โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ผ่านเดือนสิงหาคมเข้าสู่เดือนกันยายนฝนก็ตกมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้หลายพื้นที่เริ่มมีน้ำท่วมบ้างแล้ว รายการข่าวเต็มไปด้วยการรายงานเกี่ยวกับอุทกภัยในพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะทางภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ เวลานี้ในเมืองจีนเองก็กำลังย่างเข้าสู่ฤดูเก็บเกี่ยว และอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงพิธีไหว้พระจันทร์ซึ่งตรงกับวันเพ็ญกลางเดือนแปด

เพราะว่าฝนที่ตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้ลูกค้าของโรงน้ำชาที่ปกติมีไม่มากอยู่แล้วยิ่งบางตาลงไปอีกจนถึงไม่มีคนเลยตลอดทั้งวัน ไม่มีใครมีท่าทางเดือดร้อนเลยสักคน ตรงกันข้าม มโนชารู้สึกว่าตั้งแต่ฤดูฝนเริ่มคืบคลานเข้ามายังโรงน้ำชามันก็หอบเอาความเฉื่อยชาเข้ามาด้วย

ทุกคนที่นี่ยกเว้นป้าจูและพ่อบ้านจาง ไม่นับคนสวนกับคนทำความสะอาดจากบริษัทที่โผล่ไปมาตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างและหมุนเวียนเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ไม่นับน้องจี๊ดเด็กนักเรียนแต่ละคนล้วนแล้วแต่ดูจะติดอยู่ในโหมด ‘หมกมุ่นครุ่นคิด’ ด้วยกันทั้งสิ้น

เริ่มตั้งแต่ตัวเจ้าของโรงน้ำชาอย่างคุณเฉิน ยังมีเซี่ยเหมยซี ทั้งยังผู้ช่วยคุณเฉินอย่างสวีสุ่ยเหอ สำหรับคนที่เงียบอยู่แล้วก็ยิ่งเงียบไปกว่าเดิม คนเก็บตัวก็เก็บยิ่งไปกว่าเดิม แต่คนที่เป็นหนักที่สุดเห็นจะเป็นเพื่อนข้างห้องของเธอที่ดูจะเหม่อลอยออกไปทุกที

มโนชาคิดว่าสาเหตุนั้นอาจมาจากสายสนทนาที่มาจากเมืองจีนโน้นก็ได้ เธอได้ยินมาแว่วๆ ไม่ได้ตั้งใจจะแอบฟังแต่อย่างใด ถึงอย่างนั้นก็ยังจับใจความได้ว่าอีกฝั่งของสายที่เป็นผู้ชายกำลังตัดพ้อด้วยความน้อยใจ

เธอเดาว่าผู้ชายทางฝั่งนั้นอยากแต่งงานและให้พี่เหมยซีย้ายไปอยู่ด้วยกันที่โน่น แต่พี่เหมยซีไม่อยากไป เธอยังเดาอีกว่าสาเหตุนั้นก็น่าจะมาจากผู้ชายอีกคนที่นี่แต่เธอไม่แน่ใจว่าเป็นคนไหน ระหว่างสวีสุ่ยเหอหรือเฉินเอินเพราะดูเงียบลงไปทั้งสองคน แต่เธอเดาว่าน่าจะเป็นคนหลังเสียมากกว่าเพราะดูจากความพยายามในการที่จะตีตัวห่างออกมาหรืออาการสุภาพเป็นทางการอย่างผิดปกติที่เซี่ยเหมยซีปฏิบัติยามต้องพบเจอกับเขา

พอคิดๆ แล้วมันคงจะเป็นความรักที่ดูไม่น่าจะสมหวัง ตั้งอยู่บนความแตกต่างทั้งวัย ฐานะ และสถานะ เพราะอย่างนั้นพี่เหมยซีถึงคุยกับอีกคนไปด้วยพร้อมกัน เธอมองว่าเรื่องนี้ฝ่ายหญิงไม่ผิดเพราะทุกคนต่างก็ล้วนแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองด้วยกันทั้งนั้น

พี่เหมยซีของเธอเป็นคนสวย นิสัยดี และทำงานเก่ง ใครไม่อยากได้ก็บ้าแล้ว เพียงแต่ว่าบนโลกใบนี้อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างที่คนทั่วไปไม่อาจก้าวข้ามไปได้ และสิ่งนั้นก็คือจารีตประเพณีและค่านิยมที่ขีดไว้โดยมนุษย์ด้วยกันนี่แหละ

ดวงตากลมโตของมโนชามองสำรวจใบหน้าด้านข้างของเซี่ยเหมยซีด้วยความเผลอไผล หญิงสาววัยสี่สิบกว่าคนนี้ดูสวยแบบเรียบง่ายไม่ปรุงแต่ง โดยเฉพาะผิวหน้าผิวกายที่เนียนละเอียดแม้แต่เธอที่หลายคนออกปากชมก็ยังเทียบไม่ได้ หากตัดเรื่องวัยออกไป เธอคิดว่าเซี่ยเหมยซีคนนี้กับเฉินเอินคนนั้นก็คงเหมาะกันดี

“เชิญค่ะ” มโนชาดึงสายตาออกมาจากหญิงสาวรุ่นพี่ก่อนจะกล่าวต้อนรับลูกค้าคนแรกของวันที่ฝ่าฝนเข้ามาแต่ทว่าไม่ใช่อย่างที่คิด เพราะคนที่ก้าวเข้ามานั้นอยู่ในชุดยูนิฟอร์มสีแสบตาซึ่งเป็นของบริษัทขนส่ง ไม่ใช่ลูกค้า

“พัสดุครับ” พนักงานที่แม้จะใส่เสื้อกันฝนก็ยังเปียกโชกเอ่ยพร้อมกับเอากล่องพัสดุที่ซ่อนไว้ในเสื้อกันฝนออกมาด้วยท่าทางทุลักทุเลพอสมควร “คุณเฉินเอิน”

มโนชากลอกตา คงเป็นตำราสักเล่มสองเล่มอีกตามเคย

หญิงสาวชะโงกตัวเหนือเคาน์เตอร์ก่อนจะเซ็นรับพัสดุแล้วจึงคว้าร่มเพื่อจะเดินออกไปส่งให้เจ้าของ ยังไงเสียตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว สู้ให้พัสดุไปถึงมือเจ้าตัวเร็วหน่อยก็เหมือนเธอได้ทำงานสักนิดก็ยังดี

หน้าที่นี้เป็นหน้าที่ซึ่งเพิ่มมาใหม่หลังจากกลับมาจากกรุงเทพฯ ในตอนนั้น หลังจากคืนนั้นที่พี่เหมยซีดูเหนื่อยๆ เนือยๆ ซึ่งเธอเข้าใจไปว่าไม่สบาย ถึงตอนนี้เพิ่งจะรู้ว่ามันไม่ใช่เพราะมันเป็นอาการของคนเป็นโรคทางใจต่างหาก

มือบางผลักบานประตูกระจกของร้านออกไปด้านนอก ได้ยินเสียงแว่วๆ ของเซี่ยเหมยซีเอ่ยเชิญคนส่งพัสดุให้นั่งลงดื่มชาร้อนอย่างใจดีซึ่งอีกฝั่งก็ไม่ได้ปฏิเสธ

ดวงตากลมโตจ้องมองขึ้นไปบนฟ้าซึ่งตอนนี้ดูขาวพราวพร่าง ร่มถูกกางออกพร้อมกับที่มโนชากอดกล่องพัสดุไว้ในอ้อมแขนมุ่งตรงไปยังหอตำรา

ฟ้าครึ้มฝน อากาศเย็นลง ภายในหอตำรากลายเป็นภาพคุ้นตาไปเสียแล้วที่จะพบเฉินเอินนั่งอ่านตำราอยู่อย่างเงียบเชียบผ่านหน้าต่าง หญิงสาววางร่มตากไว้ตรงหน้าประตูก่อนจะเดินเข้ามาด้านในอย่างคุ้นเคย ขาเรียวก้าวผ่านห้องรับแขกไปยังหอตำราที่อยู่ติดกัน

“พัสดุค่ะ” เขาเงยหน้าขึ้นมามองก่อนจะเอ่ยขอบคุณ ท่าทีนี้ของเขาก็คืออนุญาตให้เธอเปิดกล่องให้นั่นแหละ “ลายมือเหมือนเด็กประถมเลย ใช้ปากกาสีเขียนอีก แถมติดสติกเกอร์ยอดมนุษย์มาเสียด้วย…อย่างเท่…”

มโนชายื่นกล่องให้เขาดู เฉินเอินขมวดคิ้วพยายามนึก ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเหมือนจะนึกได้ เขาคว้าเอากล่องไปก่อนจะจ้องมองดูมันใหม่อีกครั้ง ในตอนนี้มือหนาก็แบออกมาในอากาศเธอเลยวางมีดคัตเตอร์ลงไปก็ถือว่าหมดหน้าที่

ร่างบางแยกตัวออกมา เดินออกจากหอตำราตรงไปที่โต๊ะน้ำชาตรงมุมห้องรับแขกซึ่งตอนนี้พ่อบ้านจางนั่งอยู่พร้อมกับหนังสือพิมพ์จีนในมือ ข้างกายเป็นรีโมต ส่วนในโทรทัศน์ก็กำลังฉายข่าวอยู่

มโนชาทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้อีกตัวในชุดเดียวกันพลางคิดว่าพ่อบ้านจางคนนี้ช่างเป็นคนที่ชอบติดตามข่าวสารอย่างแท้จริง

เสียงผู้ประกาศข่าวรายงานข่าวอุทกภัยไปไม่ถึงนาทีหัวข้อข่าวก็เปลี่ยนไป คราวนี้เป็นข่าวอาชญากรรมเกี่ยวกับปฏิบัติการกวาดล้างทุนจีนสีเทาซึ่งยังหาตัวคนผิดไม่ได้ แต่สามารถช่วยเหลือตัวประกันที่ถูกจับตัวไปออกมาได้

บุคคลที่ปรากฏตัวอยู่ในข่าวและมีหน้าที่รับผิดชอบคดีคือคนที่เธอพบที่โรงพยาบาล และได้พบอีกครั้งที่โรงน้ำชาแห่งนี้ มากไปกว่านั้น เด็กชายคนนั้นก็ยังเป็นคนเดียวกันอีกด้วย

มโนชาเงยหน้าขึ้นมองผ่านประตูหอตำราไปยังคนที่เพิ่งจะแกะกล่องสำเร็จอย่างใจเย็นด้วยแววสงสัยใคร่รู้ ไพล่นึกไปถึงเหตุการณ์วันนั้นราวกับเพิ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง

วันนั้นเซี่ยเหมยซีหยิบน้ำไปผิด ว่าด้วยเรื่องน้ำชาจะรสดีที่สุดเมื่อชงกับน้ำที่มาจากแหล่งปลูกชา เหตุผลก็คือเพราะว่าชาต้นนั้นเติบโตมาด้วยน้ำชนิดเดียวกันนี้เอง มโนชาถึงต้องเดินเข้าไปหลังร้านและเริ่มต้นหาน้ำจากขวดที่วางเรียงรายไปตามชั้น

ภายในห้องนั้นฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยถ้ำชา อีกฝั่งเป็นลิ้นชักสำหรับเก็บถ้วยชาและอุปกรณ์ ส่วนด้านล่างก็เป็นน้ำจากแหล่งกำเนิดใบชา ไม่ต้องบอกก็เดาได้ไม่ยากว่ามูลค่าของสิ่งที่อยู่ในห้องนี้จะแพงขนาดไหน โดยเฉพาะค่าขนส่งคงมากจนไม่อาจประเมินได้

อย่างไรก็ตาม มโนชาก็สามารถหาน้ำจากแหล่งปลูกใบชาขวดที่เซี่ยเหมยซีตามหาออกมาจนได้ หญิงสาวเร่งเดินขึ้นไปยังหออำพันเพราะอีกฝ่ายก็เร่งเธอเช่นกันด้วยคำพูดที่ว่าคุณเฉินจะต้องใช้แล้วเพราะพิธีรับชาจะเริ่มแล้ว มโนชาเคยได้ยินแต่พิธีชงชาของประเทศญี่ปุ่นที่ดูมีพิธีรีตอง แต่เธอไม่เคยรู้เลยว่าทางฝั่งจีนก็มีพิธีแบบนี้ด้วย

วันนั้น เธอเห็นเพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ภายในห้องนั้นซึ่งถูกเอ่ยเรียกว่าหออำพันเป็นสถานที่ซึ่งเธอไม่เคยย่างเท้าขึ้นไป เธอไม่มีกิจธุระต้องไปยุ่งย่ามด้วย

บรรยากาศทุกอย่างในห้องนั้นล้วนแปลกใหม่ ลมพัดจากหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ตรงช่องทางเดินวูบเดียวก็ทำเอาขนลุกขึ้นมาได้ บอกไม่ถูกว่าความรู้สึกนี้มันคืออะไร มันเป็นความรู้สึกราวกับไปเดินอยู่ในวัดเก่าแก่หรือโบราณสถานสักที่ ความสงบร่มเย็นเรียบง่ายแต่ก็รู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ไหลเวียนอยู่

ประตูห้องนั้นเป็นประตูไม้หนาหนักดูขึงขังเป็นทางการ มันถูกเปิดออกโดยเซี่ยเหมยซี และเผยให้เห็นด้านในเพียงเสี้ยววินาที

ด้านในนั้นสิ่งแรกที่เธอพบก็คือชายหนุ่มในชุดฮั่นฝูสีพื้นแสนเรียบง่ายแต่แฝงความสง่างามเอาไว้ เบื้องหน้าของเขาคือโต๊ะไม้ขนาดใหญ่ บนนั้นมีอุปกรณ์ชงชาหลายหลายชนิด มันดูเก่าแก่ราวกับอยู่มานานเกินช่วงชีวิตคน เขาไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาแต่กำลังยืนหลับตาคล้ายกับกำลังทำสมาธิอยู่

บรรยากาศในห้องนั้นเงียบเชียบ มีเสียงลมจากหน้าต่างที่เปิดไว้ทางด้านหลังเท่านั้นให้ได้ยิน เด็กชายคนนั้นและนายตำรวจนั่งอยู่บนเก้าอี้หันประจันหน้ากับเจ้าของโรงน้ำชา

‘ขอบใจนะซิน’ เสียงของเซี่ยเหมยซีเอ่ยกระซิบ เป็นนาทีเดียวกับที่ชายหนุ่มลืมตาขึ้นมา ดวงตาสบประสาน มโนชาเห็นแววบางอย่างแวบขึ้นในดวงตาสีดำยาวรีคู่นั้น เธอผงะตกใจก้าวถอยหลังพร้อมกับที่ประตูปิดลงเงียบเชียบตามเดิม

ความสงสัยวนเวียนในหัวตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา หากพอเธอเอ่ยถามคนที่อยู่ในนั้นอย่างเซี่ยเหมยซี หรือกระทั่งบุคคลใกล้ชิดเช่นพ่อบ้านจางกลับไม่ได้รับคำตอบที่น่าพอใจเลย มีเพียงการบ่ายเบี่ยงและหนักเข้าก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา

แวบหนึ่งที่นึกขึ้นมาว่าอยากถามเจ้าของโรงน้ำชาแต่อีกใจก็คิดว่าไม่ควรถาม แม้ที่ผ่านมาเขาจะดูใจดีและใจกว้างไม่ถือสา แต่บางอย่างกลับบอกเธอว่าสำหรับเรื่องบางเรื่องเธออาจไม่ควรก้าวล่วง

เรื่องก็ผ่านมาหลายวันแล้วแต่ภาพนั้นยังคงติดอยู่ในหัวจนถึงตอนนี้

หญิงสาวยังคงจ้องมองภาพเคลื่อนไหวในข่าว เด็กชายตัวกลมโผเข้ากอดบิดาซึ่งในข่าวรายงานว่าเป็นตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถูกกลุ่มคนร้ายจับไปก่อนหน้า ภาพถัดมาเป็นภาพไมโครโฟนของหลายสำนักข่าวกำลังจ่อไปยังผู้ที่รับผิดชอบคดีอย่างสารวัตรพร้อมรบ ถามคำตอบคำ ตอบเท่าที่จำเป็นโดยไม่เอ่ยถึงบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น

สำหรับมโนชา คดีนี้มันน่าจะมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่ซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น

ดวงตาที่เต็มไปด้วยประกายสงสัยละออกจากจอแอลซีดีทีวีเมื่อหัวข้อข่าวเปลี่ยนไปเป็นข่าวบันเทิง เธอหันไปมองยังอีกบุคคลที่ดวงตายาวรีกำลังฉายแววอบอุ่นอ่อนโยนออกมายามจ้องมองสิ่งของในมือ

ราวกับเฉินเอินรู้ตัวว่ากำลังมีคนมองอยู่ สายตาที่หลุบดูของในมือเลยเหลือบขึ้นมาสบตากับเธอที่มองอยู่ก่อนแล้ว เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งมโนชาก็ลุกจากโซฟาตัวนั้นก่อนจะเดินข้ามห้องตรงไปหาเขา

“เห็นเธอชอบของหวาน” ในมือนั้นมีช็อกโกแลตอยู่หนึ่งกล่อง แต่สิ่งที่เธอสนใจกลับเป็นจดหมายบนโต๊ะพร้อมกับรูปถ่ายของเด็กชายคนนั้นที่เธอเพิ่งเห็นมาจากในข่าว มีคำขอบคุณภาษาอังกฤษตัวใหญ่เขียนไว้อย่างตั้งใจบนหน้าจดหมาย อีกด้านหนึ่งคงเป็นข้อความซึ่งเธอไม่บังอาจละลาบละล้วง

“ขอบคุณค่ะ” มโนชารับช็อกโกแลตมา คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยความอยากรู้ปนสงสัย เธอมองหน้าเขาอีกครั้งอย่างชั่งใจก่อนอ้าปากเตรียมจะถามแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

เฉินเอินมองใบหน้าอ่อนเยาว์นั้นด้วยแววครุ่นคิดเช่นกัน ใช่เขาจะไม่เห็นเมื่อครู่ที่ดูตั้งใจฟังข่าวอย่างเอาเป็นเอาตาย ใช่จะไม่รู้ว่าเมื่อเขายื่นช็อกโกแลตส่งให้แต่ความสนใจของเธอไม่ได้อยู่ที่มันเลยแม้แต่น้อย



Don`t copy text!