นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
เรือนหลังใหญ่ย่านชุมชนคนญวนสามเสนดูเงียบเหงาอาจด้วยอารมณ์หม่นหมองในใจเจ้าของเรือนที่บัดนี้กลับมาแล้วแม้เพียงชั่วคราวก็ตาม เพียงก้าวเท้าขึ้นเรือนผู้มาเยือนก็รู้ถึงความอึมครึมที่ดูราวจะปกคลุมไปทั่วบริเวณ โชติเห็นบ่าวในเรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์กำลังเดินกันขวักไขว่ ต่างก็ก้มหน้าก้มตาไม่สบตาโชติแต่หญิงสาวเข้าใจด้วยทุกคนมิได้อยู่ในภาวะบ้านเมืองปกติ หญิงสาวเดินนำกลอยที่ก้าวเท้าเร็ว ๆ ตามมาติด ๆ ก่อนจะนั่งลงบนตั่งตัวหนึ่งใกล้แม่จันผู้เป็นภรรยาเจ้าของบ้าน
“ฉันไหว้ค่ะคุณน้า”
“จ้ะ แม่โชติ” โชติมองดวงหน้าที่เคยเปล่งปลั่งดูหมองลงคงเพราะข่าวสะเทือนใจที่ผู้เป็นสามีถ่ายทอดให้ได้เธอได้รับรู้
“ฉันมาเยี่ยมคุณน้าก่อนจะไปบ้านคุณป้าแลอีกไม่กี่วันต้องเดินทางไปไกลถึงฝรั่งเศส”
“จ้ะ ขอบใจนะแม่โชติ นี่คุณพี่เพิ่งมาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า อีกประเดี๋ยวคงกลับเข้าวัง” จันพูดพลางเหลียวมองรอบกายอย่างหดหู่ ทุกสิ่งทุกอย่างในเรือนยังเหมือนเดิมมิมีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงทั้งข้าวของและผุ้คน แต่เหตุใดใจของเธอกลับรู้สึกราวจะขาดรอน ๆ คล้ายกับว่าเจ้าตัวกับกำลังยืนอยู่บนผาสูงแล้วมองลงมาด้านล่าง ไร้ที่ยึดเหนี่ยวและไร้สิ้นเรี่ยวแรง
“คุณน้าเป็นเยี่ยงไรบ้าง แม่เพ็ญเล่าคะ” โชติเหลียวมองไปไม่พบเด็กหญิงก็ถามหาอย่างคิดถึง
“ไปอยู่ที่เรือนคุณตาน่ะ ที่นี่วุ่นวายเกรงจะตกใจ เดี๋ยวฉันก็คงไปค้างที่นั่นจนกว่าจะเสร็จเรื่อง”
“คุณน้าทราบหรือไม่คะว่าต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร” โชติเลียบเคียงถาม
“คงต้องรอกำหนดงานพิธีจากวังหลวงน่ะจ้ะ เดี๋ยวแม่โชติไปบ้านคุณป้าคงพอได้ยินข่าวคราวบ้าง”
“แต่คุณลุงก็จะต้องเดินทางไปฝรั่งเศส คงไม่ได้ดูแลในส่วนงานพิธีหรอกค่ะ”
“ถึงอย่างไรก็ต้องทราบข่าวเป็นแน่ งานใหญ่ขนาดนี้กว่าจะเตรียมการน้าว่าอีกหลายเดือน อาจหลังจากที่คณะทูตกลับมาก็เป็นได้” จันออกความเห็น
“จริงด้วยค่ะ พระองค์เป็นกษัตริย์อีกพระองค์หนึ่ง ในหลวงคงโปรดเกล้าฯ ให้จัดพระราชพิธีอย่างสมพระเกียรตินะคะ”
“จ้ะ น้าเป็นห่วงคุณน้าผู้ชายของเธอยิ่งนักแม่โชติ” จันเอ่ยเสียงเศร้าพลางถอนหายใจ “คุณพี่รักและเทิดทูนพระองค์ยิ่งนัก สิ้นเจ้านายแล้วไม่รู้ว่าจะเป็นเยี่ยงไรต่อไป”
“คงมิมีอันใดเปลี่ยนแปลงนักดอกค่ะ คุณหลวงท่านเป็นคนมีความสามารถก็คงอยู่ในราชการต่อไปได้”
“ใครจะรู้ล่ะจ๊ะ ตอนนี้ได้ยินว่าบรรดาคุณจอมก็เตรียมตัวย้ายออกกันบ้างแล้ว”
โชติพยักหน้ารับรู้อย่างเข้าใจด้วยแม่ของเธอก็รีบเข้าไปวังหน้าเพื่ออยู่เป็นเพื่อนเจ้าจอมวาดด้วยคงเป็นห่วงเพื่อนในวัยเยาว์นั่นเอง
“ค่ะ”
“คุณพี่ แม่โชติมาเยี่ยมค่ะ” จันหันไปมองสามีที่เดินออกมาจากหอนอน ใบหน้าหลวงภูบดินทร์พิทักษ์ดูผิดตาไปจากเดิมมาก ดวงตาดำคมประกายคู่เดิมยามนี้เปลี่ยนเป็นแห้งผากและไร้ความเจิดจ้า
“ไหว้คุณหลวงค่ะ” โชติพนมมือทำความเคารพอีกฝ่าย
“แม่โชติ มาหาแม่จันฤา”
“ค่ะ อีกสักครู่ฉันจะไปบ้านคุณป้าค่ะ”
“ฉันเพิ่งแยกกับท่านเจ้าคุณไม่นาน” เขาหมายถึงพระยาสรุวงษ์ไวยวัฒน์ผู้เป็นลุงเขยของหญิงสาว “แวะมาที่บ้านเพื่อบอกให้แม่จันไปอยู่กับพ่อเพราะฉันคงไม่ได้ออกมาอีกนาน กว่าจะเสร็จงานช่วงแรก…”
เขาพูดไม่จบเพราะคล้ายคำสุดท้ายจะกลืนหายไปในลำคอ โชติสังเกตเห็นเส้นเลือดนูนตรงขมับและน้ำเสียงที่เปลี่ยนไปราวกับผู้พูดกำลังใช้ความพยายามอย่างมากเพื่อให้แต่ละคำผ่านพ้นริมฝีปากออกมาได้
“คุณพี่จะให้น้องไปตามแม่เพ็ญมาหรือไม่คะ” จันเอ่ยถามสามีเสียงห่วงใย เธอรู้สึกว่าตอนนี้บุตรสาวดูจะเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวเดียวที่ทำให้เขาดูกระตือรือร้นในการดำเนินชีวิตต่อไป
“มิต้องดอก เดี๋ยวฉันจะเดินไปหาลูกเอง” เรือนของพ่อตากับเรือนของเขาไม่ไกลกันนัก เขาคิดว่าจะไปหาลูกก่อนต้องเข้าไปในวังหน้าเพื่อจัดการเรื่องพิธีการอีกหลายวันซึ่งนั่นทำให้เขาจะไม่ได้พบหน้าครอบครัวเลย
“เช่นนั้นน้องเก็บของอีกนิดหน่อยก็จะไปบ้านพ่อเลยนะคะ” แม่จันบอกสามีเสียงเรียบ ๆ
“ดีแล้ว อยู่ที่นี่ก็มีแต่ผู้หญิง” เขาเอ่ยสั้น ๆ อย่างไม่ต้องการอธิบายมากนักแต่ในใจเป็นห่วงลึกล้ำ
“แม่โชติ อยู่เป็นเพื่อนแม่จันอีกครู่หนึ่งได้หรือไม่” เขามองใบหน้าภรรยาที่ดูซูบเซียวอย่างเป็นห่วงแต่ด้วยหน้าที่ก็ไม่สามารถอยู่กับเธอได้นานนัก
“ได้ค่ะ มิต้องเป็นห่วงคุณน้าจันนะคะ ฉันกับแม่กลอยจะเดินไปส่งที่เรือนโน้นก็ได้”
“มิรบกวนถึงเช่นนั้นดอกจ้ะแม่โชติ เธอต้องไปเรือนท่านเจ้าคุณฟากโน้น อย่าชักช้าเลยเดี๋ยวจะมืด อีกสักประเดี๋ยวฉันก็เตรียมตัวเสร็จแล้ว ถ้าขาดเหลืออะไรก็ไม่ลำบากดอกให้บ่าวกลับมาเอาของอีกก็ได้”
“เช่นนั้นก็แล้วแต่คุณน้าเถิดค่ะ ฉันไม่มีปัญหา” โชติบอกให้อีกฝ่ายสบายใจพลางหันไปไหว้คุณหลวงอีกครั้งเมื่อเขาทำท่าผละจากภรรยาเพื่อจะลงเรือน ฝ่ายแม่จันนั้นลุกขึ้นไปส่งผู้เป็นสามีตรงบันไดก่อนอีกฝ่ายลงเรือนไปด้วยสีหน้าที่ยังเต็มไปด้วยความหมองเศร้าที่มองไม่เห็นหนทางบรรเทาเบาบางลง คงมีเพียงเวลาเท่านั้นที่อาจเจือจางความรู้สึกในห้วงทุกข์ให้ผ่านพ้นไป
“เห็นหน้าคุณหลวงแล้วฉันมิกล้าถามเรื่องใดเลยค่ะคุณน้า” โชติเอ่ยเสียงสั่นเครืออย่างเศร้าใจไม่แพ้กัน
“นั่นแหละแม่โชติ ฉันก็มิรู้จะทำเยี่ยงไรเช่นกัน คุณพี่รักและเทิดทูนเจ้านายมากเหลือเกิน เมื่อพระองค์เสด็จจากไปแล้วคุณพี่คงยังสับสนแลจับต้นชนปลายมิถูก แต่ภาระหน้าที่ตรงหน้าก็มิอาจละทิ้งได้เช่นกัน”
“ค่ะ ฉันพอจะเข้าใจ คุณน้าก็อย่ากังวลเรื่องคุณหลวงมากนะคะ ดูแลตัวเองด้วยนะคะ ไหนจะแม่เพ็ญอีก”
“สิ่งที่ฉันห่วงตอนนี้มีแค่คุณพี่แลแม่เพ็ญเท่านั้น หากเป็นเป็นอะไรไปแม่โชติช่วยดูแม่เพ็ญด้วยนะ” จันเอ่ยเสียงเศร้าแต่ไม่มีวี่แววความตระหนกตกใจในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
“คุณน้า พูดสิ่งใดออกมากันคะ” โชติเป็นฝ่ายตกใจและคาดไม่ถึงว่าจันจะเอ่ยเรื่องความเป็นความเป็นความตายของตนเองในเวลาเช่นนี้
“มันเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อถึงเวลาฉันก็ต้องไปอยู่กับพระเจ้า” จันเอ่ยอย่างผู้เข้าใจในโลกด้วยเวลาเพียงไม่นานที่ร่างกายเจ็บป่วยทำให้เธอเข้าใจถึงความเสื่อมถอยของร่างกายที่ไม่จีรัง
“คุณน้ามิเป็นอะไรดอกค่ะ แค่ร่างกายอ่อนเพลียจากการคลอดแม่เพ็ญ อีกไม่นานก็หายนะคะ” โชติพูดให้กำลังใจอีกฝ่ายในขณะที่ใจตนเองนั้นอ่อนยวบอย่างใจหายบอกไม่ถูก
“ฉันก็หวังเช่นนั้นนะแม่โชติ” อีกฝ่ายพูดจบก็ขอตัวลุกไปเก็บของในห้อง คล้อยหลังเจ้าของเรือนฝ่ายหญิงโชติหันไปมองกลอยที่นั่งเงียบ ๆ ด้านหลังเธออย่างกังวลใจ สีหน้าและแววตาของกลอยที่ยังเป็นเด็กแต่ก็สามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความลำบากใจของผู้ใหญ่หลายคนตรงหน้าได้ดี กลอยมองพี่โชติของหล่อนด้วยความเป็นห่วง เพราะอีกไม่กี่วันพี่โชติต้องลงเรือข้ามน้ำข้ามทะเลไปไกลเหลือเกิน ด้วยระยะทางที่ไกลนั้นกลอยไม่แน่ใจว่าเพลาข้างหน้าอีกหลายเดือนหากโชติกลับมาจะมีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นขนาดพลิกอารมณ์ความรู้สึกของคนมากมายอีกหรือไม่
และหากเกิดขึ้นพี่โชติของเธอจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงได้อีกมากน้อยเพียงใด
ท่าเรือสำหรับลงเรือกลไฟชื่อเจ้าพระยาของเจ้าสัวยิ้มหนาตาไปด้วยชาวต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ มีเพียงญาติบรรดาขุนนางผู้ติดตามท่านเจ้าคุณไปเมืองฝรั่งเศสเท่านั้นที่เป็นชาวสยาม ในบรรดาคนเหล่านั้นรวมถึงบิดามารดาของโชติด้วย นางแสงออกมาจากวังหน้าทั้งที่ยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ นางพยายามประคองสติและสีหน้าให้เป็นปกติแม้ในใจระส่ำระสายคล้ายกับว่าใครกำลังตีกลองระรัวตลอดเวลา เมื่อเอ่ยร่ำลาบุตรสาวใบหน้าของมารดาจึงดูฝืนให้แช่มชื่นจนคุณหญิงอ่วมผู้เป็นพี่สาวของสามีอดไม่ได้ที่จะเป็นห่วง
“แม่แสง ดูแลตัวเองดี ๆ เถิด อย่าให้ลูกหล่อนต้องเป็นกังวลเลย”
“ฉันสิคะคุณพี่ที่ต้องเป็นกังวล ลูกเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลไปตั้งไกล” นางแสงกล่าวพลางยกผ้าขึ้นซับน้ำที่เอ่อตรงหางตา
“ท่านเจ้าคุณก็เคยไปถึงที่นั่นจนกลับมาแล้ว หล่อนจะห่วงกังวลเรื่องใด การเดินทางแม้จะนานแต่ก็มิได้ลำบากมากนักดอกแม่แสง ฉันแก่ออกปานนี้ยังมิกลัวอันใดเลย” ท้ายประโยคของคุณหญิงเริ่มจะอ่อนลงด้วยเข้าใจความห่วงใยของมารดาที่มีต่อบุตร
“ก็จริงค่ะ” มารดาของโชติพยักหน้าคล้อยตามพี่สาวของสามีที่พูดเตือนสติจนเธอหยุดสะอึกสะอื้น
“แม่มิต้องห่วงฉันนะจ๊ะ อีกไม่กี่เดือนก็กลับมาแล้ว เพลาเดินเร็วจนแม่อาจไม่ทันคิดถึงฉันก็ได้” โชติเอ่ยยิ้มแย้มแม้ในใจรู้สึกกังวลเช่นกัน เมื่อวานนี้ก่อนกลับจากเรือนหลวงภูบดินทร์พิทักษ์หญิงสาวรู้สึกใจคอไม่ดีที่คุณน้าจันพูดเหมือนเป็นลาง “ฉันฝากแม่ไปเยี่ยมแม่เพ็ญกับคุณน้าด้วยนะจ๊ะ” โชติกระซิบข้างหูมารดาเบา ๆ เมื่ออีกฝ่ายสวมกอดร่ำลาก่อนจะหันมามองบิดาที่ยืนอยู่ข้าง ๆ แววตาที่ทอดมองมายังโชตินั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นเหมือนเคย
“ไปดีมาดีนะลูก ดูแลคุณป้าดี ๆ ล่ะ ส่วนทางนี้พ่อจะดูแม่ให้เอง มิต้องห่วง” เขากล่าวพร้อมยกมือโอบบ่าภรรยาไว้
“เจ้าค่ะ เช่นนั้นลูกลานะคะ คุณพ่อดูแลตัวเองด้วยนะคะ” หญิงสาวไหว้ลาบิดาพลางหันไปทางมารดาเพื่อร่ำลา “แม่จ๊ะฉันไปนะ กลอย พี่ไปละ ดูแลแม่พี่ด้วยนะ” โชติไหว้มารดาและกล่าวกับเด็กหญิงที่เธอเอ็นดูเหมือน้องสาวก่อนจะหันหลังก้าวตามคุณหญิงผู้เป็นป้าเพื่อไปขึ้นเรือโดยสาร
เมื่อเรือกลไฟเจ้าพระยาออกเดินทางหญิงสาวยังมองมาที่ครอบครัวอย่างไม่อยากกะพริบตาด้วยกลัวว่าภาพนี้จะหายไป แต่ความจริงอันมิอาจหลีกหนีก็คือภาพที่ชัดเจนกระจ่างตานั้นค่อย ๆ ไกลออกไปเรื่อย ๆ จนหญิงสาวต้องปล่อยในภาพบิดามารดาในคลองจักษุเลือนไปตามระยะทางที่ห่างจนพ้นไปในที่สุด
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ