ฝุ่นในสายลม บทที่ 13 : เงาในกล้อง

ฝุ่นในสายลม บทที่ 13 : เงาในกล้อง

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

มารู้สึกตัวลืมตาตื่นอีกครั้งก็พบตัวเองนอนอยู่ที่เดิมบนเตียงนอนในโรงแรม

แดดภายนอกสาดแสงจ้าผ่านทะลุหลืบผ้าม่านที่ปิดไว้อย่างหละหลวม

รีบพลิกตัวดูเวลา เกือบเที่ยง…

เขานอนเข้าไปยังไงตั้งเกือบเที่ยง…

รีบลุกขึ้นอาบน้ำอาบท่า ความฝันเมื่อคืนผ่านเข้ามาเป็นระลอก ชัดเจนเสียจนไม่อยากจะคิดว่ามันเป็นความฝัน ภาพเงาประหลาดสามเงาที่เขาไม่แน่ใจว่ามันคืออะไรกันแน่ยังชัดเจนในความรู้สึก

ไหนจะการที่ตัวเองลอยตัวทะลุเพดานห้องออกไปภายนอกนั่นอีก แม้จะเคยฝันเหาะเหินเดินอากาศมามั่งแล้วแต่ครั้งนี้มันไม่เหมือนกัน ไหนจะภาพแสงสีเขียวจ้าที่ส่องเป็นลำมากระทบตัวเขาจนหนาวยะเยือก ความชาวาบไปทั่วร่างยังคงอยู่ในความทรงจำไม่ต่างอะไรกับว่ามันเพิ่งจะเกิดขึ้้นมาสดๆ ร้อนๆ

อาบน้ำเสร็จก็ชงกาแฟกินและเปิดดูวิดีโอที่ตั้งกล้องถ่ายไว้ทั้งคืน มองไม่เห็นวี่แววว่าจะมีใครมาล้อมตัวเขาหรือแม้กระทั่งการลอยตัวของเขาก็ไม่ได้ปรากฏอยู่ในกล้องแต่อย่างใด เท่ากับยืนยันว่ามันเป็นเพียงแค่ความฝันที่อาจเกิดขึ้นได้ จากความหมกมุ่นฝักใฝ่เกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวมากเกินไปนั่นเอง

แต่คนเราจะอินกับงานที่ทำถึงขนาดเก็บเอาไปฝันร้ายติดต่อกันขนาดนั้นเลยหรือ

…มันไม่น่าจะใช่…

ที่สำคัญมันเหมือนเกิดขึ้นจริงๆ จนเขาแทบจะแยกแยะมันออกจากกันไม่ได้เลยว่าฝันหรือจริง

นั่งอยู่ในห้องไม่ติดและถือโอกาสออกไปเดินสำรวจภายนอกโรงแรม มันมีร้านสะดวกซื้อแถวนั้นจริงๆ เสียด้วย แถมกำลังมีการก่อสร้างหลังคาโรงแรมที่เขาไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนตอนเข้ามา

แวะซื้อของใช้ที่จำเป็นก่อนที่จะกลับไปยืนคุยกับเจ้าหน้าที่ที่เคาน์เตอร์ในโรงแรม ถามเกี่ยวกับการก่อสร้างและฝ่ายนั้นก็เล่า

“เคยมีไฟไหม้ครับ หลังคาพังไปทั้งแถบ เมื่อเดือนที่แล้วนี่เอง เลยมีการรื้อถอนและซ่อมแซมเสียใหม่”

ไฟไหม้หลังคา…สิ่งที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แต่ก็เห็นมันจากความฝันเมื่อคืน…

กลับมาที่โรงแรมก็พบลูกสมุนมายืนรอกันอยู่แล้วที่หน้าห้อง พอเห็นเขากานนก็รีบถาม

“หัวหน้าไปไหนมาครับ เคาะประตูตั้งนาน”

ภาวินรีบเสียบบัตรและเปิดประตูห้องให้สองคนเดินเข้าไปก่อน กำชับว่า

“ช่วยดูกล้องที่ถ่ายเมื่อคืนให้หน่อยว่ามีอะไรมั่งไหม”

กานนเดินไปเปิดกล้องดู ในขณะที่ฝนดาวจัดเตรียมปาท่องโก๋ใส่จานให้เจ้านาย

“กาแฟไหมคะ”

“เอา ขอหวานๆ หน่อย” ภาวินตอบ แต่เดินไปสำรวจกานนที่กำลังเปิดดูวิดีโอ ถามย้ำว่า

“เห็นอะไรมั่งมั้ย”

“เห็นแค่ดวงไฟเล็กๆ สามจุด นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร”

“มีเงารึเปล่า ตรวจให้ดีหน่อยซิ กล้องอินฟราเรดน่าจะเห็นเงามั่งนะ”

“ไม่มีนี่ครับ”

“เอ๊ะแปลก”

ภาวินหลุดปากออกไปและลูกสมุนก็มองตากันข้ามห้อง

“หัวหน้าเห็นเงาอีกแล้วหรือคะ” ฝนดาวถามขณะชงกาแฟให้เจ้านาย ตามองอีกฝ่ายอย่างขุดค้น

“เหมือนฝันซะมากกว่า” ภาวินจำต้องสารภาพ “รอบนี้เห็นสามเงามายืนข้างเตียง” ยังปกปิดความจริงทั้งหมดและเล่าเพียงส่วนเดียว

“แปลกที่ผมเห็นดวงไฟสีแดงที่มันลอยขึ้นเพดานด้วย” กานนว่า

“แปลว่าอะไร” ภวินถามออกไป

“คิดว่าเป็นพลังงานที่ส่วนใหญ่จะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น แต่กล้องจับเอาไว้ได้”

“กล้องแบบนี้ที่เขาเอาไว้ถ่ายผีไงคะหัวหน้า”

ฝนดาวเดินกลับมาร่วมวงพร้อมกาแฟร้อนใส่นมและมีควันลอยกรุ่น เสริมว่า

“น่าจะไม่ใช่ความฝันแต่มีเจ้าที่เจ้าทางมาหาจริงๆ ฝนเตือนแล้วไงว่าให้จุดธูป บอกท่านก่อน”

“แล้วเสียงล่ะ มีเสียงอะไรแปลกปลอมบ้างไหม” ภาวินจิบกาแฟไปด้วย ตาจ้องจับที่กานนที่พยายามปรับคลื่นเสียงไปมา

“แค่เสียงอู้ๆ เหมือนลมพัด หัวหน้าเปิดหน้าต่างไว้รึเปล่า”

“อาจจะเป็นเสียงแอร์” ภาวินพยายามตัดบท

“ผมว่ามันก็น่าแปลกอยู่เหมือนกันนะ ที่หัวหน้าฝันซ้ำๆ เดิมๆ มาสองวันแล้ว นอกจากเงาคนมายืนแล้วเห็นอะไรอีกครับ”

“ก็แค่นั้น”

ภาวินไม่สบตาใครเลย… มันเป็นความลับที่เขาอยากจะเก็บเอาไว้คนเดียวจนกว่าจะหาคำตอบพบ เพราะเชื่อแน่ว่าขืนเล่าไปจะต้องมีคนโวยวายตกใจ และอาจจะพาไปพัวพันกับเอเลี่ยนที่เขาไม่คิดอยากจะเชื่อ…

แต่ใครจะให้คำตอบเขาได้ ว่าทั้งหมดทั้งมวลมันเป็นความฝันหรือว่าอะไรกันแน่ ประสบการณ์เกี่ยวกับการลอยตัวออกนอกอาคารและถูกซูมด้วยแสงชนิดนั้นมันเป็นเรื่องเหลือเชื่อที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับเขามาก่อนเลย

“จะให้ผมลบเทปไหม” กานนถามมา

“ไม่ต้อง เอาไว้อย่างนั้น แล้วคืนนี้ตั้งกล้องใหม่”

ฝนดาวกับกานนมองตากันอีก

“จนกว่าจะรู้แน่ใช่ไหมล่ะว่าอะไรเป็นอะไร” ภาวินรีบพูด

“แล้วหัวหน้ามีพระห้อยคอรึเปล่าคะ” ฝนดาวถาม

“ทำไมจะต้องมี บอกแล้วว่าไม่เคยเชื่ออะไร พระเพอะก็ไม่เคยแขวน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ด้วย” ภาวินเสียงขุ่น

“ตามตำราว่าถ้าฝันแบบนี้ติดต่อกัน ไม่น่าจะใช่เรื่องดีนะครับหัวหน้า” กานนพูดมั่ง “เพราะมันยังมีสิ่งเหนือธรรมชาติอะไรอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ อย่างเอเลี่ยนนี่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ หมายถึงว่าถ้ามันมีอยู่จริง ระหว่างการเข้าไปพิสูจน์เรื่องนี้พวกเราก็ควรที่จะต้องระมัดระวังตัว เพราะอะไรมันก็อาจจะเกิดขึ้นได้”

“ใช่ค่ะ ป้าฝนยังเคยบอกว่าตั้งแต่เกาะมันโผล่ขึ้นมากลางทะเลก็มีคนสูญหายเยอะ บ้างก็อ้างว่าถูกเอเลี่ยนลักพาตัวไป บ้างก็ไม่เคยกลับมาอีกเลย”

“ที่เรียกกันว่าอุปาทานหมู่นั่นไง ไปๆ มาๆ จะมีคนถูกเอเลี่ยนจับไปกันทั้งเมือง ก็เพราะว่าเชื่อตามกัน เรื่องแบบนี้มันถึงได้ระบาดไปทั่วทั้งโลกแล้ว”

“ฝนยังสงสัยว่าอยู่ดีๆ ใครจะมาบอกว่าตัวเองถูกเอเลี่ยนลักพาตัวไป ให้คนเขาว่าบ้า”

“ก็เพราะว่าบ้าอยู่แล้ว มันจะต้องมีความผิดปกติทางด้านจิตประสาทอยู่บ้าง คนเราถึงเชื่อเรื่องพวกนี้กันเป็นตุเป็นตะ”

“ส่วนใหญ่พวกที่เอามาเปิดโปงในระยะหลังๆ นี่ มักจะเป็นผู้เชี่ยวชาญไม่ทางใดก็ทางหนึ่งนะครับหัวหน้า หมายถึงพวกที่อยู่ในวงการลับในสาขาต่างๆ หรือแม้แต่พวกทหารหรือหน่วยสืบราชการลับในทุกประเทศ ยิ่งประเทศรัสเซียนี่เอาออกมาให้สัมภาษณ์กันไม่ได้หยุด เพราะรัฐบาลอาจจะมีความเชื่อกันอยู่แล้ว ผมว่าคนพวกนั้นน่าจะรู้ดีกว่าคนอย่างเราๆ ที่ไม่ค่อยจะได้รับข่าวสารอะไรในทางลับเลย จนกว่าจะมีอะไรมาตูมตามให้เห็นสักที จากนั้นก็ไม่ได้อยู่ในความสนใจของพวกเราอีก”

“สรุปคือเราสองคนนี่เชื่อเข้าไปกี่เปอร์เซ็นต์แล้วล่ะ ไม่ต้องสืบกันต่อมั้งถ้างั้น” ภาวินประชด ตัดบทต่อว่า “มาเข้าเรื่องงานกันดีกว่า วันนี้อยากจะมอบหมายงานให้พวกเราเข้าไปที่ศูนย์นั่นอีก แล้วหาทางอัดเทปการสนทนาของสาวกในนั้นว่าเขาคุยอะไรกันมั่ง อาจจะได้เบาะแสสำคัญอะไรมา อีกอย่างฝนจะต้องตามประกบตัวเมียนักการเมืองคนนั้นให้ได้ ก่อนที่สื่อหลักจะตื่นตัวแห่มาทำข่าว แต่อย่าให้ใครรู้ได้เลย ว่าพวกเราเป็นนักข่าวแฝงตัวเข้าไป วันนี้ก็เอาตามนั้นไปก่อน แล้วตอนเย็นอย่าลืมหิ้วอาหารเข้ามาด้วย อย่าให้เกินงบห้าสิบบาทต่อหัวล่ะ อย่าลืม”

 



Don`t copy text!