โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

อย่างที่บอกว่ามโนชาเป็นคนที่สายตาพูดได้ ทั้งความสนใจความสงสัยนั้นฉายออกมาชัดเจนราวกับเอ่ยปากพูด เธอเกือบจะเอ่ยปากถามจริงๆ เสียแล้วหากเขาเดาไม่ผิด แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา

บางทีนี่อาจใกล้ถึงเวลาแล้วก็ได้

ความลับเรื่องน้ำชานี้จะเก็บได้นานขนาดไหน แต่คนที่ไม่เคยผ่านการรับน้ำชาหากรู้เรื่องน้ำชาความทรงจำที่มีอยู่นี้แล้ว เขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าคนอย่างมโนชาจะว่าอย่างไร จะมีเรื่องใดบ้างไหมที่เธออาจจะอยากจะซื้อเข้ามาหรืออยากจำหน่ายให้พ้นไป

เขามองหน้าเธอนิ่งแต่ไม่ได้เอ่ยอะไร

“ทางนี้มีอะไรให้ซินช่วยทำไหมคะ ถ้าไม่มีซินจะขอไปหาป้าจูที่ครัวนะคะ ฝนตกอย่างนี้ที่ร้านไม่น่าจะมีลูกค้า เห็นป้าจูว่ากำลังจะทำขนมไหว้พระจันทร์เผื่อซินจะช่วยอะไรได้”

“ไปเถอะ” เฉินเอินเอ่ยปากบอกก่อนจะหันไปสนใจกับจดหมายต่อ

มโนชาเดินผละออกมาพร้อมกับช็อกโกแลตในมือ แว่วเสียงกรนเบาๆ ดังมาจากโซฟาที่เธอนั่งอยู่เมื่อครู่ ฝนตกแบบนี้อากาศช่างน่าสบาย พ่อบ้านจางก็เลยฉวยโอกาสนี้หลับไปแล้วพร้อมกับเสียงทีวีซึ่งมีเสียงฝนเป็นฉากหลัง

ในตอนนี้รายการข่าวใกล้จะจบลงเพราะได้ยินผู้ประกาศข่าวสาวสวยกล่าวลาพร้อมกับคำเตือนที่ว่า ‘ฝนตกถนนลื่นอย่าลืมเดินทางด้วยความระมัดระวัง’

มโนชาคว้าร่มเดินจากมาไม่ทันไรฝนก็เทกระหน่ำพร้อมกับลมโหมกรรโชก เพราะความทุลักทุเลในการหอบช็อกโกแลตและอีกมือที่ต้องคอยจับประคองร่มสู้ลมเลยทำให้ไม่ทันได้ระวัง

คำเตือนเมื่อครู่ของผู้ประกาศยังไม่ทันขาดปากมโนชาก็ลื่นพรืดก่อนจะไถลดินลื่นๆ ตกลงไปในน้ำ ช็อกโกแลตยังอยู่ดีในอ้อมแขนเพราะจับเอาไว้มั่น แต่ร่มนั้นกระเด็นหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้

ความรู้สึกแรกที่เข้ามาคือตกใจ ต่อมาคือเจ็บ และอีกต่อมาก็คือตลกตัวเอง

คนบ้ายืนหัวเราะขำตัวเองอยู่อย่างนั้นท่ามกลางสายฝนประชดชะตากรรม อะไรมันจะซวยที่ขนาดได้คำเตือนมาแล้วนะว่า ‘ฝนตกถนนลื่นอย่าลืมเดินทางด้วยความระมัดระวัง’ ไม่ถึงนาทีเท่านั้นเองก็เกิดเรื่อง

ก็ใครมันจะไปคิด เธอไม่ได้ขับรถเสียหน่อย ใครจะรู้ว่าทางที่คนเดินก็ลื่นได้

“เป็นอะไรหรือเปล่า” เสียงของเฉินเอินดังอยู่ริมน้ำ เนื้อตัวเริ่มเปียกฝนเพราะรีบร้อนออกมาเมื่อได้ยินเสียงร้องของมโนชา แต่ภาพที่เขาเห็นนั้นแสนจะแปลกเพราะแทนที่จะโมโหหรือตกใจ คนที่ก้าวพลาดลื่นไถลดันมัวแต่ยืนขำตัวเองอยู่อย่างนั้นทั้งที่ตัวแช่อยู่ในน้ำที่สูงเกือบจะถึงเอว

“ไม่เป็นอะไรค่ะ เจ็บนิดหน่อยแต่ไม่เป็นอะไร” เสียงมโนชาตะโกนฝ่าสายฝนขึ้นมาด้านบนริมตลิ่ง

ในตอนนี้สายตาเธอก็ควานหาไปตามริมน้ำจนพบร่ม มือบางชี้ไปทางนั้นหวังให้เขาหยิบมันขึ้นมาเพราะกลัวว่าเขาจะเปียกไปด้วยแต่เฉินเอินไม่ได้สนใจ สิ่งที่เขาทำต่อมาก็คือค่อยๆ ก้าวลงมาและเอื้อมมือฉุดเธอขึ้นไป

สายฝนยังคงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายพร้อมกับอากาศเย็นฉ่ำ สุดท้ายชายหนุ่มก็หันไปคว้าร่มขณะที่มโนชาสำรวจดูความเสียหายของช็อกโกแลต ดีกว่ากล่องมันเป็นพลาสติกของด้านในก็เลยอยู่ดี มือบางหยิบชายเสื้อตัวเองขึ้นมาเช็ดคราบโคลนออกจากบรรจุภัณฑ์ด้วยความทะนุถนอม

“ยังจะห่วงของกินอยู่อีก เปียกหมดแล้วเข้าไปข้างในกันก่อนเถอะ” คนห่วงกินพยักหน้าพร้อมกับส่งยิ้มแหย สองคนเปียกฝนยืนอยู่ใต้ร่มคันเดียว ทว่าเมื่อเท้าของมโนชาก้าวลงพื้นเมื่อเริ่มออกเดินเธอก็ต้องร้องออกมา

“เจ็บหรือ เดินไหวหรือเปล่า” คนเจ็บพยักหน้าเริ่มขำไม่ออก

ภาพวันนั้นมันกลับมาเวียนซ้ำอีกครั้ง ผิดแต่วันนี้ที่คนเจ็บไม่ใช่เขาหากเป็นเธอ เฉินเอินมองใบหน้าเหยเกด้วยความสงสาร เขาขยับตัวเข้าใกล้รู้สึกประหม่าปนลังเล แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจสอดมือเข้ากับเอวบางก่อนจะประคองมโนชาเดินเข้าบ้าน

“เดจาวูนะคะ” เธอเอ่ยมองหน้าเขายิ้มๆ อย่างเป็นธรรมชาติไร้ความเคอะเขินใดๆ ชายหนุ่มยิ้มตาม ความประหม่าหายไปเมื่อเห็นอีกคนไม่ได้มีท่าทีอะไร เขาอดขันไม่ได้นึกถึงภาพที่เห็นหลังจากตัวเองรีบร้อนออกมาจากบ้าน

“เสียแต่ว่าเมื่อกี้นี้มีคนบ้ายืนขำตัวเองอยู่ในน้ำทั้งที่เปียกเป็นลูกหมา ค่อยๆ เดินนะระวังลื่น” มโนชาหัวเราะออกมาอีกครั้งอย่างเปิดเผย เป็นเสียงซึ่งดูรื่นรมย์ท่ามกลางสายฝนที่โปรยปราย

“แม้แต่คุณเฉินก็ยังเตือน เมื่อกี้นี้เองตอนซินออกมาข่าวในทีวียังบอกว่าฝนตกระวังถนนลื่นอยู่เลย แป๊บเดียวซินก็ลื่นเลย รู้ตัวอีกทีก็อยู่ในน้ำแล้วมันเลยอดขำตัวเองไม่ได้ แต่ตอนนี้เริ่มจะขำไม่ออกแล้วค่ะเพราะว่าเจ็บขา”

ดวงตาคู่สวยมีน้ำตาคลอแม้จะยิ้มอยู่ก็ตามแต่ก็เป็นยิ้มที่แหยเต็มทีผิดกับเมื่อครู่ ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งคู่เป็นผืนดินอันเฉอะแฉะและดินชุ่มอุ้มน้ำก็ลื่นจนต้องระวังทุกฝีก้าว เบื้องบนเป็นร่มที่กางกั้นคนสองคนจากสายฝนที่เทกระหน่ำ ห่างไปไม่กี่ก้าวก็คือร่มชายคาของหอตำราที่สองคนเพิ่งจะจากมา

เฉินเอินปล่อยมือจากมโนชาเมื่อเข้ามายังร่มชายคา เขาวางร่มกางไว้ที่เดิม มองไปด้านในก็พบกับชายชราที่กำลังนอนหลับอย่างสบายในโซฟาตัวนุ่ม เขายกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากกระซิบเบาๆ ว่าอย่าส่งเสียง หญิงสาวก็พยักหน้าอย่างเข้าใจ

“รอตรงนี้ก่อน” เขาปล่อยเธอไว้ตรงเก้าอี้ที่สุดมุมห้องอีกด้านซึ่งอยู่ใกล้บันไดขึ้นชั้นสอง ตรงนั้นมีหน้าต่างบานใหญ่มีสายฝนเป็นสายไหลรินลงมาและเกาะตัวเป็นหยดน้ำอยู่อย่างพร่างพราว

เฉินเอินหายขึ้นไปด้านบนซึ่งน่าจะเป็นห้องนอนของเขาก่อนจะกลับลงมาพร้อมกับผ้าเช็ดตัวผืนนุ่มฟูหนึ่งผืนและเสื้อผ้าชุดที่เธอจำได้ว่ามันเป็นของเธอ เธอลืมมันไปแล้วด้วยซ้ำ

“คืนเจ้าของ” เขาเอ่ยยิ้มก่อนจะช่วยประคองเธอมายังห้องน้ำ

ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว มโนชาเลยถือโอกาสอาบน้ำสระผมเอาเสียเลยในเมื่อห้องน้ำนี้ก็มีอุปกรณ์ครบ เธอใช้เวลาไม่นานมากนักเพราะถึงแม้จะไร้ความเกรงใจแต่จะมากจะน้อยจิตสำนึกก็ยังมีอยู่ เธอยังคิดได้อยู่ว่านี่ไม่ใช่สถานที่ของเธอซึ่งจะมายืนอาบน้ำเอ้อระเหยได้อย่างสบายใจ ก่อนจะระลึกได้ในนาทีที่บีบแชมพูและใช้สบู่ว่านี่เองคือกลิ่นหอมจากตัวของเขา อยู่ดีๆ ก็เกิดจะหน้าร้อนขึ้นมา

หญิงสาวใส่เสื้อของตัวเองที่เคยให้เขาใส่มาก่อน เธอมองดูตัวเองในกระจกรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกไป บางทีอาจจะไม่ใช่รูปร่างหน้าตาภายนอก ไม่ใช่ผมที่เปียกกระเซอะกระเซิง และไม่ใช่ใบหน้าที่เห่อร้อนหรือแดงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แต่เป็นข้างในนี้ต่างหาก

ดวงตากลมโตมีแวววูบไหว มือบางวางทาบกับหน้าอกสัมผัสหัวใจตัวเองผ่านเนื้อผ้า

มโนชาเปิดประตูห้องน้ำยังไม่ทันจะก้าวออกมาก็พบกับเฉินเอินที่ดึงเก้าอี้มานั่งรออยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล เมื่อเห็นเธอปรากฏตัวเขาก็ลุกขึ้นเดินตรงมายืนอยู่ตรงหน้าเธอในทันที

“ค่อยๆ เดิน” พูดพลางทำท่าจะรับเสื้อผ้าเปียกโชกในมือของเธอแต่มโนชาขืนไว้ สุดท้ายก็ต้องพ่ายแพ้เมื่อคนดื้อไม่ยอมปล่อย เขาโยนมันกลับเข้าไปในห้องน้ำก่อนจะบอกว่าจะให้แม่บ้านเก็บเอาไปส่งให้

มือหนานั้นเพียงแตะลงเบาๆ ที่แขนอย่างนุ่มนวลให้สัมผัสอันมั่นคง ไม่ได้มีสิ่งใดเคลือบแฝงให้น่าแคลงใจเพราะทุกอากัปกิริยาเป็นไปด้วยความสุภาพ

ขาพาเธอมานั่งตรงเก้าอี้ไม่ไกลจากห้องน้ำตัวที่เขานั่งรอเธออยู่เมื่อครู่พร้อมกับหลอดยาในมือที่มีฉลากเป็นภาษาจีนกำกับไว้ว่าแก้ฟกช้ำ เธอรับไปและกล่าวขอบคุณ

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอได้อยู่ใกล้ชิดกับเจ้านายซึ่งเป็นเพศตรงข้าม แต่ความรู้สึกในตอนที่อยู่กับภาทิศนั้นเต็มไปด้วยความระแวดระวังตลอดเวลาแต่กับเฉินเอินมันต่างออกไป

เสียงกรนของพ่อบ้านจางยังคงดังมาอย่างต่อเนื่อง มโนชาทายาเสร็จก็หันไปมองสบตากับเฉินเอินเพื่อจะพบกับรอยยิ้มที่แสดงออกว่ากำลังคิดในสิ่งเดียวกัน เธอทำมือป้องปากกระซิบด้วยเสียงเบา

“คุณเฉินว่าระหว่างฝนหยุดตกกับพ่อบ้านจางตื่นอันไหนจะเกิดก่อนกันคะ” สิ้นคำถามเสียงคำรามในลำคอของคนที่กำลังถูกพูดถึงก็ดังขึ้นสนั่นหวั่นไหวก่อนจะกลับไปสู่ระดับปกติ เฉินเอินหันไปมองยิ้มๆ

“เห็นทีว่าฝนจะหยุดตกก่อน แต่ก็ไม่แน่เหมือนกันเพราะฟ้ายังไม่หยุดร้องเลย” เขาป้องปากกระซิบกลับเปรียบเทียบเสียงกรนของพ่อบ้านจางกับเสียงฟ้าร้อง ในดวงตามีประกายสนุกซุกซนอย่างที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

ร่างสูงนั้นทิ้งยิ้มกว้างเป็นประกายเจิดจ้าเอาไว้แล้วหันหลังเดินไปยังโต๊ะอเนกประสงค์ตัวสูงซึ่งมีอุปกรณ์ชงชาวางอยู่ ปล่อยคนมองตามอย่างตาค้างกับรอยยิ้มอ่อนเยาว์ของเขา

เกิดเสียงอุปกรณ์กระทบกันกรุกกริก ไม่นานเสียงน้ำเดือดก็ดังขึ้นเบาๆ ครู่เดียวกลิ่นหอมของใบชาก็ลอยละล่องอยู่ในชั้นบรรยากาศอบอวลไปรอบห้อง

เขาเดินกลับมาอีกครั้ง หอบเอาของที่ตั้งวางอยู่บนเก้าอี้หน้าห้องน้ำกลับไปด้วย…เธอเอง…

“นั่งตรงนี้ เคยดื่มชาสุกไหม” ชาสีเข้มมีกลิ่นหมักจางๆ โชยออกมาเมื่อเขารินมันใส่ถ้วย มโนชาส่ายหน้าเอื้อมมือไปหยิบทั้งที่เขายังไม่ทันได้เชิญให้ดื่มก่อนจะร้องออกมาแล้วรีบวางมันลงกับโต๊ะแทบไม่ทัน

“ร้อนๆๆ” เธอร้องอุทานไม่กล้าส่งเสียงดังเพราะยังเกรงใจพ่อบ้านจางที่หลับอยู่

“ก็ใครใช้ให้รีบอย่างนั้น” เขามองเธออย่างอ่อนอกอ่อนใจ หันกลับไปยังตู้ยาที่เพิ่งจะเอายาแก้ฟกช้ำไปเก็บแล้วหยิบครีมบัวหิมะออกมา มโนชาเอื้อมมือออกไปในอากาศจะคว้าของไว้แต่เขายกมันหนีเธอ

“อยู่เฉยๆ ขี้เกียจไปหายาอย่างอื่นมาให้เธออีก” มโนชานั่งนิ่งปล่อยเขาทายาให้ก่อนชายหนุ่มจะส่งถ้วยชาที่เย็นลงเล็กน้อยให้อีกรอบพร้อมกับบรรยายเรื่องชาดิบชาสุกให้ฟัง



Don`t copy text!