โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (1)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 19 : เรื่องบังเอิญ (1)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

เฉินเอินไม่ได้พูดว่าปล่อยเธอไปสำหรับเขาคือยังไง แต่สำหรับมโนชาตีความว่าสิ่งที่เขาพูด เธอเองก็ควรจะไปเสียจากที่นี่ ไม่ต้องให้เขาเอ่ยปากเอง เธอจัดการตัวของเธอเองได้

หลังจากเวลาหนึ่งสัปดาห์ในการสอนงานอย่างรีบร้อน เคลียร์ร้านค้าออนไลน์ส่งต่อไปยังพนักงานคนใหม่และสวีสุ่ยเหอที่จำเป็นต้องเข้ามาช่วยดูเป็นการชั่วคราวแล้ว อย่างอื่นก็เรียกได้ว่าไม่มีอะไร

การที่เธอจากไปไม่ได้สร้างความเสียหาย เรียกได้ว่าสามารถจากไปได้โดยที่ไม่ได้สร้างริ้วรอยหรือความแตกต่าง เวลาหนึ่งปีคงยังไม่พอสร้างรอยสลักหยั่งลึกลงในความทรงจำของใครมากนัก เป็นเพียงคนรู้จัก เป็นพนักงานที่เพียงแค่ผ่านเข้ามาและจากไปเท่านั้น

เช้าวันนั้นอากาศที่ร้อนอบอ้าวมาทั้งอาทิตย์เริ่มเย็นสบายก่อนที่สายฝนจะพรำพร่างลงมาอย่างไม่ขาดสาย มีเพียงความขมุกขมัวทำให้มองไม่ชัดแม้กระทั่งใจคน

หลังจากใช้เวลาหนึ่งสัปดาห์ในการทบทวนดู ไม่มีเหตุผลที่เธอจะดื้อรั้นอีกต่อไป เฉินเอินดีกับเธอมากนี่คือสิ่งที่เธอรับรู้ได้ ไม่มีเหตุผลที่เธอจะทำตัวร้ายใส่เขาเพียงเพราะเขาปฏิเสธความรักของเธอ และสิ่งที่ทำให้ทั้งใจอ่อนและอ่อนใจคือนอกจากเขาปฏิเสธหัวใจของเธอแล้ว หากเธอมองไม่ผิดไปเฉินเอินคนนั้นยังปฏิเสธหัวใจตัวเองด้วย

สุดท้ายแล้วมโนชาถึงได้รู้ว่าแม้โลกจะเปลี่ยนไปเป็นศตวรรษหรือหลายศตวรรษ แต่เขายังคงปรับตัวให้เข้ากับทัศนคติของยุคสมัยใหม่ไม่ได้เพราะตัวตนของเขา สิ่งที่เป็นแก่นแท้ยังคงเป็นคนเดิมกับยุคที่เขาจากมา คือถือยึดถือเรื่องหลักเหตุผลมากกว่าความรู้สึก ระลึกถึงหน้าที่มากกว่าจะปล่อยตัวปล่อยใจเพลิดเพลินไปกับกระแสความรู้สึกต่างๆ ที่พรั่งพรูเข้ามารวมถึงความรักด้วย

“ซินมาบอกลาค่ะ” มโนชายืนเก้กังอยู่ตรงประตู ลมพัดผ่านร่างที่มีกลิ่นหอมของดอกไม้อ่อนๆ เข้ามาในห้องเช่นเดียวกับที่พัดเธอเข้ามา และสุดท้ายก็จะได้พัดเธอให้จากไปในที่สุด

เฉินเอินนั่งอยู่ตรงโต๊ะหน้าหอตำรา ที่ซึ่งสองคนเคยใช้เวลาครั้งฝนพรำหัวเราะพูดคุยหยอกล้อกันเรื่องพ่อบ้านจาง ตอนนี้แม้แต่พ่อบ้านจางก็ไม่อยู่แล้ว

ฝนยังคงตกลงมาเรื่อยๆ ท่วมไปหมดทั้งบรรยากาศ เอ่อล้นจนท่วมท้นหัวใจอันหม่นหมอง รู้ตัวอีกทีเธอก็จากไปแล้ว วันนั้นมโนชามาพร้อมสายฝนและจากไปพร้อมกับสายฝนเช่นกัน

ชายหนุ่มยังคงนั่งอยู่อย่างนั้น สิ่งที่เคยยึดถือความผิดชอบชั่วดีตีกันยุ่งเหยิง จนกระทั่งฝนภายนอกหยุดตกและอากาศก็เต็มไปด้วยความสดชื่น แต่ฝนในใจเขาก็ยังไม่หยุดตกอยู่นั่นเอง

สวีสุ่ยเหอเป็นคนขับรถออกไปส่งเธอ สวนทางกับรถอีกคันที่เพิ่งจะเข้ามา เฉินเอินไม่มีสิ่งใดจะทดแทนความรู้สึกดีที่เธอมีให้เขาได้ ยิ่งไม่อาจชดเชยความรู้สึกที่ไม่อาจมอบความรักตอบกลับไป

“คุณเฉินบอกให้พี่สุ่ยเหอแนะนำงานให้ซินหรือคะ” คนพูดถอนสายตาจากทิวทัศน์ด้านนอกมามองคนซึ่งกำลังขับรถอยู่ในตอนนี้

“ถูกแล้ว บริษัทขนส่งจีนข้ามชาติที่รู้จักกันน่าจะเหมาะกับซิน หรือซินอยากลองเปิดโรงเรียนสอนภาษาเล็กๆ ไหม ซินเห็นค่าชดเชยของซินแล้วใช่ไหม ไม่มีข้อความเตือนเงินเข้าหรือ” มโนชาขมวดคิ้วล้วงลงไปในกระเป๋าหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูพลางนึกว่าเขาจะชดเชยอะไร เธอไม่ได้ทำงานผิดพลาด ไม่ได้ถูกจ้างออก ที่ออกก็เพราะตั้งใจจะลาออกเอง

“คุณเฉินเขาทำอะไรคะ ซินถูกจ้างออกหรือไง แล้วค่าอะไรทำไมมันถึงเยอะขนาดนี้ โบนัสยี่สิบสี่เดือนหรือไง” เธอชอบเงินแต่ไม่ได้หน้าเงิน ชอบให้เขาซื้อของให้แต่ไม่ได้อยากได้ของเขาแบบนี้เลย

“รับไปเถอะถือว่าเป็นค่าปิดปาก” มโนชาซึ่งกำลังนึกเกรงใจเปลี่ยนอารมณ์ในทันที เธอแอบด่าอยู่ในใจ ไม่รู้ด่าใครดี คนที่ให้เงินคนนั้นกับคนพูดกึ่งเล่นกึ่งจริงคนนี้ งั้นเธอก็จะรับไว้แล้วกันในข้อหาหมั่นไส้

 

รถสีดำของโรงน้ำชาจากไปไม่นานรถเอสยูวีของสารวัตรพร้อมรบก็ขับสวนทางเข้ามา เพียงแต่เพราะฝนที่ตกบังตาไม่อาจบอกได้ว่ารถที่สวนมาคือรถของคนซึ่งเคยพบกันมาก่อน

นายตำรวจหนุ่มใหญ่วัยกลางคนมาโดยไม่ได้บอกกล่าวกับเจ้าของโรงน้ำชานี้ก่อน แต่เพราะได้ข่าวมาว่าฝั่งนั้นเพิ่งจะกลับมาจากเมืองจีนไม่นานก็เลยคิดว่าคงจะยังไม่ได้ออกไปไหนอีกในเวลานี้

สถานที่แรกที่ผู้มาใหม่ย่างเท้าเข้าไปคือที่ตั้งของร้านน้ำชาธรรมดาๆ ในชั้นล่างและหออำพันบนชั้นสอง ทว่าเมื่อเปิดประตูเข้าไปพร้อมกับเสียงกรุ๋งกริ๋งที่แทบจะถูกกลบมิดจากเสียงฝนภายนอกกลับพบว่าคนที่เจอไม่ใช่คนที่คาดคิด

“มโนชาไปไหนเสียแล้วล่ะครับ” เขาถามหาคนที่ควรอยู่ก่อนถามหาคนที่ต้องการพบเสียด้วยซ้ำ

“เพิ่งจะออกไปเมื่อกี้นี้เองค่ะ หมายถึงว่าลาออกแล้วน่ะค่ะ” แม้ค่อนข้างแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ติดใจอะไร เดิมทีคิดว่ามโนชาคงกลายเป็นส่วนหนึ่งของที่นี่ไปแล้วเพราะได้ตกระกำลำบากผ่านเหตุการณ์เลือดตกยางออกกับเจ้าของโรงน้ำชามาด้วยกัน ไม่คิดว่าจะมาไวไปไวขนาดนี้

“คุณเฉินอยู่ที่ไหนหรือ”

สารวัตรพร้อมรบถามออกไปแบบนั้นแต่คิดว่าไม่สู้ถามเองน่าจะดีกว่า มือหนานั้นเลยกดโทร.หาคนที่ตั้งใจจะมาหา เพียงครู่เดียวเขาก็หันไปบอกเด็กสาวเฝ้าร้านว่าจะเข้าไปพบคุณเฉินด้านใน เธอก็ปล่อยให้เขาเข้าไปง่ายๆ นึกถึงพ่อบ้านจาง เซี่ยเหมยซี สวีสุ่ยเหอ ไปจนถึงมโนชายังมีท่าทีเอาใจใส่กว่านี้ และก็คงจะสอบถามกับเจ้าของที่นี่ก่อน ไม่ใช่ให้แขกแปลกหน้าเดินเข้าไปสถานที่ภายในเอง อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาจะก้าวก่าย แต่ก็คิดว่าจะเอ่ยเตือนเฉินเอินเอาไว้บ้างเหมือนกัน

นายตำรวจวิ่งกลับไปเอาร่มและซองเอกสารซึ่งอยู่บนรถ ก่อนจะใช้เสื้อเชิ้ตซึ่งใส่ทับเสื้อยืดตัวในห่อมันไว้ภายใต้เงาของร่มอีกชั้นหนึ่ง

กว่าจะมาถึงที่พักของเจ้าของโรงน้ำชาทางด้านในขากางเกงก็เปียกจนชุ่ม รองเท้ายิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะทั้งโดนโคลนและน้ำที่กระเด็นขึ้นจากหญ้าดีดใส่จนสภาพยากจะบรรยาย ตรงข้ามกับบรรยากาศสวยงามเรียบง่ายสะอาดสะอ้านในห้อง

คนที่รออยู่ไม่ได้รอช้า เฉินเอินรีบเชิญให้แขกเข้ามาข้างในก่อนจะบอกให้ใช้ห้องน้ำและชงชาให้ถึงได้เริ่มคุยธุระซึ่งน่าจะเป็นเรื่องสำคัญเพราะฝั่งนั้นถึงกับมาเอง

“ผมมาด้วยตัวเองเพราะครั้งนี้เบาะแสที่คุณเฉินไหว้วานให้หามันคืบหน้าไปมาก”

มือของนายตำรวจค่อยๆ แก้เชือกที่ผูกแฟ้มเอาไว้และเริ่มเรียงรูปถ่ายบนโต๊ะ เฉินเอินลุกขึ้นเดินไปเปิดไฟเพราะแสงยามสนธยาเริ่มจะราลงไปทุกที และอีกไม่กี่นาทีราตรีอันมืดมิดก็จะคลี่คลุมบรรยากาศทั่วทั้งโรงน้ำชา เสียงน้ำที่ค้างอยู่บนหลังคาหยดลงมาดังติ๋ง ขณะที่แสงไฟสีเหลืองนวลตาสาดส่องไปทั่ว ร่างสูงเพ่งสายตาไปตามรูปถ่ายบนโต๊ะ

“ที่นี่คือโรงเจซึ่งถูกก่อตั้งโดยบุคคลที่มีชื่อว่านายล้ง แซ่อั๊ง แม้ไม่ใช่ชื่อเดียวกันกับรายชื่อสุดท้ายที่คุณเฉินให้ข้อมูลว่าได้อพยพย้ายถิ่นมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ แต่พอจะมีบันทึกของผู้ร่วมโดยสารเรือลำเดียวกันว่าบิดาของนายล้งคือคนที่เราสืบหา ผมเองก็เพิ่งจะทราบว่าการสืบค้นข้อมูลจากบนลงล่างยากกว่าการสืบข้อมูลจากล่างขึ้นบนจนแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยเพราะผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดล้วนไม่มีชีวิตอยู่แล้ว ทำได้เพียงหาหลักฐานจากสาแหรกครอบครัวที่คุณเฉินให้มาเทียบกับสำมะโนประชากรซึ่งค้นได้ช้ามากเพราะเป็นข้อมูลกระดาษ” เฉินเอินพยักหน้ารับรู้ พร้อมรบเอ่ยต่อไป

“แซ่หงมาอยู่ที่นี่ก็คือแซ่อั๊งอ่านตามอย่างสำนวนแต้จิ๋ว ช่วงท้ายของข้อมูลทางฝั่งจีนได้ชี้ให้เห็นว่าคนในสกุลหงเริ่มอพยพลงใต้มาเรื่อยๆ จากหางโจวมายังเฉาโจวซึ่งใช้เวลาหลายชั่วอายุคนจนสุดท้ายก็ย้ายมาเมืองไทย ถึงอย่างนั้นในเมืองไทยเองก็ยังมีการโยกย้ายที่อยู่หลายครั้ง เอกสารของแต่ละเขตที่เก็บไว้ก็อยู่ในสภาพต่างกัน บางเขตค้นไม่ได้ทำให้การสืบหาขาดช่วงไปจนต้องปะติดปะต่อเอาเองจากบันทึกต่างๆ ยังดีที่ว่าอักษรหงเขียนต่างจึงพอจะแยกแยะได้ว่าสายไหนเป็นสายไหน แม้จะนานแต่สุดท้ายมันก็นำพาเรามายังจุดหมาย”

“รูปนี้คือ…” เฉินเอินเลื่อนภาพถ่ายตรงหน้าสลับไปมา พิจารณาดูทีละภาพอย่างช้าๆ

“นี่คือภาพเก๋งจีนซึ่งเป็นหอบรรพบุรุษที่ถูกไฟไหม้ ในนั้นมีป้ายวิญญาณบรรพชนสกุลหงสายที่เรากำลังตามหากันอยู่ซึ่งตอนนี้ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่เลยนอกจากเศษซากสิ่งก่อสร้าง”

“ได้ลองสอบถามผู้คนแถวนั้นดูบ้างหรือยัง หรือบางทีพอจะเรียกหาขอดูรูปเก่าในตอนที่เก๋งจีนหลังนั้นยังไม่ถูกไฟไหม้จากชุมชนรอบข้างดูได้ไหม เพราะอันที่จริงแล้วหากลูกหลานสกุลหงคนนั้นเป็นผู้ก่อตั้งโรงเจจริงย่อมต้องพักอาศัยอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล”

“ผมลองเข้าไปสำรวจสถานที่และสอบถามดูแล้ว เพียงแต่ว่าคนที่อยู่ในเหตุการณ์นั้นที่พอจะสอบถามได้ก็ย้ายออกไปจากชุมชนเสียเยอะเพราะเป็นชุมชนเก่ากระทั่งรถยนต์ยังวิ่งสวนกันไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ได้รู้ชื่อทายาทคนล่าสุดจากเอกสารของทางเขต แย่หน่อยที่ฝั่งนั้นย้ายออกไปแต่ตัวแต่รายชื่อไม่ได้ย้ายไปด้วย และบ้านเก่าที่เคยอยู่ตอนนี้ก็ถูกปิดไว้เงียบเชียบ พอดีผมต้องเดินทางไปเชียงใหม่ด้วยธุระด่วนทางราชการเลยถือเอกสารมาตั้งใจมาพบคุณเฉินด้วยตัวเอง ระหว่างนี้ลูกน้องของผมจะพยายามควานหาตัวคนคนนั้นให้”

“ขอบใจมากพร้อมรบ” เฉินเอินเอ่ยทอดถอนใจยาวรู้สึกเหนื่อยขึ้นมาหลายส่วน

เมื่อผ่านเวลาสำคัญไปแล้วบรรยากาศโดยรอบถึงได้ผ่อนคลายลง เจ้าของที่นี่ชักชวนให้แขกผู้มาเยือนพักค้างคืนก่อนค่อยไปเชียงใหม่ในตอนเช้าซึ่งอีกฝั่งก็รับคำอย่างว่าง่าย

 



Don`t copy text!