้าบ้านก่อนที่อีกฝ่ายจะแสดงสีหน้ารับรู้พลางขยับตัวเข้ามาใกล้ผู้มาเยือนอย่างรอฟังคำสั่ง
“ท่านเจ้าคุณอยู่เรือนหรือไม่ นายเจิม” แววตาฉายชัดถึงความร้อนใจ
“อยู่ขอรับ แต่วันนี้มีคนมาพบท่านมากโขขอรับ ประเดี๋ยวกระผมจะไปเรียนว่าคุณหลวงมานะขอรับ” เอ่ยยังไม่ทันจบเจ้าตัวก็รีบผละออกไปอย่างรวดเร็ว
เพียงไม่นานบ่าวชื่อก็เจิมกลับมาเรียนผู้มาเยือนให้เข้าไปพบเจ้านายของตนได้ เมื่อถึงห้องรับรองเรียบร้อยเจิมก็เดินหายไปเงียบ ๆ อย่างรู้หน้าที่
“ว่าอย่างไรคุณหลวง คงมิใช่ข่าวดีเป็นแน่ จริงหรือไม่” อีกฝ่ายคาดเดาจากสีหน้าของหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ก็นึกรู้ได้ถึงข่าวที่ไม่อยากได้ยิน ด้วยหลายวันมานี้พระยาสุรวงษ์ไวยวัฒน์มีงานรัดตัวเรื่องต้องเตรียมการเดินทางไปฝรั่งเศส เขามิได้เข้าวังแต่ให้ผู้ที่จะร่วมเดินทางไปด้วยมาหารือกันที่เรือนของเขา
“ขอรับ” คุณหลวงหนุ่มตอบรับพร้อมกับดวงตาที่แดงก่ำแสดงความช้ำชอกออกมาอย่างมิอาจปิดบังได้
“ยังมิมีใครแจ้งทางวังหลวง” เขาหยุดพูดแต่แววตาฉายความรู้สึกชัดเจน “กระผมเลยอาสามาแจ้งท่านเจ้าคุณด้วยตนเองขอรับ”
“ขอบใจนะ เอาละ รอประเดี๋ยวฉันจะได้ไปเข้าเฝ้าเสียวันนี้เลย” ผู้อาวุโสกว่าเอ่ยเสียงเรียบแววตาสะเทือนใจดุจเดียวกันกับอีกฝ่ายหากข่มใจลุกขึ้นแล้วเดินมาตบบ่าอีกฝ่ายเบา ๆ ก่อนจะเดินออกจากห้องเพื่อไปเปลี่ยนชุด “ยังมิต้องคิดการใดไปให้ยุ่งยากใจ คุณหลวงมีหลายเรื่องให้ต้องจัดการในยามนี้”
ท่านเจ้าคุณเอ่ยกับอีกฝ่ายด้วยน้ำเสียงมีเมตตาก่อนเดินออกไปด้วยความรวดเร็ว
ใต้ถุนด้านหน้าเรือนอันเป็นที่วางใบลานสำหรับขายให้ผู้ที่สั่งไว้ยังคงคึกคักเนื่องจากมีลูกค้ามารับของตามที่ได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้า หญิงสาวหน้าตาคมคายมีเหงื่อพรายกระจายทั่วหน้าที่เริ่มแดงจัดจากความร้อน แต่ท่าทีอันแข็งขันก็ทำให้บ่าวในบ้านที่กำลังมีสีหน้าเหน็ดเหนื่อยไม่กล้าหลบไปพักหากแต่ยิ่งเดินเข้าไปหยิบใบลานที่เตรียมไว้ออกมาวางเรียงให้ทันส่งลูกค้า
“แซม มิต้องเข้าไปยุ่งนะ มานี่เลย” เสียงของกลอยเด็กหญิงคนสนิทโชติร้องเตือนทันทีเมื่อเห็นแมวของหญิงสาวกำลังด้อม ๆ มอง ๆ กองใบลานอย่างหมายมาด เมื่อเห็นว่าเจ้าเหมียวไม่ฟังเพราะมันยังคงเดินไปใกล้ ๆ ใบลาน กลอยจึงอุ้มมันขึ้นมาแนบอกและไปนั่งเล่นตรงตั่ง
“กลอยนั่งอุ้มมันเอาไว้เยี่ยงนั้นดีแล้ว มันจะได้ไม่มากวนลูกค้า” โชติเห็นดีเห็นงามตามที่เด็กหญิงทำพลางอมยิ้มมองเจ้าเหมียวอย่างเอ็นดู “แซม อย่าซนเชียวนะ จะอดกินปลาทู”
“เมี้ยว” แมวดำแซมสีขาวดวงตาสีเหลืองสดใสมองมายังเจ้าของพลางส่งเสียงราวรับรู้ สร้างเสียงหัวเราะให้ผู้คนรอบข้างได้เป็นอย่างดี
“แม่โชติ” เสียงมารดาลอยมาแว่ว ๆ ก่อนปรากฏตัว โชติหันไปมองก็เห็นในดวงตาอีกฝ่ายมีน้ำตาคลอหน่วย มือของนางแสงถือกระดาษที่ก่อนหน้าคงพับเรียบร้อยดีหากตอนนี้อยู่ในสภาพที่เรียกว่ายับเกินคลี่กกลับไปให้เหมือนเดิมได้
“มีเหตุใดจ๊ะแม่” หญิงสาวผละจากงานตรงหน้าปล่อยให้บ่าวทำงานต่อแม้ผู้ที่ทยอยจอดเรือหน้าท่าน้ำบ้านยังคงมามิขาดสาย
“คุณจอมให้คนถือหนังสือมาบอกเมื่อครู่” โชติแจ้งใจในทันทีว่าเป็นเรื่องใดเมื่อมารดาเอ่ยถึงเจ้าจอมวาดในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าฯ หญิงสาวแทบทรุดนั่งลงไปกับพื้นตามมารดาที่ทรุดตัวใต้ต้นปีบอย่างไม่เกรงสายตาคนรอบข้างสักนิด “สวรรคตแล้วแม่โชติ”
มิมีคำใดหลุดออกจากปากหญิงสาว ยามนี้การจะเปล่งเสียงออกมายังยากเย็น โชติได้แต่กะพริบตาถี่ ๆ แล้วกลืนน้ำตาลงไปด้วยเกรงว่าจะกลายเป็นจุดสนใจหากทั้งมารดาและตัวหล่อนพาลแต่จะนั่งร้องไห้มิเป็นอันทำสิ่งใด
ชั่วครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าน้ำตาของมารดาเริ่มแห้งหายโชติจึงประคองอีกฝ่ายให้ลุกขึ้นเดินขึ้นเรือนไปพร้อมกัน โดยมีกลอยเดินอุ้มแมวตามมาอย่างสงบด้วยยังมิรู้เรื่องราวของผู้ใหญ่แต่กระนั้นเด็กหญิงก็สัมผัสได้ถึงความอาดูรในอารมณ์ของหญิงสาวและนางแสงผู้เป็นมารดา
“มิรู้ว่าคุณพ่อจะรู้เรื่องหรือยัง” มารดาของโชติเอ่ยเมื่อขึ้นเรือนแล้วพลางควานหายาดมในตะกร้าที่วางบนตั่ง “แม่จะเข้าวังหน้าสักหน่อย ไปอยู่กับคุณจอมสักพักจนกว่าเรื่องต่าง ๆ จะเข้าที่” นางแสงเอ่ยพลางน้ำตาไหล
“แม่ไปเถิดจ้ะ ฉันจะบอกคุณพ่อเองว่าแม่ไปอยู่ดูแลคุณจอม”
“คงอยู่หลายวัน เป็นห่วงคุณจอมน่ะ” มารดาของหญิงสาวเอายพลางซับน้ำตาไม่หยุด
“เกิดเรื่องแบบนี้ฉันคงไปอยู่เรือนคุณป้าสักพักนะจ๊ะแม่ มิรู้ว่าเรื่องการเดินทางจะมีกำหนดเดิมหรือไม่”
“ตายแล้ว แม่ลืมเรื่องนั้นเสียสนิททีเดียว นี่กำลังเตรียมคั่วมะพร้าวกับถั่วลิสงอยู่พอดี กะว่าจะทำพริกกะเกลือไปให้ลูกเพราะจิ้มได้ทั้งข้าวแลผลไม้” นางแสงเอ่ยอย่างกังวลและมีสีหน้าละล้าละลัง
“แค่พริกกะเกลือเอง ให้บ่าวทำก็ได้แม่มิต้องกังวลดอกจ้ะ หากทำมิได้ฉันให้บ่าวบ้านคุณป้าทำก็ได้จ้ะแม่”
“บ่าวบ้านนั้นจะรู้เรื่องรึ มิใช่อาหารที่เคยคุ้นกัน แต่เอาเถอะเดี๋ยวแม่กำชับแม่ลำเจียกให้ชิมรสให้ดีก็แล้วกัน” นางแสงหมายถึงแม่ครัวของบ้านที่รู้ใจกันดี
“จ้ะแม่ ป้าลำเจียกก็รู้รสชาติที่ฉันถูกปากอยู่ แม่มิต้องห่วงนะจ๊ะ”
“เช่นนั้นแม่ไปผลัดผ้าแลเตรียมตัวเก็บของก่อนนะเดี๋ยวจะได้เข้าวังบ่ายนี้เลย นี่ฝากบอกกับคนที่ถือหนังสือไปแล้วว่าจะเข้าไปวันนี้”
“จ้ะ เดี๋ยวฉันไปช่วยนะจ๊ะ”
โชติหันมองรอบกายก็พบว่าทุกอย่างยังดำเนินไปเหมือนเช่นเคยเป็น ท้องฟ้ายังคงมีแสงแดดเจิดจ้า ใบไม้ก็พัดไหวตามแรงลม เสียงสรรพสัตว์ก็ยังคงดังมากระทบโสตประสาทให้รับรู้ถึงการมีชีวิต แต่น่าแปลกที่ในใจของหญิงสาวที่เคยโลดแล่นเริงร่าราวกับจะทักทายทุกสิ่งบนโลกใบนี้กลับหม่นลงทันทีนับแต่ได้รู้ข่าวการสูญเสียอันใหญ่หลวง
ไม่น่าเชื่อว่าเพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือทุกสิ่งก็คล้ายจะดับสิ้นโดยพลัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ