นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
กลิ่นเนยอบอวลไปทั่วบ้านเมื่อชายหนุ่มถือกระเป๋าเดินทางคู่ใจเข้ามาในห้องโถงชั้นล่างที่บนโต๊ะมีชุดน้ำชาวางอยู่ราวกับรู้เวลากลับบ้านของเขาล่วงหน้า แต่ก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะเขาเขียนจดหมายแจ้งมารดามาแล้วว่าจะมาถึงวันนี้ เพียงแค่เขาไม่ได้คาดคิดว่าคนทางบ้านจะเตรียมต้อนรับเป็นพิเศษเช่นนี้
เสียงฝีเท้าที่ก้าวเดินออกมาจากด้านในพร้อมกับกลิ่นขนมที่คงเพิ่งอบเสร็จจนส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วในตอนนี้
“มิเชล มาแล้วหรือลูก”
เสียงเนิบช้าของมารดาที่ส่งมาพร้อมประกายตาแห่งความยินดีในดวงตาคู่ที่เขาเคยคุ้น เบื้องหลังคือสาวใช้ที่มีรอยยิ้มเปื้อนหน้ากันทั้งสองคน เมื่อเห็นเจ้าของบ้านกำลังสนทนากับบุตรชายเพียงคนเดียวที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากประเทศทางตะวันออกอันไกลโพ้นซึ่งสองสาวไม่เคยรู้จักมาก่อนกระทั่งคราวที่ได้ยินคุณมิเชลพูดว่าจะออกเดินทางไปกับท่านโอบาเรต์ จากนั้นเมื่อบุตรชายคนเดียวออกเดินทางไปใช้ชีิวิตที่ต่างแดนสองสาวก็แทบไม่ได้ยินมาดามพูดถึงบุตรชายเท่าใด กระทั่งเมื่อสัปดาห์ก่อนที่คนในบ้านได้รับคำสั่งให้จัดห้องนอนและเตรียมจัดเครื่องเรือนใหม่ รวมทั้งเตรียมรายการอาหารที่คุณมิเชลชอบด้วยหวังว่าการต้อนรับในคราวนี้จะเป็นการต้อนรับกลับบ้านอย่างถาวร
“คุณแม่สบายดีนะครับ” มิเชลทักทายมารดาด้วยกิริยาอ่อนโยนด้วยการเอาแก้มของเขาแนบกับแก้มมารดาและจุมพิตที่แก้มของนางอย่างคิดถึง
“จ้ะ ลูกเป็นอย่างไรบ้าง ดูคล้ำลงนะแต่ก็สดใสดี”
“ผมสบายดี ชีวิตที่บางกอกแม้ไม่สะดวกสบายนักแต่อาหารการกินรสชาติดีแลผู้คนเป็นมิตรมากครับ” เขาเอ่ยเสียงสดใสแววตาเป็นประกายด้วยว่าใจไพล่ไปคิดถึงความเป็นมิตรของคนที่สยามที่มิได้ราบรื่นลงตัวนักในตอนแรก แต่นั่นกลับเป็นความทรงจำที่มีค่าและตราตรึงอยู่ในใจของเขาเสมอมา
“เป็นเช่นนั้นเอง แม่ดีใจที่ลูกใช้ชีิวิตได้เป็นอย่างดี ไม่ได้ให้อดีตมามีอิทธิพลต่อตัวเรา” มารดาของเขากล่าวอย่างมีนัยยะด้วยเป็นที่รู้กันดีถึงเหตุผลที่เขาตัดสินใจจากไป ไม่มีใครค้านแม้ไม่ได้สนับสนุนแต่คนที่บ้านก็ให้เกียรติเขาในการตัดสินใจเสมอ
“ครับ เรื่องที่ผ่านไปแล้วผมไม่ได้เก็บมาคิดอีกต่อไป”
“ดีแล้วล่ะลูก” มารดาเขากล่าวขณะรินน้ำชาและเลื่อนให้ชายหนุ่ม “เพราะเย็นนี้บ้านเมอสิเออร์เลอกร็องด์จะมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับลูกด้วย”
“ครับ”
มิเชลรับคำพลางหยิบบิสกิตเนยที่เพิ่งอบเสร็จจุ่มลงในแก้วน้ำชาแล้วยกขึ้นกัดพอคำอย่างเอร็ดอร่อย “ฝีมืออบขนมของคุณแม่ยังเป็นที่หนึ่งเสมอ ลูกคิดถึงรสชาตินี้ยิ่งนัก” เขาเอ่ยยิ้ม ๆ อย่างชื่นชม แต่เพียงเสี้ยวนาทีถัดมาเขากลับรู้สึกว่ารสเนยหอม ๆ ที่เขากำลังละเลียดในปากขาดอรรถรสไปทันทีเพราะคำพูดของมารดา
“เฟลอร์ก็มาด้วยนะลูก ลูกคงรู้แล้วใช่หรือไม่ว่าสามีของเฟลอร์เสียแล้ว”
มารดาเลียบเคียงถามเสียงอึดอัดเกรงใจอย่างรู้นิสัยลูกชายดีว่าเป็นคนลืมยาก แม้มิเชลอาจไม่ได้รักเฟลอร์แล้ว แต่อย่างไรเสียเขาไม่มีทางที่จะเป็นมิตรกับฝ่ายนั้นอย่างสนิทใจดังเดิมแน่นอน
“หรือครับ มาดามลาวาลคงจะสบายดี”
มิเชลเอ่ยนามของอีกฝ่ายอย่างเป็นทางการเนื่องจากเฟลอร์สมรสกับเมอสิเออร์ลาวาลแล้ว เขาคิดว่าเรียกเช่นนี้เป็นการให้เกียรติอีกฝ่ายและเหมาะสมกว่าการเรียกเพียงชื่อเช่นเมื่อหลายปีก่อน เขามีสีหน้าเป็นปกติเมื่อเอ่ยถึงฝ่ายนั้นราวกับถามถึงคนรู้จักสักคนที่เขาไม่เคยคุ้นมาก่อน จากนั้นชายหนุ่มก็เอื้อมมือไปเลื่อนถาดขนมฟาร์เบรอตง (Far Breton) ที่เขาชอบมาตัดแบ่งให้มารดาราวกับไร้เรื่องขุ่นข้องหมองใจมาก่อน
“จ้ะ แม่คิดว่าคงเป็นอย่างนั้น เมื่อหลายวันก่อนเฟลอร์ก็มาพบแม่และมาถามเรื่องของลูกเสียมากมาย แต่เม่ก็ไม่ได้เล่าเรื่องของลูกให้เจ้าหล่อนฟังมากนักดอก เพราะเฟลอร์ได้ส่งจดหมายไปถึงลูกที่สยามแล้ว แม่เพียงแต่คุยไปตามมารยาทเท่านั้น” มารดาออกตัว
“คุณแม่กับคุณพ่อยังต้องพบกับทางบ้านนั้นแลคบหากันต่อไป อย่าได้ทำสิ่งใดให้พวกเขารู้สึกเคืองใจดีกว่าครับ เรื่องของผมกับมาดามลาวาลผ่านมานานแล้ว อย่าให้สองครอบครัวต้องมองหน้ากันไม่ติดอีกต่อไปเลย หากเขาดีมาเราก็แค่ดีกลับไปเท่านั้นเอง”
“จริงเช่นที่ลูกบอก เพราะตอนนี้ปิแอร์เข้าไปดูแลการจัดการแสดงสินค้าที่มีนานาประเทศมาแสดง เขาออกจะเป็นคนที่มีอิทธิพลมากในราชสำนัก” มารดาของชายหนุ่มออกตัวทำให้ผู้เป็นบุตรชายคาดเดาเรื่องราวได้โดยพลัน
“คุณพ่อคงต้องพึ่งพาเขา ใช่หรือไม่ครับ” มิเชลตักขนมฟาร์เข้าปากเป็นชิ้นสุดท้ายก่อนเอื้อมไปหยิบขนมอีกถาดมาแบ่งใส่จาน ระหว่างนี้มารดาของเขารินชาเพิ่มให้อย่างกระตือรือร้นด้วยยินดีที่เห็นเขาชิมขนมทุกชนิดที่เธอเตรียมไว้ด้วยความตั้งใจ
“จ้ะ คุณพ่อกำลังเตรียมทำพิพิธภัณฑ์ ท่านอยากให้ทางราชสำนักสนับสนุนโดยนำสิ่งของที่ได้มาจากประเทศต่าง ๆ มาแสดงด้วย”
“ซึ่งควรมีผู้แนะนำให้เข้าเฝ้าสมเด็จพระจักรพรรดิราชสำนัก คุณพ่อคงอยากให้คุณลุงปิแอร์พาเข้าเฝ้าสินะครับ” มิเชลพูดจบก็ตักแซงต์ ออนอเรต์ (Saint Honoré) ขนมอีกชนิดที่เขาชื่นชอบรับประทานอย่างเอร็ดอร่อยก่อนจะหยิบแก้วกระเบื้องเนื้อดีลายดอกไม้สีหวานขึ้นดื่มพลันหวนนึกถึงวันหนึ่งบนถนนเจริญกรุงที่เขาและโชติได้พบกันเป็นครั้งที่สอง หากแต่กลับไม่ได้เป็นการพบกันที่จบลงด้วยดีเท่าใด แต่กระนั้นเขากลับยังจดจำได้ดีจนเผลอยิ้มออกมา
“ยิ้มอะไรลูก เรื่องที่คุณพ่อจะต้องขอความช่วยเหลือจากปิแอร์อย่างนั้นหรือ”
“หามิได้คุณแม่ ผมคิดเรื่องอื่นขึ้นมาน่ะครับ”
“คงเป็นเรื่องคนทางสยามสินะ”
มารดาของเขาเดาใจบุตรชายได้ ด้วยมิเชลมีแววตาที่เปลี่ยนไป จากชายหนุ่มที่มีแต่ความอ่อนไหวในแววตากลับกลายเป็นแทนที่ด้วยความนิ่งสุขุมมากขึ้น ความมั่นคงทางอารมณ์ที่ฉายชัดออกมานั้นทำให้เอแลนผู้เป็นแม่ยินดีไปด้วย
“คุณแม่รู้ได้อย่างไรครับ” สีหน้าของชายหนุ่มแสดงออกว่าแปลกใจอย่างชัดเจนขณะที่เขาวางช้อนที่ตักขนมลงในจานกระเบื้องเนื้อบางลวดลายเข้าชุดกันกับแก้วชา
“แม่เป็นแม่นะจ๊ะ เอาเป็นว่าแม่จะไม่ถามในตอนนี้ว่าหญิงผู้นั้นเป็นใคร แต่อยากให้ลูกไตร่ตรองให้ดีก่อนที่จะเล่าเรื่องของเจ้าหล่อนให้พ่อกับแม่ฟังพร้อมกันเมื่อถึงเวลาจ้ะ”
เอแลนตอบกลับยิ้ม ๆ แม้แววตาและน้ำเสียงที่แสดงออกต่อบุตรชายดูสงบเยือกเย็นแต่ภายในใจของหญิงกลางคนผู้มีใบหน้างดงามสมวัยกลับเต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้หากมิได้เกินความคาดหมายเท่าใดนัก เพราะมิเชลเป็นคนอ่อนโยนและมองเห็นความงดงามกับสิ่งรอบกายได้ง่าย และนั่นคงเป็นเหตุผลให้เขาสามารถตกหลุมรักในมนต์สเน่ห์แห่งเมืองทางตะวันออกรวมถึงผู้คนที่นั่นได้อย่างไม่ยากเย็น
“ครับ คุณแม่”
มิเชลตอบรับคำมารดาพลางเหม่อมองไปทางริมกระจกหน้าต่างที่ด้านนอกเป็นที่ตั้งของสวนดอกไม้เล็ก ๆ สีเขียวช่วยคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินทางได้เป็นอย่างดี แม้ว่าเขาแสดงท่าทีเป็นปกติเมื่อได้ยินความประสงค์ของมารดาแต่มิเชลก็มิได้อ่อนเดียงสาจนไม่รู้ว่าสิ่งที่อีกฝ่ายเอกออกมานั้นไร้ความสลักสำคัญ
แม้สยามเป็นที่รู้จักจากในสื่อหนังสือพิมพ์มาสักระยะแต่ในสายตาของบิดามารดาของเขาก็ยังเป็นประเทศที่ฝรั่งเศสคบค้าเพื่อต้องการหาผลประโยชน์และแน่นอนว่าผู้เสียผลประโยชน์ย่อมต้องไม่ใช่ประเทศของเขา เช่นนั้นการรับรู้ของมารดาจึงชัดเจนว่าอย่างไรเสียประเทศเล็ก ๆ ที่บุตรชายเพิ่งเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลกลับมานั้นย่อมต้องอยู่คนละระดับกับฝรั่งเศสเป็นแน่
แสงไฟจากเชิงเทียนในห้องรับประทานอาหารดูจะช่วยพรางริ้วรอยต่าง ๆ บนใบหน้าของสุภาพสตรีหลายคนที่นั่งเรียงรายอยู่หน้าโต๊ะรับประทานอาหารขนาดสามสิบที่นั่ง เมอร์สิเออร์และมาดามเลอ กอฟฟ์ผู้เป็นเข้าของบ้านยิ้มแย้มทักทายเหล่าบรรดาญาติสนิทมิตรสหายที่ได้รับเชิญมางานเลี้ยงต้อนรับบุตรชายคนเดียวของพวกเขาในโอกาสที่เดินทางกลับบ้านเกิดหลังจากติดตามท่านกงสุลโอบาเรต์ไปประเทศทางตะวันออกอยู่หลายปี
“กลับมาแล้วจะมาทำงานช่วยพ่อใช่หรือไม่ มิเชล” ญาติคนหนึ่งของชายหนุ่มเอ่ยถาม
“ผมคงทำงานเขียนเช่นเดิม แต่หากคุณพ่อมีสิ่งใดให้ช่วยก็ยินดีครับ”
มิเชลตอบกลาง ๆ อย่างไม่ให้ผู้ฟังรู้สึกเสียหน้าเพราะแต่ละคนก็เป็นผู้ใหญ่ที่มีหน้ามีตาในวงสังคมปารีส เขารู้ดีว่าการมาร่วมรับประทานอาหารเพื่อเลี้ยงต้อนรับเขาในวันนี้เป็นเพียงมารยาท หากแต่ความ
จริงที่แฝงในใจทุกคนคืออยากมาดูว่าเขาเป็นอย่างไรเมื่อได้กลับมาแล้วพบว่าอดีตคนรักกลับกลายเป็นหญิงม่ายที่พร้อมด้วยสรรพสมบัติ ทั้งยังมีบิดาที่ทรงอิทธิพลอันสามารถที่จะพาครอบครัวของเขาให้ก้าวเข้าสู่การได้ทำงานใกล้ชิดราชสำนักมากขึ้น
“ได้ยินว่าราชทูตสยามที่เพิ่งเดินทางมาถึงมีกำหนดเดินทางเข้าเฝ้าที่ปราสาทแซงต์คลูวันพรุ่ง หลานรู้จักท่านหรือไม่ มิเชล” ญาติอีกคนถามเขาด้วยคงเห็นว่าเป็นเรื่องของสยามที่ซึ่งชายหนุ่มไปใช้ชีวิตอยู่นาน
“กระผมมิได้รู้จักท่านแต่รู้จักภริยาของท่านครับคุณลุง”
“อ้อ ได้ยินว่าภริยาก็เดินทางมาด้วยกันนะ” ผู้อาวุโสกว่าเอ่ยอย่างแปลกใจเล็กน้อยทว่าแฝงด้วยน้ำเสียงชื่นชม “มาจัดแสดงงานที่ศาลาไทย”
“ใช่ค่ะ ฉันได้พบคุณหญิงภริยาท่านทูตมาแล้ว ท่านสง่างามแลดูเข้าใจธรรมเนียมของทางเราเป็นอย่างดี” เสียงหวานกังวานใสดังมาจากทางอีกฝั่งของโต๊ะอาหารพาให้ทุกสายตาหันไปมองผู้เป็นเจ้าของเสียง
“จริงหรือจ๊ะเฟลอร์ หนูได้พบมาดามของท่านทูตสยามแล้ว คนสยามหน้าตาเป็นเยี่ยงไรบ้าง” ญาติผู้ใหญ่ฝ่ายหญิงคนเดิมของมิเชลแสดงท่าทีสนใจ
“คนสยามหน้าตาสวยมีเอกลักษณ์มากทีเดียวค่ะคุณป้า โดยเฉพาะหลานสาวของภริยาท่านทูต”
สิ้นเสียงหวาน ๆ ที่กำลังจำนรรจาอย่างเพลิดเพลินพลันเสียงมีดที่กำลังปาดเนยทาลงบนบาแกตต์ก็ร่วงหล่นลงบนจานราวกับเจ้าตัวผู้ถืออยู่สิ้นแรงควบคุม
“ขอโทษครับ ขอโทษมาดามลาวาลด้วยที่เสียมารยาท” เขาก้มศีรษะไปยังทิศทางที่เฟลอร์นั่งอยู่
มิเชลเอ่ยเสียงสุภาพแต่ไม่อาจรอดพ้นสายตามของมารดาที่นั่งถัดไปไม่ไกลนักด้วยว่า “หลานสาวภริยาท่านทูต” ผู้นั้นอาจมีผลต่อจิตใจของมิเชลผู้เป็นบุตรชายคนเดียวของเธอไม่มากก็น้อย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ