โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เวลาผ่านมาหลายนาทีแล้ว ประตูยังคงปิดสนิท และเขาก็ยังไม่ได้ออกมาจากห้อง

หันกลับมาอีกทีมองตรงไปยังซุ้มบุปผาย้อยซึ่งแบ่งทางเข้ามายังส่วนตะวันออกก็ปรากฏร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตกางเกงขายาวลำลองซึ่งเดินใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เธอมองสลับไปมาระหว่างภาพนั้นกับประตูห้อง นึกสงสัยว่าเฉินเอินออกจากห้องมาตอนไหน แต่พอเพ่งมองอีกทีเธอถึงได้พบว่าคนที่กำลังสาวเท้าเข้ามาไม่ใช่บุคคลที่เธอกำลังคิดว่าเขาเป็น

ผู้ชายคนนั้นไม่ใช่คนที่เธอรู้จัก หากก็คล้ายอย่างที่สุด

“คุณคือ?” ผู้ชายที่คล้ายเฉินเอินคนนั้นถามด้วยท่าทีซึ่งแสดงตนว่าเป็นเจ้าของบ้านอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ได้เป็นแขกของแกลเลอรีหรือร้านน้ำชา และเขาคงคิดว่าเธออาจจะเป็นลูกค้าที่บังเอิญเดินหลงทางเดินสลับซับซ้อนนี้เข้ามา

“สวัสดีค่ะ พอดีว่าฉันมากับ…” ไม่ทันจบประโยคคนในห้องก็เปิดประตูออกมา

“เฉินเอิน?” ชายหนุ่มคนนั้นเอ่ยเดา ดวงตามองไปยังห้องที่เพิ่งจะมีคนเปิดประตูออกมา เขาจับจ้องเงาร่างของบรรพบุรุษก่อนจะละสายตามายังมโนชา “ผมคือเฉินจินเยว่ ยินดีที่ได้รู้จัก”

แซ่เฉินเหมือนกัน รูปร่างหน้าตารวมถึงผิวพรรณก็ราวกับถอดกันมา หากบอกว่าเป็นพี่น้องก็คงเชื่อ เพียงแต่แววตาของคนที่แก่กว่าเป็นหลายศตวรรษนั้นดูลุ่มลึกผิดไปเพราะถูกเติมไว้ด้วยประสบการณ์จนล้นปรี่และผ่านเวลายาวนานสมกับความหมายของแซ่ (1) เป็นที่สุด ส่วนอีกคนกลับมีแววของความรื่นรมย์ตามอายุซึ่งเพิ่งจะผ่านวัยยี่สิบห้าปีมาไม่นานนัก

“ที่นี่…” เฉินเอินกวาดตามองไปรอบตัว “ทำได้ดี”

อีกฝั่งไม่ได้เอ่ยขอบคุณต่อคำชมเพราะตกอยู่ในอาการเหม่อลอยในรูปลักษณ์ที่ปรากฏให้เห็นตรงหน้าซึ่งสวนทางกับกฎเกณฑ์ของเวลาโดยสิ้นเชิง

“คุณไม่เปลี่ยนไปเลย” เฉินเอินไม่ได้สนใจคำทักทายเกี่ยวกับรูปลักษณ์ภายนอกแต่กลับตรงเข้าเรื่องสำคัญในทันที ธุระของเขาในวันนี้คือน้ำชาสำหรับบุคคลสายเลือดเดียวกัน

“เฉินเสี่ยวซวินล่ะ”

เฉินเสี่ยวซวินที่ว่าเป็นหญิงชราวัยกว่าเจ็ดสิบปีที่ป่วยเป็นโรคอัลไซเมอร์มานานนับสิบปี เพราะได้รับความกระทบกระเทือนทางสมองยามเกิดอุบัติเหตุเมื่อหลายสิบปีก่อน เลยทำให้ต้องรับมือกับโรคนี้เร็วกว่าคนอื่นที่ป่วยด้วยโรคเดียวกัน อุบัติเหตุครั้งนั้นพรากชีวิตคนใกล้ชิดไปสามคนด้วยกัน คือหวังอวี่สามี หวังอิงอิงลูกสาว และเฉินเสี่ยวตัวน้องชาย ซึ่งบุคคลหลังนี้เป็นพ่อของเฉินจินเยว่

เฉินเสี่ยวซวินสูญเสียลูกสาวไปในตอนที่เฉินจินเยว่กำพร้าพ่อ เมื่อรักษาตัวหายดีแล้วเลยรับหน้าที่เลี้ยงดูลูกของน้องชายซึ่งก็ไม่เหลือใครเช่นกันเพราะพ่อแม่ได้หย่ากันไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กไม่รู้ความ

มรดกบ้านหลังนี้ซึ่งเคยเป็นของเฉินเสี่ยวตัวเลยตกมาเป็นของเฉินจินเยว่ซึ่งแม้จะไร้พ่อแม่ข้างกายแต่ก็ได้รับความรักจากป้าใหญ่มามากมาย อาจจะเพราะรู้ว่าหลานขาดเลยเลี้ยงมาอย่างตามใจ อยากได้อะไรก็ให้ เงินทองมากมายจากฝั่งสามีในตอนที่ไร้ทายาทก็ทุ่มให้หลานชายจนหมด

แต่เฉินจินเยว่ไม่เคยอยู่ติดบ้านเพราะเป็นคนบ้างาน กระทั่งได้รู้ว่าป้าใหญ่เป็นอัลไซเมอร์เขาถึงกลับมาปรับปรุงบ้านหลังเก่าของตระกูลและย้ายเข้ามาอยู่ดูแลหญิงชราที่นับวันก็ยิ่งดูแลตัวเองไม่ได้

มโนชาคิดถึงตัวเองขึ้นมา เฉินจินเยว่คนนี้และเธอช่างมีชะตากรรมที่คล้ายกันจนน่าเหลือเชื่อ เพราะต่างเติบโตมากับบุคคลซึ่งไม่ใช่ผู้ให้กำเนิด และการต้องเห็นคนผู้นั้นเจ็บป่วยโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้สำหรับเธอแล้วเรียกว่าเป็นความทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส

“ป้าใหญ่ จำได้ไหมคนนี้ใคร” เฉินจินเยว่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล แม้แต่ท่าทางและแววตามั่นอกมั่นใจเมื่อครู่ก็กลับดูอ่อนโยนอ่อนน้อมลง

“เสี่ยวตัวหรือ นั่นน้องใช่ไหม” มือที่เต็มไปด้วยริ้วรอยนั้นยื่นออกมาในอากาศ

“ดูให้ดีเสียก่อน เฉินเสี่ยวซวิน จงดูให้ดี” เฉินเอินส่งยิ้มให้ ขยับตัวเข้าไปใกล้

“ท่าน…” หญิงชราเบิกตากว้าง “ท่านที่อยู่ในนิทานก่อนนอน ซวินซวินเคยเห็นท่านเมื่อตอนเป็นเด็กและเห็นอีกครั้งในงานศพวันนั้น ซวินซวินฝันถึงท่าน ‘เฉินเอิน’ ป้ายชื่อของท่าน ซวินซวินยิ้มอยู่ในใจทุกครั้งเมื่อมีคนไปกราบไหว้ยังหลุมศพอันว่างเปล่าเพราะซวินซวินรู้ว่าท่านไม่ได้อยู่ที่นั่น แต่ว่า น้ำชานั่น…น้ำชานั่น…” ความทรงจำกลับมาชั่วขณะ เหมือนเปลวเทียนที่ลุกโพลงสว่างจ้าก่อนที่อีกไม่นานมันจะดับลับเลือนเพราะโรคภัยคุกคาม

“น้ำชา หาใช่ยาวิเศษจากสวรรค์” เฉินเอินทรุดตัวนั่งลงข้างเตียงจับมือหญิงชราไว้อย่างนั้นก่อนจะลูบมือนั้นเบาๆ คล้ายกำลังปลอบเด็ก “มันรักษาโรคไม่ได้”

ดวงตาของหญิงชราระริกไหว ดูก็รู้ว่าไม่ได้ซึมซับเอาข้อความของเขามาใส่ใจเพราะยังเอ่ยต่อด้วยความอัดอั้นที่พุ่งขึ้นจากแรงอารมณ์ มือเหี่ยวย่นกำแขนของบุคคลซึ่งภายนอกดูอ่อนวัยกว่าเอาไว้แน่น

“พักนี้ซวินซวินลืมเลือน หลายสิ่งหลายอย่าง…” น้ำตาเอ่อขึ้นคลอดวงตาที่ครั้งหนึ่งเคยฉายชัดวาววามไปด้วยความสุขและความทุกข์ แต่บัดนี้มันพร่าเลือนไปหมด สุขหรือทุกข์อย่างน้อยก็ยังได้รู้ คนในชีวิตยังอยู่หรือไม่อยู่ก็ยังอยากจดจำ ตัวตนของตัวเอง บางครั้งชื่อก็ยังจำไม่ได้ เคยเป็นใคร เคยชอบอะไร อย่างน้อยก่อนจะตายก็ยังอยากมีความทรงจำนี้ติดตัวไปด้วย

ถึงตอนนี้หลานชายซึ่งยืนมองอยู่เงียบๆ ก็มีสีหน้าลุ่มลึกขึ้น ไม่อาจยืนฟังได้อีกต่อไป เฉินจินเยว่หันหลังกลับเดินออกจากห้องในทันที

มโนชาเหลือบมองคนที่เดินออกไปทางหางตาก่อนจะรู้สึกสะท้อนใจ เฉินเอินไม่ได้สนใจคนที่เพิ่งจะเดินออกไปเพราะกำลังกระซิบคุยกับหญิงชราด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล มันเป็นภาพที่ดูอบอุ่นอ่อนโยนดูน่าจับใจ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็แฝงไปด้วยความหม่นเศร้าสะท้อนสิ่งที่เขาต้องพบเจอ

‘คนที่เข้ามาหาฉัน ทุกคนต่างเพียบล้นไปด้วยปัญหาที่หาทางแก้ไม่ได้’

แล้วเขาก็แบกเอาปัญหานั้นไว้ไม่ต่างไปจากของตัวเอง

มโนชาเดินออกมาจากห้องปล่อยให้เขาได้ใช้เวลาพูดคุยกับคนป่วย เฉินจินเยว่ไม่ได้ปรากฏตัวอยู่บริเวณทางเดิน เธอหันมองซ้ายขวาก่อนจะเลือกเดินมาทางหนึ่งคิดว่าเจอเขาก็ดีไม่เจอก็แล้วไป ยังไงก็ไม่ได้รู้จักมักจี่หรือคุ้นเคยกันอยู่แล้ว เพียงแต่อะไรบางอย่างทำให้เธอเกิดความเห็นอกเห็นใจ มีเงินมีบ้านหลังใหญ่แต่สุดท้ายก็ยังเป็นทุกข์อยู่นั่นเอง มันเป็นเรื่องที่ต่อให้ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าก็ไม่มีทางหลีกพ้น

“อาม่าของฉันก็ป่วยเหมือนกัน เป็นเจ้าหญิงนิทราไม่ได้สติ” เธอเดินมาหยุดอยู่หน้าประตูบานคู่บานหนึ่งซึ่งถูกเปิดอ้าทิ้งไว้ เฉินจินเยว่นั่งอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือทำจากไม้ฉลุลายเมฆ ในมือของเขามีอัลบั้มรูปถ่ายอยู่ เสี้ยวหน้าด้านข้างของเขานี่เองที่คล้ายเฉินเอินที่สุด กรอบหน้าและสันจมูก แต่ดวงตากลับไม่เหมือนกันเลยเพราะฉายแววคนละอย่าง

“เข้าไปได้ไหมคะ” เขาหันมามองเธอด้วยความแปลกใจก่อนจะพยักหน้าลงเป็นการอนุญาต

“เสียใจด้วยเรื่องอาม่าของคุณ” เขาเอ่ยหมายความตามนั้น

“ขอบคุณค่ะ” มโนชาสนใจอัลบั้มในมือเขาตามนิสัยที่ตรงไปตรงมาของเธอซึ่งไม่เคยปิดบังสิ่งที่อยู่ในใจ “ดูได้ไหมคะ” เขาดูแปลกใจอีกครั้ง มือหนาขยับอัลบั้มนั้นเลื่อนไปตรงหน้าเธอ

“ในรูปนี่ใครบ้างหรือคะ” มโนชาเอียงใบหน้ามองดูรูปไล่ไปในกรอบทีละกรอบ

รูปถ่ายในนี้ถูกถ่ายด้วยกล้องฟิล์มทั้งหมด เหมือนจะเป็นงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเด็กหญิงอายุไม่กี่ขวบหน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูในชุดกระโปรงฟูฟ่อง ตรงหน้าเธอมีเค้กวันเกิดซึ่งปักเทียนเอาไว้ บนศีรษะเล็กๆ ก็ยังมีหมวกทรงแหลมสำหรับงานปาร์ตี้สีสวยสดใส

“เด็กคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของผม เธอชื่อหวังอิงอิง นี่ก็พ่อของเธอหวังอวี่ นี่พ่อของผม สามคนในรูปนี้…” เขาหยุดไปนิดหนึ่ง “ไม่อยู่แล้วทั้งหมด เสียชีวิตในเย็นวันนั้นหลังกลับจากงานวันเกิด”

“เสียใจด้วยนะคะ” เขาพยักหน้าลงรับรู้

“ผมป่วยมากในวันนั้นเลยไม่ได้ไป พ่อต้องรีบกลับมาดูเลยทำให้เกิดอุบัติเหตุ มีคนบอกมาแบบนั้น”

“แล้วคุณเชื่อไหม” เขายักไหล่

“จะบอกว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิง แต่ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ ทั้งที่เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว แต่คนที่โทษตัวเองที่สุดกลับกลายเป็นป้าใหญ่เพราะป้าเป็นคนเดียวในเหตุการณ์นั้นที่รอดชีวิต ยังโทษตัวเองว่าถ้าไม่ขอให้น้องชายมาด้วยเขาก็คงไม่ต้องมาตาย และผมก็ไม่ต้องกำพร้าพ่อ”

เฉินจินเยว่บอกไม่ได้ว่าเพราะอะไรเขาถึงเล่าเรื่องพวกนี้ อาจเพราะเธอเป็นคนเอ่ยปากเล่าเรื่องของเธอก่อน ผู้หญิงคนนี้ดูจะมีความสามารถพิเศษ เป็นลักษณะเฉพาะตัวซึ่งทำให้คนอยู่ใกล้ยอมลดเกราะกำบังที่ขวางกั้นไว้และยอมเผยตัวตนแสดงเนื้อในออกมาได้ง่ายๆ

เรื่องในใจก็เหมือนกับน้ำก๊อกพอเผลอไปไขเข้า สุดท้ายก็ยังไหลออกมาเรื่อยๆ

“อัลบั้มนี้ผมเพิ่งได้มาจากเพื่อนของพ่อโดยบังเอิญเมื่อหลายปีก่อน ผมเก็บซ่อนไม่ยอมให้ป้าใหญ่ได้เห็น กลัวมันจะนำความทรงจำร้ายๆ คืนนั้นกลับมาจนอาการแย่ลงไปอีก”

“ทุกคนในรูปดูมีความสุขจังเลยนะคะ เรื่องร้ายเราย่อมต้องจำได้ แต่เรื่องดีก็ยังมีดูได้จากสีหน้าของทุกคนในรูป” ทุกคนยิ้มกว้าง สนุกสนาน หน้าตาล้วนเปี่ยมสุข “หากฉันเป็นป้าคุณคงอยากได้ดูสีหน้านี้ของคนที่รักทุกคนอีกสักครั้ง บางทีคนเราก็จมกับความเศร้าจนลืมไปว่าครั้งหนึ่งเคยมีความสุขขนาดไหน ฉันแค่พูดสิ่งที่คิดเฉยๆ ไม่ต้องเชื่อฉันหรอกนะคะ”

เธอทิ้งท้ายไว้แบบนั้นก่อนจะขอตัวกลับออกมาเพราะมีข้อความเข้าจากเฉินเอินเรียกหาเธอ

“อยู่แถวนี้แหละค่ะไม่ได้ไปไหนไกล พอดีเจอญาติของคุณก็เลยได้คุยกันนิดหน่อย” เขาพยักหน้ารับคำ ส่งยิ้มน้อยๆ ซึ่งคุ้นตาคุ้นใจเป็นอย่างดีมาให้

เพียงไม่นานเฉินจินเยว่ก็กลับเข้ามาพร้อมกับอัลบั้มรูปในมือแล้วตรงดิ่งเข้าไปยังเก้าอี้โยกริมหน้าต่างซึ่งป้าใหญ่ของเขานั่งอยู่

“ป้าใหญ่” มือหนาของเฉินจินเยว่จับมืออันเหี่ยวย่นวางลงบนหน้าปกอัลบั้มรูป หญิงชราหันมายิ้มให้ก่อนจะเปิดสมุดภาพดูด้วยความสนใจ มือของหญิงชราสั่นเล็กน้อยก่อนสุดท้ายจะยกมือขึ้นมาปิดปากไว้ด้วยความประหลาดใจ

ความทรงจำนี้เองที่เคยหายไป

เฉินเสี่ยวซวินจำไม่ได้เลยเรื่องราวในคืนนั้น อันที่จริงเธอเกือบจะลืมใบหน้าของลูกสาวไปเสียแล้วด้วย แม้ไม่อยากลืมกลับจำไม่ได้ ผิวแก้มอันนุ่มนวลและมีกลิ่นหอมราวกับนมสด ดวงตากลมโตซึ่งวาวใสบริสุทธิ์และงดงามยิ่งกว่าอัญมณีชนิดใดบนโลก มือเล็กๆ ที่ชอบจูงมือแม่ไปทางนั้นทีทางนี้ที และยังริมฝีปากจิ้มลิ้มช่างเจรจานั่นที่ทำให้เวียนหัวทุกครั้งเมื่อเกิดนึกอยากจะพูดขึ้นมา

“คิดว่าถูกน้ำพัดไปหมดแล้ว ตอนนั้นบ้านหลังเก่าของเรามีน้ำท่วมครั้งใหญ่ รูปถ่ายทั้งหมดหายไปไม่เหลือแม้แต่รูปเดียว นี่หลานไปเอารูปพวกนี้มาจากที่ไหน” นานมากแล้วที่ป้าใหญ่ไม่เคยเอ่ยเล่าเรื่องราวอะไรได้เป็นเรื่องเป็นราวขนาดนี้ เธอจำได้แม้กระทั่งอุทกภัยครั้งใหญ่หลายปีก่อนหลังจากเกิดอุบัติเหตุ นับวันอาการแย่ลง คนป่วยก็ยิ่งพูดน้อยลงเรื่อยๆ

หรือว่า…ได้รับน้ำชาแล้วอย่างนั้นหรือ…

เฉินจินเยว่หันขวับไปหาเฉินเอินซึ่งทอดสายตามองอยู่ก่อนด้วยแววปรานี เจ้าของน้ำชาอันวิเศษส่ายหน้าปฏิเสธ เฉินจินเยว่ถึงหันไปตอบคำถามของป้าใหญ่

“ร้านถ่ายรูปของอาเหอเพื่อนพ่อ หลังเสร็จงานวันนั้นป้าใหญ่อาจจะลืมว่าพ่อแวะเอารูปไปล้าง แต่ไม่มีโอกาสได้กลับไปเอาอีกเลย เมื่อไม่กี่ปีก่อนบังเอิญได้พบอาเหอ ทางนั้นเลยไปเอามาให้ ผมไม่อยากให้ป้าคิดมากอาการจะแย่ลงไปกว่าเดิมเลยไม่ได้เอามาให้ดู”

“ไม่เป็นไรๆ จินเยว่หลานอย่าเสียใจไปเลย ดูตอนนี้ก็ยังไม่เสียหาย ดูพ่อของหลานสิกำลังแบ่งเค้กใส่กล่องจะนำไปให้หลานที่บ้าน พี่สาวของหลาน อิงอิง ป่านนี้คงโตเป็นสาวได้แต่งงานและมีลูกอายุเท่ากันกับตัวเองในรูปนี้แล้ว เพียงแต่ว่าเป็นลิขิตสวรรค์ให้เราเจอกันไม่นาน แต่ต่อแต่นี้หนทางข้างหน้า ป้าก็หวังเพียงแต่ว่าจะไม่เลอะเลือนหลงลืม อย่างน้อยได้พบกันบนนั้นก็ยังคงจำกันได้” นี่คือสิ่งที่เฉินเสี่ยวซวินกลัวจับจิตจับใจ กลัวว่าหากตายไปจะจำใบหน้าลูกสาวและสามีไม่ได้ ยังรวมถึงน้องชายของนางอีก

สมองนี้ที่ไม่ได้อย่างใจ ก็หวังเพียงจะได้พึ่งพาน้ำชาในตำนานของบ้านจากบุรุษผู้ไม่มีวันตายคนนี้

เฉินเอินดังเข้าใจในความคิดที่ยังไม่แม้แต่จะเอ่ยออกมาเป็นคำพูด แต่สายตาของคน บางครั้งก็คือคำพูดที่ดีที่สุด

“ฉันไม่อาจบอกได้ว่าในตอนผู้คนซึ่งรับชาเหล่านั้นตายจากไป ความทรงจำที่เคยเห็นและเคยหายไปเพราะฤทธิ์ของน้ำชาจะกลับคืนมาหรือไม่ แต่เชื่อได้ว่าสมองคือส่วนประกอบของร่างกายที่จะสลายไปเมื่อแตกดับ ทว่าความทรงจำกลับจารึกทิ้งรอยสลักจารลึกอยู่ในจิตวิญญาณ บ่งบอกตัวตนของคน เพื่อจดจำความดีเลวที่เคยทำเหมือนอย่างในตำนาน ความทรงจำนั้นจะติดตัวไปจนกระทั่งถึงสะพานจนกว่าจะได้รับน้ำเบญจรส (2) แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ต้องหายไปอยู่ดี ทั้งเจ็ดอารมณ์หกปรารถนา (3) เกิดเป็นตัวตนใหม่ เวียนว่ายตายเกิดไปอย่างนี้เรื่อยๆ”

สุดท้ายมโนชาก็ไม่ได้เห็นในสิ่งที่เธออยากเห็น ไม่ได้เห็นการรับน้ำชาความทรงจำนั้นเพราะเฉินเสี่ยวซวินในตอนที่มีสติดีที่สุดได้คิดทบทวนตามคำของเฉินเอิน มนุษย์เองเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติและแม้แต่ธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ก็ยังเปลี่ยนแปลงไปไม่คงอยู่ตามหลักของคัมภีร์อี้จิง

การจะดึงดันยึดเกาะกับความทรงจำและตัวตนของตนอย่างแน่นเหนียวไม่ได้ทำให้เกิดความสุขแต่ก่อให้เกิดทุกข์ เฉินเสี่ยวซวินเพียงได้แต่กล่าวคำขอบคุณผู้เป็นบรรพบุรุษซึ่งไม่ได้วางเฉยเมื่อได้รับข่าวสารขอความช่วยเหลือออกไป ก่อนจะเน้นย้ำกับหลานชายว่าหากตนตายไปเมื่อไรก็ให้ใส่รูปครอบครัวในอัลบั้มนี้ฝังลงไปพร้อมกับนางด้วย

มโนชาและเฉินเอินกลับออกมาจากบ้านตระกูลเฉินเมื่อตะวันใกล้ลับฟ้า เบื้องหน้าคือถนนที่ทอดยาวซึ่งเขาและเธอยังต้องเดินหน้ากันต่อ บ้านสกุลเฉินที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นบ้านของเขาถูกทิ้งไว้เบื้องหลังยามจากมาและความใหญ่โตนั้นก็กลับเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อมองผ่านกระจกมองหลัง

 

เชิงอรรถ : 

(1) ความหมายของแซ่เฉิน ยืนยง คงอยู่ เก่าแก่

(2) น้ำเบญจรสหรือน้ำแกงยายเมิ่งเป็นตำนานเรื่องหนึ่งของจีนเกี่ยวกับความตาย ว่ากันว่าวิญญาณที่ตายไปจะต้องข้ามสะพานซึ่งมีศาลายายเมิ่งตั้งอยู่ เมื่อได้ดื่มน้ำชนิดนี้เข้าไปจะทำให้ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตก่อนจะได้ถือกำเนิดต่อไป

(3) เจ็ดอารมณ์ ยินดี โกรธ เศร้า กลัว รัก เกลียด ใคร่ หกปรารถนา ปรารถนาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ



Don`t copy text!