โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (1)
โดย : ปีกดอกไม้
โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co
มโนชาไม่เคยคาดคิดเลยว่าตัวเองจะต้องมาพัวพันกับเรื่องอะไรพวกนี้ เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติ พลังประหลาดและการอยู่เป็นอมตะ เธอได้เห็นบางสิ่งประจักษ์กับสายตา แต่ใช่ว่าจะเชื่อไปเสียทีเดียว
“ซิน…” เสียงเขาเอ่ยเรียกชื่อเธอก่อนที่ร่างสูงจะเดินมาทรุดตัวนั่งที่เก้าอี้ข้างเตียง “ฉันมีบางที่จะต้องไป จะไม่ว่าเธอเลยหากเธออยากจะอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าจะถึงกำหนดกลับในอีกสองวันข้างหน้า หรือบางทีหากเธอจะมาด้วยกันก็จะได้เห็นกับตา การรับน้ำชาความทรงจำจะมีขึ้นอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ที่บ้านเกิดของฉัน”
ยิ่งใกล้ถึงเทศกาลชิงหมิง (1) อากาศก็เริ่มอบอุ่นขึ้น อุณหภูมิที่หางโจวแตกต่างจากที่ลี่เจียงอย่างเห็นได้ชัดเพราะเป็นเขตที่ราบต่ำ ต้นเดือนเมษายนแบบนี้ดอกท้อเบ่งบานไปทั่วทุกหนแห่งแต่งแต้มเมืองหลวงเก่าให้ดูมีสีสัน ต้นหลิวริมทะเลสาบซีหูกลายเป็นสีเขียวสด จักจั่นส่งเสียงร้องรับความมีชีวิตชีวาหลังจากฤดูหนาวอันยาวนานได้ผ่านพ้นไป
แรกที่เธอได้ยินเขาพูดว่าบ้านเกิด ขณะทุกอย่างกำลังวุ่นวายคล้ายจริงคล้ายไม่จริง อยู่ดีๆ เธอก็เกิดความคิดที่ผุดขึ้นมาอย่างไม่มีที่มาที่ไป เธออยากเห็นบ้านเกิดของเขา อยากรู้ว่าเขาเติบโตมาแบบไหน
เฉินเอินพามโนชาเข้าเช็กอินที่โรงแรมธุรกิจขนาดใหญ่ใจกลางเมืองเพื่อเก็บข้าวของและล้างหน้าล้างตา พอคิดทบทวนดูอีกทีอย่างรอบคอบเธอถึงเพิ่งตระหนักได้ถึงความเกี่ยวพันกันของข้อมูลที่รับมา ว่าหากเขามีอายุอยู่มายาวนานและเป็นอมตะจริงก็เท่ากับว่าคนที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาก็คงไม่อยู่แล้ว และลูกหลานของเขาก็จะมีอายุมากกว่าเขาเสียอีก
ในวันรุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันแรกของเทศกาลชิงหมิง เขานัดพบเธอที่ด้านล่างของโรงแรมซึ่งตอนนี้คลาคล่ำไปด้วยบรรดาผู้คนมากมายเพราะเทศกาลชิงหมิงถือเป็นวันหยุดยาวของจีนด้วย เสียงพูดคุยจ้อกแจ้กจอแจทำเอาเธอมึนหัวจนเขาต้องจับจูงออกมาด้านนอกซึ่งมีรถยนต์จอดรออยู่แล้ว
เฉินเอินเป็นคนขับรถด้วยตัวเองในคราวนี้ ตอนอยู่เมืองไทยเธอไม่เคยเห็นเขาขับรถมาก่อนอาจเพราะถนนอยู่คนละฝั่งก็เป็นได้ หลังจากวันนั้นซึ่งใช้เวลาด้วยกันที่ลี่เจียง ในตอนนี้บรรยากาศมันก็กลับมาเป็นทางการอีกครั้ง
เธอลอบสังเกตเขาครู่ใหญ่ก่อนจะหันไปนอกหน้าต่างเพื่อชมทิวทัศน์ด้านนอกที่ผ่านไปเรื่อยๆ รถเคลื่อนตัวออกมานอกเขตเมือง ชั่วโมงหนึ่งผ่านไปก็เข้ามาจอดยังสุสานขนาดใหญ่แลดูเก่าแก่และโอ่โถงท่ามกลางความสงบเงียบสมกับเป็นบ้านหลังสุดท้ายของคนตาย
รองเท้าหนังคู่มันปลาบก้าวเดินอย่างเรียบเรื่อยสม่ำเสมอไปยังสุสานบรรพชนซึ่งมีโต๊ะตัวใหญ่ตั้งอยู่พร้อมกับของเซ่นไหว้ซึ่งเขาให้ข้อมูลว่าพ่อบ้านจางได้สั่งคนดูแลจัดเตรียมเอาไว้ให้อย่างนี้ทุกปี
มโนชาก้าวขึ้นไปยืนข้างเขาด้วยความอยากรู้ ที่ยังป้ายหน้าสุสานเธอพยายามเขม้นมองแผ่นป้ายหินแกะสลักซึ่งมีสายสกุลจารึกไว้ด้วยน้ำหมึกบอกรายละเอียดว่าผู้วายชนม์คือใคร แล้วคิ้วเรียวก็ยิ่งขมวดปมมุ่นขึ้นไปอีกเมื่อพบว่ารายชื่อที่ถูกจารึกไว้บนนั้นปรากฏอยู่ในสาแหรกครอบครัวหนึ่งซึ่งเขาเคยให้เธอแปลเป็นภาษาไทย
“สกุลหงหรือคะ” เขากดหน้าลงหนึ่งครั้งแทนคำตอบ
ลมหอบใหญ่พัดขึ้นจากยอดหญ้าหอบเอาฝุ่นผงและเศษใบไม้ขึ้นมาค้างอยู่ตรงแท่นบูชาหน้าแผ่นป้าย เฉินเอินก้าวขึ้นไปใช้มือปัดมันออก
เขาหยุดยืนนิ่งจ้องมองไปยังแผ่นป้ายหนึ่งอยู่เป็นนาน ‘หงเป่า’ คือชื่อที่ถูกสลักเอาไว้
ครู่ใหญ่เขาก็ขยับไปอีกที่เพื่อที่จะได้มองอักษรที่จารึกชื่อไว้ ‘หงลี่หยุน’ มือหนาสัมผัสกับรอยสลักบนแผ่นหินเย็นชืด เพียงครู่ก็ถอยกลับมาแล้วจึงเริ่มพิธีเซ่นไหว้และกลับออกมาหลังจากนั้นโดยไม่รั้งรอเก็บของอย่างที่คนอื่นเขาทำกัน
“สาแหรกครอบครัวที่คุณให้ซินแปลเป็นภาษาไทยกับรายชื่อบนแผ่นป้ายเหนือสุสานนั่นคืออันเดียวกันใช่ไหมคะ ซินจำได้”
“เธอเข้าใจถูกแล้ว สกุลหงคือต้นตระกูลทางแม่ของฉัน” เขาไม่ได้หันมามองเธอ ดวงตาของเขามุ่งตรงไปตามถนนซึ่งทอดยาวออกไป
“เธออาจจะสังเกตได้ว่าสุสานบรรพชนนี้แม้จะถูกดูแลเป็นอย่างดีทว่าไม่มีลูกหลานมาเซ่นไหว้ คิดว่าเธอคงมีคำถามอยู่ในใจ ที่เป็นแบบนี้เพราะมีเหตุการณ์บางอย่างเกิดขึ้นทำให้สายสกุลขาดช่วงไป และตอนนี้ฉันก็กำลังตามหาลูกหลานที่ยังคงหลงเหลือเพื่อจะได้กลับมาทำหน้าที่เซ่นไหว้บรรพบุรุษของตนต่อไป”
“แล้วสกุลเฉินล่ะคะ”
“นั่นคือสิ่งที่เธอจะได้เห็นต่อไป”
บ้านตระกูลเฉินหรือบ้านเดิมของเขา เป็นบ้านโบราณอยู่ในเขตเมืองเก่า มีอาคารและกำแพงหลายชั้นและวางผังไว้อย่างอย่างสลับซับซ้อน ทุกส่วนของตัวบ้านถูกดูแลทำนุบำรุงอย่างดีแม้จะผ่านกาลเวลามายาวนาน ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าประวัติของบ้านหลังนี้มีมาก่อนหรือหลังเฉินเอินจะถือกำเนิด แต่ก็อาจจะเป็นหลังจากนั้นเพราะหากเขาพูดถึงในช่วงที่หางโจวเป็นเมืองหลวงจริงคงย้อนกลับไปหลายร้อยปีทีเดียว
บ้านหลังนี้ในตอนนี้ไม่ได้เป็นที่พักอาศัยทั้งหมด เรือนพักส่วนใหญ่ถูกปิดไว้และมีบางส่วนทำเป็นแกลเลอรีแสดงรูปวาดและประติมากรรมจากหลายยุคหลายสมัยซึ่งล้วนแต่เป็นของเก่าของสะสมซึ่งตกทอดมาหลายต่อหลายรุ่น รวมทั้งยังมีส่วนที่จัดแสดงผลงานของศิลปินสมัยใหม่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานร่วมสมัยที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันมาตามเวลาและวาระ ยังมีส่วนของร้านน้ำชาเล็กๆ ที่ขายชาราคาแพงซึ่งเธอคิดว่าใบชาก็อาจจะเป็นแบบเดียวกันกับโรงน้ำชาที่เมืองไทยก็ได้แต่มันถูกนำมาเพิ่มมูลค่าให้เหมาะสมกับความเก่าแก่หรูหราของสถานที่
เฉินเอินไม่ได้คิดจะแวะละเลียดดื่มด่ำไปกับชาหอมกรุ่น ไม่ได้สนใจจะหยุดชื่นชมธรรมชาติหรือเสพงานศิลป์แต่อย่างใดเพราะเขาเดินตรงไปตามทางเดินสู่เรือนบูรพาอย่างคนมีจุดมุ่งหมายที่ต้องไป
ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รีบร้อนนัก ฝีเท้าของชายหนุ่มเพียงก้าวลงพื้นอย่างเงียบเบาทว่ามั่นคง เธอมองเขาก็ราวกับเห็นแสงเปล่งประกายออกมา แสงแดดอ่อนส่องประกายทาบทาไปตามพื้นไม้บนระเบียงทางเดิน ที่แห่งนี้ให้ความรู้สึกเหมือนกับยามที่เธออยู่ยังโรงน้ำชา มโนชาพลันรู้สึกถึงความสงบและพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในทุกอณูบรรยากาศ
“รู้สึกใช่ไหมซิน พลังชี่ที่ไหลเวียนอยู่ที่นี่ คล้ายกันกับตอนอยู่ในโรงน้ำชาที่เมืองไทยแต่ว่าอาจจะไม่สมบูรณ์บริสุทธิ์เท่าเพราะเวลาผ่านไปพลังงานทั้งหลายย่อมมีการโยกย้ายถ่ายเทไปตามวัฏจักร และที่นี่เองก็ถูกล้อมไว้ในเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยผู้คนซึ่งก็มีผลกับพลังงานทั้งหมดเช่นกัน” เขาเอ่ยเดินเรียบเรื่อยไปตามระเบียงทางเดินด้วยความคุ้นเคย สองเท้าเคลื่อนไหวแผ่วเบา ทุกอย่างดูนุ่มนวลสอดคล้องราวกับว่ากำลังอยู่ถูกที่ถูกทาง
“คุณเคยอยู่ที่นี่หรือคะ”
“ครั้งหนึ่งเมื่อนานมาแล้ว แต่ตัวอาคารทั้งหมดรวมถึงกำแพงที่ล้อมรอบได้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่หลังจากนั้นหลายศตวรรษ แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น เมื่อเทียบกับสิ่งก่อสร้างด้านนอกที่นี่ก็ยังเรียกว่าเก่าอยู่ดี” เป็นอีกครั้งแล้วที่ปากเขายิ้มแต่ตาเขาไม่ได้ยิ้มด้วย เขายังคงพูดต่อ
“น้ำชาความทรงจำจะได้ผลก็ต่อเมื่ออยู่ในที่ที่มีพลังงานชี่ไหลเวียนโดยสมบูรณ์พร้อมเท่านั้น และชานี้มีฉันคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรังสรรค์มันขึ้นมาได้ ในที่แบบนี้ ฉันซึ่งเป็นคนชงชาจะรู้สึกว่าประสาทสัมผัสตื่นตัวเป็นพิเศษและชาที่ชงออกมาจะมีประสิทธิภาพดีกว่าชงในที่อื่นๆ นั่นยังรวมถึงภาพในหัวของตัวผู้รับชาเองด้วย จะฉายชัดหรือสลายหายไปโดยสมบูรณ์ ก็ล้วนเกี่ยวข้องกับพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในสถานที่นั้นๆ ทั้งสิ้น อ้อ…ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ฉันยังไม่ได้บอกเธอ นั่นคือเมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันอยู่ในเขตพลังชี่บริสุทธิ์อย่างโรงน้ำชาหรืออย่างที่นี่ ประสาทสัมผัสของฉันจะไวกว่าปกติ”
“เป็นต้นว่า?” มโนชายังไม่ค่อยเข้าใจ
“เป็นต้นว่า หากเธอนำฉันไปนินทากับใครก็ตามและฉันตั้งใจจะฟัง ฉันก็จะได้ยินเธอพูดแม้จะอยู่ห่างกันเกินระยะได้ยิน หรือเป็นต้นว่าแม้เธอจะยืนอยู่ไกลในระยะที่เห็นคนตัวเท่ามดฉันก็ยังใช้สายตาดูได้คล้ายเลนส์ขยายและบอกรายละเอียดในสิ่งที่เห็นได้ สิ่งนี้ที่เกิดขึ้นก็เพราะว่าฝึกปราณมายาวนาน และเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมมันก็จะเผยตัวเองออกมา”
มโนชานิ่งไปค่อนข้างตกตะลึง เรื่องเก่ายังไม่ได้ทำความเข้าใจความสามารถใหม่ก็เข้ามาอีก พยายามนึกในหัวว่าที่ผ่านมาเธอเผลอนินทาอะไรเขาไปบ้างหรือเปล่า ดวงตายาวรีนั้นเหลือบมองเธอนิดหนึ่งแต่ไม่ได้พูดอะไร เพราะกลัวเขาจะกำลังเค้นหาความทรงจำเรื่องที่เธออาจจะเคยนินทาเขาเอาไว้มโนชาเลยรีบพูดเปลี่ยนเรื่อง
“นอกจากทำเป็นอาร์ตแกลเลอรีแล้วที่นี่ไม่มีใครอยู่เลยหรือคะ”
“มีสิ มีคนอยู่ แต่ก็เพียงบางคนเท่านั้น ยิ่งเวลานานไปครอบครัวย่อมมีการแตกสายกันลงไป มีการสืบทอดออกไปในหลายแซ่หลายตระกูล และยังกระจัดพลัดพรายแยกย้ายกันไปแล้วแต่ชะตาและวาสนาจะนำพา บ้านหลังนี้ได้ผ่านยุคสมัยของการเปลี่ยนแปลงมาหลายครั้ง บางคนถูกสงครามทำให้จากบ้านระหกระเหิน บางคนเห็นลู่ทางในการทำมาหากินในถิ่นอื่น หลายคนแต่งงานย้ายออก ที่นี่เลยเหลือคนอยู่ไม่มากนัก” เขาหยุดลงนิดหนึ่ง
“และเฉพาะคนที่นี่เท่านั้นที่รู้ว่าฉันยังมีตัวตนอยู่ เพราะว่ามีคนมากมายที่สุสานฉันถึงไม่ได้พาเธอไป ที่นั่นเองมีหลุมศพของฉันอยู่ โลงว่างเปล่ารอการบรรจุ ส่วนที่บ้านหลังนี้ก็ยังมีป้ายวิญญาณบรรพชน วิญญาณที่ยังไม่ยอมละกายหยาบ” สองเท้าของเขาพาเธอมาหยุดยืนยังเรือนใหญ่ที่สุดทางทิศตะวันออกก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปในห้องซึ่งมีกลิ่นหอมโบราณของกำยาน
“ที่นี่คือหอบรรพชน และนั่นเองคือชื่อของฉัน” มโนชามองตามสายตาเขาไปยังป้ายหนึ่งซึ่งเขาได้จับจ้องมันอยู่ ตัวอักษร ‘เฉินเอิน’ ถูกสลักอยู่บนป้ายไม้ด้านเกือบจะซ้ายมือสุดของหิ้งบูชา
แสงไฟสลัวที่ถูกตกแต่งไว้เหนือหิ้งบูชาฉาบฉายไปยังแผ่นป้าย ขับตัวอักษรสีทองซึ่งตัดกับแผ่นไม้สีเข้มให้เด่นชัดขึ้น เส้นที่ตวัดไปมานั้นงดงามราวกับตัวผู้เป็นเจ้าของ แต่ก็ดูโดดเดี่ยวอ้างว้างในห้องที่เต็มไปด้วยความเงียบเหงาไร้ชีวิตชีวาเช่นเดียวกับตัวตนของเขา
ถัดไปทางขวาและถัดลงมายังมีป้ายอื่นๆ ของบุคคลในสายสกุลที่ลดหลั่นกันตามลำดับอาวุโส นี่คือข้อพิสูจน์อีกข้อใช่หรือไม่เพื่อให้เธอเชื่อว่าสิ่งที่เขาเล่ามานั้นล้วนแต่เกิดขึ้นจริง
“เธอจะกรุณารอฉันเงียบๆ สักครู่ได้ไหม”
มโนชารับคำก่อนจะเดินหันหลังกลับออกมาเพื่อให้เขาได้ใช้เวลาส่วนตัว
เฉินเอินคงจะได้ทำการไหว้คารวะใครสักคนหรืออาจจะหลายคนบนป้ายนั้นเช่นเดียวกัน เขาจะรู้สึกยังไงนะที่ตัวเองมีชื่ออยู่บนป้ายแต่กลับยังมีตัวตนอยู่ที่นี่
บรรยากาศในห้องนั้นมันดูเป็นทางการและวังเวงแห้งแล้งทั้งที่ตกแต่งเอาไว้เป็นอย่างดี รายชื่อบนป้าย ตัวตนของคน ต่างเคยโลดแล่นไปตามบทบาทและหน้าที่ เรื่องราวที่ใครคนนั้นเคยทำมา เรื่องของคนคนหนึ่งซึ่งเคยมีชีวิตมีลมหายใจ สุดท้ายก็เหลือเพียงแผ่นป้ายใบหนึ่งเท่านั้น
มโนชางับประตูอย่างเบามือตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิด พยายามจะตกตะกอนเรื่องต่างๆ แต่มันไม่ง่ายเลย เธอเริ่มจะเชื่อแล้วว่าเรื่องที่เขาเล่าเป็นเรื่องจริง เขามีพร้อมทั้งพยานวัตถุพยานบุคคล ทุกอย่างนี้มันมาไกลเกินกว่าจะเป็นเรื่องล้อเล่น แต่เหตุผลที่เธอสงสัยว่าเป็นเพราะอะไรเขาถึงเลือกบอกเธอในตอนนี้ ทั้งที่มีโอกาสมากมายก่อนหน้านี้หรืออาจจะหลังจากนี้ แต่เขาเลือกบอกในตอนที่เธอเริ่มรู้สึกว่ากำลังหวั่นไหวและเริ่มจะรู้ตัวว่ามีใจให้กับเขา
เฉินเอินเลือกเวลานี้เพราะเขาต้องการตัดไฟตั้งแต่ต้นลม
จิกซอว์หลายตัวที่ทิ้งช่องโหว่เอาไว้เริ่มถูกเติมเต็มขึ้นทีละส่วน เรื่องของเขากับเซี่ยเหมยซีก็เริ่มจะชัดเจนมากขึ้น คิดว่าสำหรับเขาเรื่องมันคงจะมีทีท่าว่าจะซ้ำรอยเดิม อย่างที่เซี่ยเหมยซีมีใจให้กับเขา และตอนนี้เธอเองก็กำลังจะเดินซ้ำรอยเดียวกัน
สองเท้าของมโนชาเหยียบย่างลงบนพื้น เท้าเบาหวิวแต่หัวใจหนักอึ้ง พอรู้ตัวว่าชอบ ก็เหมือนกับทุกอย่างจะแย่งกันทะลักล้นเข้ามา ยิ่งพอรู้เรื่องราวของเขาแทนที่เธอจะตื่นกลัวและดึงตัวเองเอาไว้ได้เพราะเห็นถึงความเป็นไปไม่ได้ แต่สิ่งที่เธอคิดมีเพียงแต่ว่าเขาช่างน่าสงสาร
แผ่นหลังของเขาในตอนที่เธอออกมาจากห้องนั้นมันเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยว หากว่าบ้านหลังนี้ผ่านเหตุการณ์มามากมาย ตัวเขาเองซึ่งเป็นมนุษย์ปุถุชน เป็นคนมีความรู้สึกก็ย่อมต้องผ่านอะไรมามากมายเช่นกัน นึกถึงคนเฒ่าคนแก่ซึ่งยังมีทัศนคติค่านิยมต่างจากคนรุ่นใหม่ยังต้องปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบัน คนมีอายุเหล่านั้นอย่างมากก็ไม่เกินร้อยปี แต่เขาซึ่งอยู่มาตั้งแต่ยังไม่มีแนวคิดเจตจำนงเสรี หรือแนวคิดสิทธิสตรี เขาผ่านมันมาได้อย่างไร
มโนชาทอดถอนใจ คิดว่าตัวเองในเวลานี้ออกจะฟุ้งซ่านจนเกินไป เธอไม่สามารถตกตะกอนอะไรได้ และเหนือสิ่งอื่นใดคือยิ่งคิดก็ยิ่งไม่ได้ให้ความรู้สึกที่ดีเลย
เชิงอรรถ :
(1) เทศกาลชิงหมิง หรือ เชงเม้ง เป็นเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษของชาวจีนและชาวจีนโพ้นทะเล
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 23 : การจากลาครั้งสุดท้าย (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 21 : วันฝนตก (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 20 : สวีสุ่ยเหอ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 18 : ปล่อยเธอไป (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 17 : สุสานบรรพชน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 16 : ความจริงที่เผยออกมา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 15 : ส่งกันเป็นพันหลี่ สุดท้ายก็ต้องร่ำลา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 14 : การจากลา (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 13 : วันไหว้พระจันทร์ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 12 : ความลับในหออำพัน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 11 : ความปวดใจของเซี่ยเหมยซี (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 10 : เขาเป็นใครกันแน่ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 9 : สิ่งสำคัญคือลมหายใจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 8 : นายตำรวจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 7 : ฝันร้าย (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 6 : เรื่องซุบซิบ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 5 : เฉินเอิน (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (3)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 4 : ซินที่แปลว่าหัวใจ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 3 : แขกคนพิเศษ (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 3 : แขกคนพิเศษ (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 2 : พ่อบ้านจาง (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (2)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 1 : เซี่ยเหมยซี (1)
- READ โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน : บทนำ