โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (2)

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน บทที่ 22 : ทางเลือกที่เห็นแก่ตัว (2)

โดย : ปีกดอกไม้

Loading

โรงน้ำชาความทรงจำสีอำพัน นิยายโรแมนติกแฟนตาซีที่มีกลิ่นอายจีนโบราณ ผลงานรางวัลรองชนะเลิศโครงการอ่านเอาก้าวแรกปี 4 ของ ปีกดอกไม้ หรือ รสริน พระปริยัติ อ่านเอานำมาให้ทุกท่านได้เพลิดเพลินไปกับบรรยากาศของโรงน้ำชาและเรื่องราวของผู้คนที่นี่ รวมถึงปริศนาเบื้องหลังของน้ำชาความทรงจำนี้ อ่านได้แล้วที่เว็บไซต์อ่านเอา anowl.co

ตอนกลางคืน สองคนไม่ได้อยู่ดึกดื่นเหมือนทุกครั้งที่จะนอนกี่โมงตื่นกี่โมงก็ได้เพราะพรุ่งนี้มีเรื่องที่ต้องทำ เขาพับเก็บกระดาษพยากรณ์พยายามทำจิตใจให้สงบแต่พบว่าช่างยากเหลือเกิน

ชั่ววินาทีหนึ่งก่อนนี้เหมือนเขากำลังต่อสู้กับตัวเอง เขาภาวนาขอให้ผลพยากรณ์ออกมาว่าเธอไม่สามารถรับน้ำชาได้ แต่ถึงแม้เธอจะมีสิทธิ์เขาก็สามารถปฏิเสธไม่ให้มันกับเธอได้ไม่ใช่หรือ แบบเดียวกับที่เขาเคยปฏิเสธคนหลายคนรวมถึงภาทิศ แต่นั่นก็หมายถึงการเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด

ในเมื่อเขาบอกให้เธอไป เขามีสิทธิ์อะไรที่จะเหนี่ยวรั้งความทรงจำของเธอไว้

สุดท้ายเรื่องก็เป็นไปตามทางของมัน และมโนชาก็ได้สิทธิ์นั้น

เฉินเอินนั่งปรับอารมณ์อยู่นานกว่าจะลุกขึ้นมาได้ มือหนากดปิดไฟด้านล่าง สองขาก้าวขึ้นชั้นสองเปิดประตูเข้าไปพบว่าไม่มีที่นอนของเขาวางอยู่ ส่วนมโนขาก็กำลังนั่งหวีผมไม่รอเขาเหมือนทุกวัน

เขาชะงัก ไม่รู้ต้องทำตัวยังไงเพราะเธอไม่พูดอะไร แต่ขณะกำลังจะก้าวถอยหลังออกจากห้องไปเธอก็เรียกเขาเอาไว้

“คืนสุดท้ายแล้วนอนด้วยกันบนนี้ได้ไหมคะ พรุ่งนี้ซินจะไม่มีความทรงจำพวกนี้ อย่างน้อยคืนนี้เราก็ไม่จำเป็นต้องเป็นคนแปลกหน้ากันนี่คะ เล่าเรื่องอะไรที่คุณชอบเล่าแบบทุกคืนก็ได้…”

ร่างสูงขยับเคลื่อนไหวเดินมาขึ้นเตียงตรงส่วนที่เธอเว้นเอาไว้ให้ เขานอนหงายหนุนแขนตัวเองข้างหนึ่งพลางคิดถึงเรื่องที่จะเล่าให้เธอฟัง

“มีนิทานเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับต้นไม้ มันธรรมดาเรียบง่ายมาก…” เขาเริ่มต้นอย่างนั้น

มโนชาหันตะแคงข้างมาทางเขา ดวงตาของเธอสะท้อนแสงไฟมีแววอยากรู้

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีถนนเส้นหนึ่งถูกตัดใหม่อย่างสวยงาม สองฟากฝั่งเป็นตึกอาคารหรูหรา ผู้คนตั้งแต่เด็กผู้ใหญ่ต่างเดินกันขวักไขว่…”

“ไม่เห็นมีต้นไม้สักต้นเลยนี่คะ…” เฉินเอินหัวเราะเบาๆ ขยับพลิกตัวไปทางเธอด้วยรอยยิ้มระอาที่พบเห็นได้บ่อยครั้งยามอยู่กับเธอ

“มีสิมีสองต้น แต่เธอใจร้อนน่ะซิน ใจเย็นหน่อยสิ” เขาเอื้อมมือออกมาบีบจมูกเล็กนั้นเบาๆ

“ต่อได้หรือยังคะ” มโนชาเบ้หน้าปัดมือเขาออก

“ได้ ท่ามกลางตึกอันสวยงาม ริมถนนนั้นปลูกต้นไม้อยู่สองต้นเพื่อให้ร่มเงา ต้นหนึ่งอยู่ถนนอีกฟาก ส่วนอีกต้นก็อยู่อีกฟาก…”

“แล้วยังไงต่อคะ” เธอขยับตัวเข้ามา ดวงตาฉายแววกังขา หัวคิ้วขมวดแน่น

“ไม่ยังไง จบแค่นี้แหละ นอนเถอะ” เขายิ้มให้ก่อนยื่นแขนตัวเองสอดเข้าไปใต้หมอนของเธอ

มโนชากะพริบตาด้วยอาการงุนงงเล็กน้อยแต่ก็ยอมใช้แขนของเขานอนหนุนต่างหมอน พยายามข่มใจตัวเองไม่คิดอะไรให้ฟุ้งซ่านก่อนจะหลับตาและจมสู่ห้วงนิทราในที่สุด

 

เวลานี้ไม่รู้ว่ากี่โมงแล้วแต่เฉินเอินยังคงไม่หลับ ในหัวเขาครุ่นคิดหลายเรื่อง ล้วนเป็นเรื่องไม่น่ายินดี คนในอ้อมแขนของเขาเวลานี้หลับไปแล้ว บอกไม่ได้ว่าเขาชอบเธอตอนหลับหรือตื่นมากกว่ากัน

ในความมืดดวงตายาวรีคล้ายตาหงส์วาวขึ้นด้วยประกายรักใคร่ ความรู้สึกในใจ เขาเองก็รู้เช่นกันว่ามันคืออะไร ความสุขในตอนมีเธออยู่ตรงนี้ไม่อาจบรรยายเป็นคำพูดได้

แต่เมื่อคิดว่ามโนชาถึงกับกล้าจะตัดเขาออกไปจากความทรงจำ ลบไปจากหัวใจ เธออยากลืมเลือนเขาไป หัวใจของเขาก็ราวกับลูกโป่งถูกเจาะลม

“กล้านักนะ ขออยู่ต่อสิบวัน ปั่นหัวฉันจนติดเธอขนาดนี้ยังจะกล้าลืมกันอีก” เขากระซิบเบาๆ อย่างเคืองแค้น แต่ถึงอย่างนั้นกลับมองเธอด้วยแววตาอบอุ่น

“ตอนนี้ถึงเวลานิทานอีกเรื่องแล้ว…” เขากระซิบเบาๆ มือหนาปัดปอยผมเล็กๆ ออกจากกรอบหน้าของเธออย่างทะนุถนอม “นิทานเรื่องนี้มีพระเอกคือฉันเอง”

เขาสูดหายใจเข้า รำลึกรื้อฟื้นความทรงจำที่ฝังลึกจนสร้างตัวตนของเขาขึ้นมา

“เฉินเอินคนนี้มีหน้าที่หนึ่งผูกพันมานานหลายร้อยปี มันเป็นหน้าที่ซึ่งมาพร้อมกับความเป็นอมตะ แม้จะไม่ได้ให้ความสุขทางใจแต่หน้าที่คือหน้าที่ซึ่งบิดพลิ้วไม่ได้ หน้าที่นี้คือการตามดูแลทายาทของสกุลหงซึ่งเป็นสกุลเดิมของแม่ไม่ให้ประสบเคราะห์กรรม เพื่อตอบแทนการสละชีวิตผู้นำตระกูลและคนอีกจำนวนมากที่พลีชีพไปในสนามรบ”

เขาหยุดอยู่ครู่หนึ่งด้วยอาการกลั้นใจเมื่อหญิงสาวขยับตัวเล็กน้อย แต่สุดท้ายเธอก็กลับดำดิ่งลงไปในห้วงนิทรา เฉินเอินจ้องใบหน้านั้นยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยนก่อนจะเล่าต่อ

“เวลาผ่านมาหลายศตวรรษฉันดังคล้ายคนไร้ความรู้สึกขึ้นไปทุกที จนได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่ง แต่เสียใจด้วยนะซินที่ไม่ใช่เธอ” เขาหัวเราะออกมานิดหนึ่งในคราวนี้ นึกไม่ออกเลยถ้าต้องพูดเรื่องนี้กับมโนชาตอนที่เธอมีสติรู้ตัวจะต้องทำหน้ายังไง คงจะนึกเกรงใจเธออยู่หลายส่วน

“ผู้หญิงคนนั้นเกิดในสกุลหง ฉันคิดว่ามันเป็นความรักครั้งแรกของฉัน เมื่อก่อนเราเรียกมันว่าความรักเพียงแค่ได้พบหน้าไม่กี่ครั้งและวิสาสะกันอย่างผิวเผิน ทั้งยังเป็นความรักที่ถูกกีดกันจากบุคคลอื่นเพราะเงื่อนไขชีวิตอันเป็นอมตะนี้เอง สุดท้ายก็กลายเป็นโศกนาฏกรรมด้วยความไม่ตั้งใจ”

“เพราะเหตุการณ์นั้นทำให้ทายาทคนสุดท้ายของสกุลหงหายตัวไปพร้อมกับที่ฉันบังเอิญได้พบความลับที่จะสามารถรังสรรค์ชาความทรงจำขึ้นมาได้ ฉันถึงได้อยู่ด้วยจุดมุ่งหมายใหม่สองประการ อย่างแรกคือหาคนคนนั้นให้เจอเพื่อให้สามารถกลับไปไหว้บรรพบุรุษที่สุสานบรรพชนได้และหากลำบากก็จะได้ช่วยเหลือ ฉันรู้ว่าคนคนนั้นยังมีชีวิตเพราะฉันเองก็ยังมีชีวิต หน้าที่นี้จะจบลงเมื่อฉันหรือทายาทคนสุดท้ายของสกุลหงได้ตายลง” เขาหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะนึกขึ้นได้

“เกือบจะลืมจุดหมายอย่างที่สองไปแล้ว สิ่งนั้นก็คือการใช้ประโยชน์จากชาความทรงจำช่วยเหลือผู้คน คิดว่าอย่างน้อย ช่วยให้มีคนทุกข์ทรมานน้อยลงหนึ่งคนก็คงจะเบาบางสิ่งที่อยู่ในใจได้สักนิดกระมัง หรือบางทีความดีนี้ก็อาจทำให้สวรรค์เห็นใจให้ฉันไม่ต้องทนกับชั่วนิรันดร์อันยาวนานแต่อ้างว้างนี้ต่อไป และเพราะชานี้เองที่ทำให้ฉันได้พบเธอ”

“สิ่งที่ฉันจะบอกเธอซิน…” เขาหยุดอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเริ่มพูดต่อในสิ่งที่ค้างไว้

“ฉันคิดว่าฉันได้อดทนทำหน้าที่นี้มานานพอสมควรแล้ว ฉันช่วยคนทุกข์ แต่ตัวเองกลับยังคงทุกข์ ฉันเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางไกลไม่มีที่สิ้นสุด ระทดท้อกับการต้องปรับตัว ทั้งที่บางครั้งความคิดของฉันมันช่างสวนทางกับความเป็นไปของโลกเสียเหลือเกิน”

“ฉันคิดว่าฉันจะจบมันเสียทีหลังได้พบกับทายาทของสกุลหงซึ่งก็คงอีกไม่นานนี้” ดวงตายาวรีคู่ที่เคยพิจารณาสิ่งต่างๆ รอบตัวด้วยความนิ่งเฉยกลับมีแววลุกโชนคล้ายก้อนถ่านติดไฟยามใกล้จะมอด

“ฉันจะไปรอเธออยู่ข้างหน้า แม้ไม่ได้เคียงข้างเธอในชาตินี้อย่างที่เธอเคยบอก แต่ฉันสัญญาว่าจะจดจำเธอมโนชา ฉันจะนำความทรงจำเรื่องเธอติดตัวไปด้วยในโลกหน้า ฉันจะเดินไปก่อนรอให้เธอตามมา แล้วเราจะได้เดินไปพร้อมกันเสียที…”

เขานึกถึงเธอ เวลาไม่นานที่ได้ใช้ร่วมกัน ยิ่งแสนสั้นราวกับชั่วพริบตาหากเทียบกับเวลาอันยาวนานของเขา ปล่อยเธอไปครั้งหนึ่งเธอก็ยังหวนกลับมาอย่างไม่คิดฝัน แต่สุดท้ายเขาก็ต้องปล่อยเธอไปอีกครั้ง

“ฉันรักเธอ…ซิน…” เขากระซิบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “หัวใจของฉันมันถูกกดให้อยู่ใต้เหตุผล ถูกจองจำไว้ด้วยคำว่าบุญคุณ ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นของเธอ หัวใจอันเป็นอิสระของเธอคือส่วนหนึ่งของฉัน และหัวใจของฉันมันก็เป็นของเธอด้วยเช่นกัน…”

มโนชาซึ่งนอนหลับใหลอยู่ในห้วงนิทราคล้ายกำลังผจญอยู่ในฝันร้าย คนนอนหลับขยับตัวกระสับกระส่าย เพียงครู่ก็กระถดตัวเข้าหาที่สบายในอ้อมแขนของเขา ต่อเมื่อกลับไปดำดิ่งลงในห้วงฝันอีกครั้งเธอก็กลับมาหายใจในจังหวะสม่ำเสมอ คิ้วที่ขมวดมุ่นคลายออก

น้ำตาหยดหนึ่งไหลลงมาช้าๆ

เฉินเอินขยับเช็ดน้ำตา ฝันร้ายเรื่องใดหนอที่ทำเอาเธอร้องไห้ จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับเขาหรือเปล่า หรืออาจจะเป็นนิทานเรื่องต้นไม้ที่ขึ้นคนละฝั่งถนนอย่างไม่มีทางจะบรรจบกันได้

หัวใจของเขาเจ็บปวด ถึงอย่างนั้นก็รู้สึกสุขใจที่ยังได้มีโอกาสลิ้มรสความเจ็บปวดนั้น

มีคนเคยกล่าวว่า ไม่สุขมากไหนเลยจะทุกข์มากจากการจากลา หากไม่เคยสัมผัสกับความรักไหนเลยจะเจ็บปวดเพราะความรัก วันนี้เขารู้ดีแล้วทั้งหมด

ชายหนุ่มกระชับอ้อมแขนอย่างไม่แน่นไม่หลวมเพราะกลัวจะกวนให้เธอตื่น กลิ่นหอมอ่อนๆ ของเส้นผมเธอดังภาพฝัน เป็นครั้งแรกที่ปล่อยตัวปล่อยใจให้วางเหนือเหตุผล

เขาประทับจูบลงบนเส้นผมนั้นสัมผัสความอบอุ่นที่แผ่ออกมาจากร่างในอ้อมแขน รู้สึกเหมือนราตรีกาลอันเหน็บหนาวยาวนานคล้ายจะอุ่นขึ้นมาบ้าง สุดท้ายจึงประทับจุมพิตบางเบาบนริมฝีปาก

หากพรุ่งนี้จะต้องเจ็บปวด ก็จะขอเก็บเกี่ยวความหวานซ่านนี้ไว้ในอกในวันนี้ เพื่อต่อไปในวันหน้าจะได้หล่อเลี้ยงชีวิตที่เหลืออยู่กระทั่งถึงวันที่เขาจะจากโลกนี้ไป

ส่วนเธอก็จะมีแต่ความทรงจำสวยงามปราศจากเขาคนที่เป็นเช่นต้นไม้อีกฟากถนน แม้ถนนจะสวยงามและทอดยาวแต่ก็ไม่มีวันบรรจบกันได้

เพียงแต่หวังว่าหากวันหนึ่งเมื่อถึงเวลา เมื่อต้นไม้ทั้งสองต้นได้กลายเป็นถ่านเถ้าธุลีดินไปตามกาลเวลาและกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เมื่อนั้นเขาและเธอคงจะได้อยู่ร่วมกันอีกครั้ง

 



Don`t copy text!