โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ด้านนอกฝนยังคงพร่างพรมลงมาจนขาวโพลน ตกใส่ร่มสีขาวที่ดูกลมกลืนกับบรรยากาศเสียงดังเปาะแปะ เซี่ยเหมยซียืนอยู่ใต้ร่มคันนั้น

มองเข้าไปด้านในช่างเป็นภาพที่สวยงาม ชายหนุ่มหญิงสาวในวัยใกล้เคียงกัน ใบหน้าของทั้งคู่มีสีชมพูของเลือดฝาด ผิวหนังเต่งตึงไร้ริ้วรอย สองคนกำลังหยอกล้อพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน

เธอมาทันได้เห็นฉากที่มือสัมผัสมือ มองจากระยะไกลพอเห็นได้ว่าอะไรเป็นอะไร เซี่ยเหมยซีไม่ได้มีอคติกับมโนชา ยิ่งไม่ได้คิดว่าเฉินเอินเองจะรู้สึกกับมโนชาแบบชายหนุ่มหญิงสาว แต่เพราะความเป็นธรรมชาติของท่าทางของทั้งสองคนช่างดูกลมกลืนลื่นไหลเหมือนฉากหนึ่งในละครในนิยาย

ช่างมองแล้วน่าสะท้อนใจ…

ที่ผ่านมาเธอฝันหวานอะไรหรือเซี่ยเหมยซี ฝันว่าจะได้อยู่เคียงข้างเขาเหมือนอย่างฉากตรงหน้าอย่างนั้นหรือ มันไม่มีทางจะเกิดขึ้นได้เลย สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปหากเธอยังดึงดันจะอยู่ข้างกายเขาต่อไปคือเขาจะยังเป็นเหมือนเดิม แต่เธอจะแก่ตัวลง จนอายุห้าสิบหกสิบขณะที่เขายังอายุยี่สิบห้า เธอจะกลายเป็นป้าเป็นยายของเขา ให้เขามองเห็นรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้ากับหูตาที่ฝ้าฟางของเธอ นั่นคือสิ่งที่จะเกิดขึ้น

ช่วงสองสามสัปดาห์ที่ผ่านมาเธอรู้สึกคล้ายจะปลงตกกับโชคชะตา เธอพยายามรักษาระยะห่าง ก้าวถอยออกมาทั้งพฤติกรรมและความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเฉินเอินไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไร เธอไม่ได้ทำหน้าที่ซึ่งเคยทำมาเป็นยี่สิบปีเขาก็ไม่ได้เรียกใช้ ไม่ถามสักคำว่าเกิดอะไรขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขากำลังมองว่าสิ่งที่เธอทำนั้นถูกต้องดีแล้ว

จมจ่อมอยู่กับความเศร้าเพียงนาทีเหมือนชั่วนิรันดร์โทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงก็สั่นส่งสัญญาณว่ามีข้อความเข้า เธอหยิบมันขึ้นมาดูด้วยความเฉื่อยชาก่อนจะพบว่ามีข้อความเข้ามา

มันเป็นข้อความที่ตอบกลับข้อความของเธอ ข้อความนั้นเป็นของเสิ่นต้าชาน

ชายหนุ่มผู้นั้นสุขุมนุ่มนวลไม่ต่างจากใครอีกคน แต่ก็เป็นคนละคนเธอถึงยังตัดสินใจไม่ได้ ก่อนนี้เธอส่งรูปขนมไหว้พระจันทร์ที่ป้าจูทำไปให้ฝั่งนั้นดูทั้งยังอดบ่นน้อยๆ ไม่ได้ว่าขนมไหว้พระจันทร์ของป้าจูไม่ใช่แบบที่เธอชอบ

ป้าจูเป็นคนกวางโจว เพราะฉะนั้นขนมที่ป้าทำเลยนิยมทำแบบกวางตุ้งคือเป็นแป้งชั้นเดียวพิมพ์ลวดลายด้านบนและไส้ส่วนใหญ่จะเป็นธัญพืช แต่สำหรับคนสิบสองปันนาอย่างเธอกลับคิดถึงรสชาติของบ้านเกิด แม้จะจากบ้านมานานหลายปีแต่ก็ยังคงจดจำรสชาตินั้นได้ไม่ลืมเลือน

เธอส่งข้อความหาเขาตั้งแต่ตอนที่คนส่งพัสดุกลับออกไป เสิ่นต้าชานที่ปกติจะตอบทันทีกลับยังไม่ได้ตอบในคราวนี้ ผ่านมาหลายสิบนาทีถึงเพิ่งส่งกลับมา

เซี่ยเหมยซีมองรูปถ่ายในมือด้วยความรู้สึกตื้นตันใจ

มันเป็นรูปขนมไหว้พระจันทร์แบบยูนนานซึ่งไส้จะเป็นแฮมผสมน้ำผึ้งและหากินที่อื่นไม่ได้นอกจากแถบบ้านเกิด เขาออกไปซื้อหามาและบอกว่าจะส่งมาให้ แค่เพียงเธอเอ่ยปากเท่านั้นเขาก็ออกไปซื้อมาในทันที

หากบางอย่างในตอนนี้สะกิดแผลใจให้เปิด เสิ่นต้าชานก็เหมือนยาที่ค่อยๆ ใส่แผลและรักษาเธอทีละน้อย เซี่ยเหมยซีพิมพ์ตอบข้อความของเขาและเก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า

ครู่หนึ่งที่เธอหันกลับไปจ้องภาพนั้นที่เห็นผ่านหน้าต่างในหอตำราอีกครั้ง ก็เหมือนว่าความรู้สึกหนักอึ้งที่กดทับอยู่คล้ายจะไม่หนักหนาเหมือนอย่างในทีแรก มือบางกระชับร่มแน่น ก่อนจะหันหลังเดินจากมาด้วยหัวใจที่คล้ายถูกปลอบประโลมด้วยรูปขนมไหว้พระจันทร์เพียงรูปเดียว

 

ค่ำคืนวันไหว้พระจันทร์คืบคลานเข้ามาเช่นเดียวกับทุกปี มองไปบนท้องฟ้าผ่านช่องว่างของป่าที่เป็นเงาทะมึนโดยรอบก็พบกับพระจันทร์ดวงโตมีรัศมีสีเหลืองทองส่องสว่างออกไปเป็นวงกว้าง

ประเพณีนี้แม้ความสำคัญจะลดลงกว่าเมื่อก่อนมากโดยเฉพาะเมื่อมาอยู่ที่เมืองไทย ถึงอย่างนั้นคนที่เคยทำมันทุกปีก็ยังยึดติดเป็นนิสัยและผูกเอาไว้ในมโนคติอย่างแน่วเหนียว มันเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวจิตใจเอาไว้เช่นประเพณีอื่นๆ ของชาวจีนโพ้นทะเลเพราะทำให้นึกถึงบ้าน แม้ตัวจะไกลบ้านก็ตามที

“ป้าจู…อยากกินไส้ทุเรียน” มโนชาเปรยเบาๆ แกมหยอกเย้าก็ถูกไล่ให้ไปหาซื้อเอาตามร้านสะดวกซื้อมากสาขา คนที่ช่วยทำน้อยแต่มีเจตนาจะกินมากก็เลยหุบปากไปสนิท

“น้องซินนี่จริงๆ เลย ถ้าเป็นลูกเป็นหลานจะตีให้เข็ดเลย” รู้อยู่ว่านางเกลียดทุเรียนก็ยังถามหาไส้ทุเรียนอยู่ได้

“โหย…จะข้ามไปมีลูกป้าจูต้องมีสามีก่อน ว่าแต่สวยๆ กลมๆ อย่างป้าจูเนี่ยพอจะมีสายตาไว้แลหนุ่มไทยบ้างไหมคะ” มือบางเข้ามาเกาะแขนแม่ครัวอย่างประจบ

“สวยๆ กลมๆ ที่พูดถึงนี่คนหรือขนมไหว้พระจันทร์ เห็นจ้องตาเป็นมันมาตั้งนานแล้ว ไหว้เสร็จแล้วก็เอาไปให้พวกหนุ่มๆ เสียด้วย อ้าวนั่นรถใครมาน่ะ” เสียงของแม่ครัวตัวกลมเอ่ยเมื่อเห็นแสงสว่างจากไฟหน้ารถ แสงนั้นค่อยๆ เคลื่อนตัวมาใกล้ และเมื่อมันจอดลงสนิทป้าจูก็อ้าปากค้างอย่างประหลาดใจปนตกใจ

“เหมยซี เหมยซี เซี่ยเหมยซี” เสียงแปดหลอดของป้าจูร้องก้องไปทั่วโรงน้ำชา

เซี่ยเหมยซีที่เพิ่งจะเดินเข้าไปเมื่อครู่วกตัวกลับออกมาด้วยท่าทีตกใจปนสงสัยว่าป้าจูตื่นเต้นตกใจเรื่องอะไร แต่เมื่อพบกับชายหนุ่มท่าทางสุขุมภูมิฐานในชุดสูทสากลก้าวลงมาจากรถยนต์ที่แปะสติกเกอร์ว่าเป็นรถเช่า มือบางก็ยกขึ้นปิดปากด้วยความคาดไม่ถึงเช่นกัน

“พี่ต้าชาน มาได้ยังไงคะ”

มโนชาไม่ได้ยินเสียงตอบของชายหนุ่มแปลกหน้าที่ดูเหมือนหลายคนที่โรงน้ำชาจะรู้จักเขาเป็นอย่างดี แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่าผู้ชายคนนี้เป็นใคร

เขาคนนี้คือคนที่พี่เหมยซีคุยโทรศัพท์ด้วยแทบทุกคืน และพักหลังๆ ก็เหมือนจะถูกทวงถามบ่อยขึ้นเรื่อง ‘ลงหลักปักฐาน’ และพี่เหมยซีก็ดูจะบ่ายเบี่ยงแบบไม่เต็มน้ำเสียงน้อยลงไปทุกที ถึงอย่างนั้นเพื่อนข้างห้องของเธอก็มักจะเลือกใช้คำดีงามเพื่อถนอมน้ำใจ หรือบางทีก็แสดงความห่วงใยออกมาให้เห็นอยู่หลายครั้ง

เซี่ยเหมยซีเดินอย่างล่องลอยไปหาเขา บุคคลซึ่งอยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นอย่างไม่คาดคิด เขามาได้ถูกเวลาคือมาในช่วงเวลาที่เธอหม่นหมอง ในมือนั้นมีถุงกระดาษขนาดใหญ่มีสัญลักษณ์ร้านขนมไหว้พระจันทร์ชื่อดังของเมืองคุณหมิง มือหนาล้วงกล่องกระดาษทรงกลมดูหรูหราออกมาขณะระบายรอยยิ้มเปื้อนหน้า

“เมื่อวานที่คุยกันบอกว่าจะส่งมาให้เหมยซีก็เลยคิดว่าจะส่งทางเมล”

“ไหนๆ ก็คิดจะส่งแล้วเลยเมลตัวคนมาด้วย วันหยุดยาวแบบนี้ก็เลยถือโอกาสเสียเลยเพราะอยากมาเห็นเหมือนกันว่าเมืองไทยเป็นยังไง เหมยซีอยู่ยังไง แล้วที่สำคัญคือสบายดีไหม”

เซี่ยเหมยซีมองขนมในมือ น้ำตาหยดหนึ่งร่วงเผาะลงตรงตราประทับของร้านด้วยความตื้นตัน

“อะแฮ่ม” เสียงป้าจูกระแอมอยู่ด้านหลังไม่ไกล หลังจากพยายามชะเง้อไปทางซ้ายเดี๋ยวก็ย้ายไปชะแง้ทางขวาแต่ก็ไม่เกิดผลอะไร มโนชาเห็นก็อดขำไม่ได้

ป้าจูก็ใช่ว่าจะตัวเล็กๆ คนที่เพิ่งมาถึงแม้จะรู้จักกันก็ไม่ได้เอ่ยทักทายผู้หลักผู้ใหญ่แต่อย่างใดจนป้าจูเป็นฝ่ายอดรนทนไม่ไหวเสียเองเลยกระแอมออกมา

“สวัสดีครับป้าจู ไม่ได้พบกันนานสบายดีไหมครับ”

“สบายดีย่ะ นึกว่าจะไม่ถามแล้ว” แม่ครัวประจำโรงน้ำชามีอาการน้อยใจกระเง้ากระงอด

“มีของมาฝากป้าจูด้วย เป็นขนมของชอบเหมือนอย่างเคย ว่าแต่คุณลุงจางอยู่ไหมครับพอดีมีเรื่องที่ต้องเรียนคุณลุงให้ทราบด้วย ผมเลยถือโอกาสนี้อาสากับจางหมินมาด้วยตัวเอง”

“อยู่กับคุณเฉินกับสวีสุ่ยเหอที่หอกลางน้ำแน่ะ” ป้าจูตอบพยักพเยิดไปทางศาลารูปเก๋งหลังเล็ก ตามธรรมเนียมแล้วการไหว้พระจันทร์มักเป็นเรื่องของฝ่ายหญิง พวกผู้ชายก็เลยถือโอกาสนี้แยกไปนั่งชมพระจันทร์กันที่นั่นแทน

“จางหมินคือใครคะป้าจู” คนอยู่นอกสารบบแต่ชอบกินเผือกสะกิดเอวนุ่มกระซิบถามอยู่ข้างหู

“จางหมินก็คือลูกชายคนโตของพ่อบ้านจางที่เป็นทนายไงล่ะ เป็นเพื่อนรุ่นพี่หรือรุ่นน้องของเสิ่นต้าชานนี่แหละ”

“อ้อ…” มโนชาพยักหน้ารับคำช้าๆ “แล้วเรื่องคุณทนายคนนี้กับพี่เหมยซีนี่ยังไงหรือคะป้าจู”

ป้าจูมีท่าทีรั้งรอแต่ก็ดูคันปากอยากเล่าไปพร้อมกัน รอจนเซี่ยเหมยซีและเสิ่นต้าชานเดินห่างออกมาจากตรงนั้นตรงไปยังหอกลางน้ำอย่างที่ว่า แม่ครัวตัวกลมก็สนองให้ในทันที

“ก็เสิ่นต้าชานน่ะชอบเหมยซีมานานสามสี่ปีเห็นจะได้ตั้งแต่ก่อนจะย้ายโรงน้ำชามาที่นี่ ลูกชายพ่อบ้านจางเป็นคนพามาแนะนำให้รู้จักกันเพราะว่าอยู่เมืองเดียวกัน พอมาเห็นเหมยซีของเราก็เรียบร้อยโรงเรียนจีน รายนี้น่ะลูกค้าหนุ่มๆ ตอมมาตั้งแต่เด็กจนสาวจนไม่ค่อยจะสาวแต่ก็แทบไม่คุยกับใครเลย อย่างกับเป็นโรคกลัวผู้ชาย ก็เห็นมีเสิ่นต้าชานนี่แหละ ก็เรียบร้อยสุภาพออกจะขนาดนั้นนี่นะ” ป้าจูหยุดหายใจ สายตายังคงมองไปที่ร่างของคนสองคนในเงาสลัวที่ค่อยๆ ห่างออกไปเรื่อยๆ

“แล้วไงต่อคะ” คนอยากรู้ยังรอฟังต่อ

“ก็คงเพราะห่างกันน่ะสิ น้องซินเคยได้ยินไหมเรื่องที่กว่าจะรู้ใจตัวเองก็ต้องลองห่างกันสักพักน่ะ ป้าว่าแบบนี้แหละเสิ่นต้าชานถึงมาในวันนี้ เพราะความคิดถึงมันคับอกจนทนไม่ไหว แล้วยิ่งวันนี้เป็นวันไหว้พระจันทร์แล้วด้วยอาจจะมีการขอแต่งงานเกิดขึ้นก็ได้” ดวงตาของป้าจูสว่างไสวสะท้อนแสงดวงจันทร์ วันพระจันทร์สาดส่องแบบนี้ไม่ยากเลยที่จะทำให้คนจินตนาการไปไกล นี่ก็ทำราวกับกำลังดูหนังรักสักเรื่องอยู่

มโนชามองท่าทางนั้นยิ้มๆ คิดอะไรขึ้นมาได้



Don`t copy text!