รักในรอยน้ำตา บทที่ 24 : หัวใจรัก (จบบริบูรณ์)

รักในรอยน้ำตา บทที่ 24 : หัวใจรัก (จบบริบูรณ์)

โดย : ปิ่นฟ้า

Loading

รักในรอยน้ำตา นวนิยายโดย ปิ่นฟ้า เมื่อรักที่ต้องการมาทั้งชีวิต กลับต้องแลกมาด้วยน้ำตาจากผู้ชายที่เธอรักจนหมดหัวใจ แต่เขากลับทำร้ายเธออย่างเลือดเย็น…เรื่องราวสุดเข้มข้นจากการคัดสรรโดยอ่านเอา มาให้อ่านแล้วทางเว็บไซต์ anowl.co และเพจอ่านเอา anowldotco

หลังจากที่เดินทางมาถึงจังหวัดกระบี่ เจตต์ก็พาทุกคนไปเช็กอินที่โรงแรมซึ่งได้จองไว้ โดยเขาได้จองหนึ่งห้องเตียงคู่ พร้อมเตียงเสริมให้รินรดา พรพรรณ และน้ำฟ้าพักอยู่ด้วยกัน ส่วนตัวเองพักอยู่อีกห้องข้างๆ

เขาพาทั้งสามคนไปทำบุญที่วัดในจังหวัดกระบี่ เพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับสรวิชญ์ หลังจากทำบุญเรียบร้อยแล้ว น้ำฟ้าจับมือรินรดาสลับกับจับมือของเจตต์แล้วหัวเราะคิกคัก ก่อนที่เขาจะพาทุกคนขึ้นรถตู้และพาไปรับประทานอาหารกลางวันที่ร้านอาหารริมชายหาดซึ่งเขาจองไว้ก่อนหน้า

บรรยากาศบนโต๊ะอาหารอบอวลไปด้วยความสุขและความสนุกสนานครื้นเครง เสียงหยอกล้อหัวร่อต่อกระซิกท่ามกลางคนที่รักทำให้ความทุกข์ในใจของรินรดาค่อยๆ จางหายไป ก่อนที่เจตต์จะพาทั้งสามคนไปเดินเล่นที่ชายหาด

เจตต์วิ่งเล่นหยอกล้อกับน้ำฟ้า เด็กน้อยหัวเราะคิกคักชอบอกชอบใจก่อนที่เจตต์จะให้หนูน้อยขึ้นขี่คอพาวิ่งไปตามชายหาด และจบลงที่พากันเล่นก่อปราสาททราย โดยมีรินรดากับพรพรรณนั่งเฝ้ามองดูคนทั้งสองด้วยความสุขและอิ่มเอมใจ

“ระริน เจตต์เป็นคนดีมากเลยนะ เข้ากับยัยหนูของเราได้ดี ผู้ชายแบบนี้หายากนะที่จะยอมรับเราและเข้ากับลูกของเราได้”

“ค่ะน้าอ้อย พี่เจตต์ยังเป็นคนดีจริงๆ ค่ะ อ้อเกือบลืม…ระรินมีเรื่องจะบอกน้าอ้อยค่ะ”

“อะไรเหรอ”

รินรดาตัดสินใจเล่าเรื่องที่สรวิชญ์บุกมาหาเธอที่บ้านครั้งล่าสุด กับการจบชีวิตลงของสรวิชญ์จากภาพในโซเชียลที่แชร์กันว่อนเพื่อตามหาญาติของผู้ตาย

วินาทีที่พรพรรณรู้เรื่องและเห็นภาพถ่ายในโซเชียล เธอถึงกับตกใจมาก ชั่วขณะหนึ่งเธอรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้อยู่บ้านในวันที่สรวิชญ์บุกเข้ามา ไม่งั้นเธอคงจะจัดการเขาแรงกว่าที่รินรดาทำเป็นแน่

แต่พอรู้ว่าอีกฝ่ายต้องจบชีวิตลงในสภาพน่าอเนจอนาถ เธอก็รู้สึกสงสารและเวทนาเพราะถึงอย่างไรก็คนเคยรู้จักกันมาก่อน

“น้าไม่อยากจะเชื่อเลย ว่าไอ้ต้นจะมีจุดจบน่าสมเพชแบบนี้”

“ค่ะน้าอ้อย ตอนแรกหนูก็ไม่อยากจะเชื่อ แต่พอเห็นรอยสักตรงหน้าอกหนูก็มั่นใจว่าต้องเป็นพี่ต้นแน่นอนค่ะ น่าสงสารนะคะ ไม่คิดเลยว่าพี่ต้นจะจบชีวิตลงแบบนี้ มันดูโหดร้าย น่ารันทดมากๆ เลย ไม่ควรมีใครจะต้องเจอแบบนี้เลยค่ะ”

“เฮ้อ! นั่นสินะ ไม่ควรมีใครต้องโดนกระทำแบบนี้ แต่ถ้าคิดอีกอย่าง…ที่ต้นต้องจบชีวิตลงแบบนี้ เพราะเขาทำตัวเองจะโทษใครได้”

“หมายความว่ายังไงคะน้าอ้อย”

“ระริน…ต้นมีโอกาสมากมายที่จะมีชีวิตดีกว่าใครหลายคน หากไม่ใช่เพราะว่าเขารักสบาย ไม่ตั้งมั่นในคุณความดี ก็ไม่มีใครพาเขาไปสู่หนทางดำมืดได้หรอก แต่นี่เขาเป็นคนเลือกทางนี้ด้วยตัวเอง จะดีชั่วอยู่ที่เราเป็นคนกำหนดไม่ใช่คนอื่นเลย”

“ดูระรินสิ เกิดมาในครอบครัวมีปัญหา แม่ก็ตาย พ่อก็มีเมียน้อย ต้องลำบากสู้ชีวิตตั้งแต่เด็ก สุดท้าย…ด้วยความมุมานะของตัวเอง หนูก็มีงานที่ดีทำ มีรายได้เลี้ยงตัว มีลูกที่น่ารัก และมีคนที่รักเรามากมาย จะว่าโชคดีก็ได้ แต่นอกเหนือจากความโชคดี น้าเชื่อว่าเป็นเพราะหนูเป็นเด็กดี และหนูไม่เคยให้ความลำบากในชีวิตมาเป็นปมด้อยขัดขวางความสำเร็จของตัวเอง เลยทำให้หนูประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้ยังไงล่ะ ระรินรู้ไหม น้าภูมิใจในตัวหนูมากๆ เลยนะ”

“ขอบคุณค่ะน้าอ้อย หนูก็ภูมิใจที่มีน้าอ้อยคอยดูแล น้าอ้อยเหมือนแม่ของหนูอีกคน หนูรักน้าอ้อยมากๆ เลยนะคะ”

หญิงสาวโผเข้ากอดน้าสาวด้วยความปลื้มปีติ ก่อนที่พรพรรณเหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้

“อันที่จริงเรื่องระรินกับต้น น้าพอจะมองออกว่าเราสองคนอาจจะอยู่กันไม่ยืด แต่น้าก็ไม่อยากจะพูดบั่นทอนกำลังใจ เพราะอะไรรู้ไหม”

“อะไรเหรอคะน้าอ้อย”

ดวงตากลมโตจ้องมองน้าสาวด้วยความแปลกใจ

“เพราะความรักของเราสองคน เหมือนเส้นขนานที่ไม่มีทางมาบรรจบกัน คนหนึ่งเคยมีชีวิตสุขสบายมาตั้งแต่เด็ก ชีวิตที่มีครบทุกอย่าง มีแต่คนอิจฉาอยากจะเป็นแบบเขา แต่พอถึงวันที่ตกต่ำ เขากลับรับความลำบากไม่ได้ เลยพยายามพาตัวเองกลับไปสบายเหมือนเดิมโดยไม่สนวิธีการ”

พรพรรณได้แต่ถอนหายใจเมื่อคิดถึงอดีตหลานเขยและวีรกรรมของเขา

“ขณะที่อีกคน เกิดมาพร้อมกับความยากลำบาก พ่อแม่ก็ไม่รัก ต้องพยายามดิ้นรนทุกอย่างเพื่อให้มีชีวิตที่สุขสบายจนกระทั่งประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่หนูทำมาตลอดคือ ไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน แค่เป้าหมายในการใช้ชีวิตและการยึดมั่นในคุณความดีง่ายๆ แค่นี้ก็แตกต่างกันแล้ว”

“นั่นสิคะ ระรินไม่เคยคิดเลยนะคะ ว่าเรื่องแค่นี้จะทำให้เราสองคนต้องแยกจากกัน หนูคิดแค่ว่าความแตกต่างพวกนี้ไม่ใช่ปัญหาหรืออุปสรรคที่จะทำให้เราเลิกกันได้ เราอยู่ด้วยกันไป ค่อยๆ ปรับกันจูนกันเดี๋ยวก็ดีเองแหละค่ะ”

“หนูคิดง่ายเกินไป ไม่งั้นพระท่านจะสอนไว้เหรอ เนื้อคู่ก็มีหลายแบบ บ้างก็คู่เวรคู่กรรม บ้างก็คู่สร้างคู่สม หรือบางคนอาจจะเจอคู่แท้ ส่วนคู่ต่างๆ ขึ้นอยู่ว่าเราทำบุญหรือทำกรรมมามากน้อยเพียงไร พอหมดเวรกรรมก็ต้องจากกันอยู่ดี ไม่จากเป็นก็จากตาย และพระท่านยังเคยบอกอีกว่า ถ้าหากเป็นเนื้อคู่กันจริงๆ อย่างน้อยต้องมีความชอบเสมอกัน ศีลเสมอกันหรืออะไรพวกนี้แหละถึงจะอยู่ด้วยกันรอด”

“แหม! พูดมาตั้งนาน หรือว่า…น้าอ้อยมีหนุ่มมาจีบเหรอคะ ถึงได้พูดเรื่องเนื้อคู่แบบนี้”

รินรดาหัวเราะคิกคักชอบใจ ทำให้อีกฝ่ายบ่นอุบ

“โอ๊ย! ทำมาเป็นพูด ชาตินี้น้าไม่เอาผัวเด็ดขาด แค่เห็นชีวิตของพี่ปรางและชีวิตของระริน น้าก็เข็ดขยาดแทนแล้ว กลัวตัวเองจะเลือกผัวผิดไปเจอผู้ชายเฮงซวยเข้าน่ะสิ แต่จะว่าไปเจตต์คงจะเป็นเนื้อคู่ของระรินละมั้ง ดูสิ ขนาดแคล้วคลาดจากกันไปแล้ว ก็มีเหตุให้วนกลับมาอยู่บ้านติดกัน จนมาคบกันแบบนี้ และเขาก็บังเอิญเข้ามาช่วงที่ระรินเดือดร้อนทุกครั้งเลยสิ ถ้าแบบนี้ไม่ใช้เนื้อคู่ แล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะ”

“หวังว่าจะไม่ใช่คู่เวรคู่กรรมอีกนะคะ”

“โอ๊ย อย่างเจตต์นี่ไม่ใช่คู่เวรคู่กรรมหรอก น่าจะเป็นคู่สร้างคู่สมหรือคู่แท้มากกว่าละมั้ง” สองสาวพูดคุยหัวเราะกันสนุกนาน จนพรพรรณเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ เธอจึงเอ่ยขึ้น

“เออ…น้าลืมเล่าให้เราฟัง วันก่อนน้าได้รับข่าวพ่อของเราจากเพื่อนน้าที่อยู่พิษณุโลกด้วยนะ”

“พ่อ…”

ชั่วแวบหนึ่งที่เธอนึกถึงคนใจร้ายที่ทอดทิ้งเธอไปไม่ดูดำดูดี เวลาผ่านไปนานจนเธอแทบจะนึกใบหน้าของเขาไม่ออก นอกจากความใจร้ายใจดำที่มีต่อลูกสาวอย่างเธอ

“พ่อของหนูตายไปแล้วละ”

“อ้าว! เกิดอะไรขึ้นเหรอคะน้าอ้อย”

“เห็นว่าก่อนจะตายก็ป่วยเป็นมะเร็งตับระยะสุดท้าย น้าว่ามันคงเป็นเวรเป็นกรรมที่เคยทำไว้กับพี่ปรางและหนูละมั้ง”

“ยังไงเหรอคะน้าอ้อย”

“ก็ลูกเมียที่เคยบอกว่ารักนักรักหนาก็ไม่ดูดำดูดี ขนาดก่อนตายก็มีสภาพเหมือนคนอนาถา ไร้ญาติขาดมิตร แบบนี้ถ้าไม่ใช่เวรกรรมแล้วจะเรียกว่าอะไรล่ะระริน”

“โธ่…”

“คนเราก็แค่นี้แหละ สุดท้ายก็แค่ตาย เออ…แล้วระรินจะบอกน้ำฟ้าเรื่องที่ต้นตายไหมล่ะ”

รินรดานิ่งไปอึดใจพลางครุ่นคิด

“หนูจะบอกลูกค่ะน้าอ้อย หนูจะบอกว่าพ่อตายแล้ว แต่…คงจะไม่บอกว่าพ่อเขาเคยทำอะไรกับแม่ของเขาบ้าง ระรินจะเล่าแต่เรื่องดีๆ ที่พี่ต้นเคยมีต่อระรินและลูก ระรินคิดว่า ต่อให้พี่ต้นจะดูแย่ในสายตาคนอื่นอย่างไร แต่สำหรับระรินและลูก พี่ต้นไม่เคยทำร้ายร่างกายลูกเลยสักครั้งเดียว”

“มันก็จริงของระรินนะ ถึงต้นจะดูเลว แต่อย่างน้อยก็ยังมีความดีอยู่บ้างแหละ ไม่งั้นก็คงไม่อยู่ด้วยกันจนมีหนูน้ำฟ้าออกมาหรอกเนอะ”

“ค่ะน้าอ้อย หนูกะว่าถ้าเกิดกลับไปกรุงเทพรอบนี้ ถ้ายังไม่มีญาติพี่ต้นไปรับศพอีก หนูจะเป็นคนไปรับศพพี่ต้นมาบำเพ็ญกุศลเองค่ะ อย่างน้อย…ก็ถือว่าเป็นการทำดีให้กันเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องมีเวรกรรมต่อกันอีก แล้วพี่ต้นจะได้ไม่ต้องกลายเป็นศพไร้ญาติด้วยค่ะ”

“ดีแล้วละ น้าเห็นด้วยนะ”

รินรดาทอดสายตามองไปยังท้องทะเลเบื้องหน้า เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า ท้องฟ้าสีครามในยามนี้ช่างสวยงามกว่าทุกครา อาจเป็นเพราะความทุกข์ในใจที่เธอปล่อยวางได้ จนเริ่มมองเห็นความสุขตรงหน้าอย่างแท้จริง

 

 เวลาประมาณสองทุ่ม เจตต์ก็มารับรินรดาดินเนอร์ด้วยกัน แต่หญิงสาวอยากพาพรพรรณและน้ำฟ้าไปด้วยให้ได้ ทว่าทั้งสองกลับปฏิเสธเสียงแข็ง โดยอ้างว่าเหนื่อยอยากพักผ่อนมากกว่า ทำให้รินรดาจำต้องไปดินเนอร์กับเจตต์เพียงสองคน

หญิงสาวเลือกชุดเดรสสีฟ้าอมเขียวที่เจตต์เป็นคนซื้อให้ ขับผิวให้ดูเปล่งปลั่งกว่าทุกวัน ทันทีที่เขาเห็นรินรดาสวมชุดที่เขาเลือกให้ ชายหนุ่มก็ยิ้มแก้มปริ ยื่นแขนให้หญิงสาวควงแล้วพาเธอเดินไปที่ชั้นหนึ่ง ทว่าเหมือนเกิดปัญหาบางอย่าง ร้านอาหารที่เขาตั้งใจจะพาเธอมาดินเนอร์กลับเต็ม

“พี่เจตต์คะ ไปกินร้านอาหารตามสั่งข้างนอกง่ายๆ ก็ได้นะคะ ร้านในโรงแรมแพงออก ระรินเสียดายเงิน”

“ไม่ได้สิครับ”

เขาละล้าละลังเหมือนรออะไรบางอย่าง แต่เมื่อพนักงานโรงแรมเดินมาบอกกับเขาว่า มีที่รับประทานอาหารอยู่บนดาดฟ้าของโรงแรมอีก เขาจึงรีบพาหญิงสาวขึ้นไปด้านบน

“จะดีเหรอคะ ร้านอาหารบนดาดฟ้า ราคาแพงมากเลยนะคะ เปลี่ยนไปร้านอื่นเถอะค่ะ”

“ไม่ได้สิครับ นานๆ น้องระรินจะแต่งตัวสวยๆ แบบนี้ พี่ก็อยากพาน้องระรินไปนั่งกินร้านอาหารดีๆ นะครับ พี่ว่าบนดาดฟ้า วิวน่าจะสวยนะครับ พี่เองก็อยากเห็นเหมือนกัน”

“งั้นก็ตามใจพี่เจตต์ค่ะ”

รินรดาควงแขนเจตต์ขึ้นลิฟต์ไปยังชั้นบนสุด หญิงสาวมองคนข้างกายด้วยความแปลกใจ เมื่อสัมผัสได้ถึงความสั่นเล็กๆ ของมือ กับใบหน้าที่มีเหงื่อซึมออกมา

“พี่เจตต์ร้อนเหรอคะ เสื้อเชิ้ตก็ดูไม่หนามาก ทำไมเหงื่อออกเยอะจังล่ะคะ”

“สงสัยพี่คงร้อนมากน่ะครับ”

“แล้วทำไมมือพี่เจตต์สั่นล่ะคะ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”

“สั่นเหรอครับ พี่ไม่เห็นรู้สึกเลยแฮะ”

“นี่ไงคะ มือพี่เจตต์สั่นจริงๆ ด้วย”

หญิงสาวจับมือเขาไว้พลางชูขึ้นทำให้อีกฝ่ายมองมือเจ้ากรรมที่ดันสั่นระริกด้วยความประหม่าใบหน้าแดงก่ำ

“พี่ว่า พี่คงเขินน้องระรินมากกว่าน่ะครับ”

“เขินระรินเนี่ยนะคะ”

“น้องระรินแต่งตัวสวยแบบนี้ จะไม่ให้พี่ตื่นเต้นได้ยังไงกันครับ อีกอย่างน้องระรินรู้ตัวไหมครับ วันนี้พอน้องระรินยิ้มให้พี่ทีไร หัวใจของพี่ก็สั่นไหวเหมือนจะควบคุมไม่อยู่ทุกที”

“พี่เจตต์…”

ยังไม่ทันที่รินรดาจะทันได้พูดสิ่งใด ประตูลิฟต์ก็เปิดออก ก่อนจะมีป้ายบอกทางไปยังชั้นดาดฟ้าของโรงแรม

ทันทีที่รินรดามองขึ้นไปด้านบน เธอเห็นแสงไฟถูกประดับประดาอย่างสวยงาม เสียงบรรเลงเพลงหวานแว่วมาจากบนดาดฟ้า วินาทีที่หญิงสาวเดินเข้าไปบนดาดฟ้า รินรดามองภาพตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง ผู้คนที่เธอรักและสนิทสนมต่างมารวมกันอยู่บนดาดฟ้า พร้อมถือดอกกุหลาบสีแดงในมือ ทุกคนต่างอยู่ในชุดสีฟ้าอ่อนกำลังยืนรอเธอเดินเข้าไปในงาน

“นี่มันอะไรกันคะพี่เจตต์”

“คืนนี้…พี่และทุกคนตั้งใจทำเพื่อน้องระรินเลยนะครับ ตื่นเต้นแทบแย่ กลัวแผนจะแตกแทบตาย ไปครับ ทุกคนรอกันอยู่นานแล้ว”

เจตต์จูงมือเรียวพาเดินไปตรงกลางระหว่างทางเดิน โดยมีผู้คนยืนอยู่สองข้างทาง

รินรดาเห็นกนกอรยืนเคียงข้างสามีโดยมีกอไผ่ถือดอกไม้อยู่ตรงหน้า ขณะที่พรพรรณและน้ำฟ้าที่เธอคิดว่าจะนอนพักผ่อนอยู่ในห้อง บัดนี้กำลังยืนยิ้มหวานไม่ต่างกัน

“สวัสดีค่ะพี่แดน ยัยอรไหนบอกว่ามาไม่ได้ยังไงล่ะ แล้วทำไมมาอยู่ที่นี่”

“ก็ถ้าฉันบอกแก แล้วจะเซอร์ไพรส์ไหมล่ะ”

“ขอบใจนะแก”

“แล้วน้าอ้อยกับน้ำฟ้า ทำไมไม่นอน ทำไมมาอยู่ตรงนี้ นี่หมายความว่ายังไงกันคะ ทุกคนรู้เรื่องนี้กันหมดเลยเหรอคะ”

“ไปเถอะจ้ะ”

พรพรรณยิ้มให้กับหลานสาวพร้อมกับทำสัญญาณให้เจตต์พาเธอเดินต่อไป

พอรินรดาเหลือบไปเห็นพ่อแม่ของเจตต์กำลังถือดอกไม้ยืนน้ำตาคลอ ถัดไปเป็นจินตนาพี่สาวของเจตต์พร้อมครอบครัวต่างกำลังยืนยิ้มด้วยความยินดี หญิงสาวรีบเดินตรงเข้าไปทักทายด้วยความตื่นเต้นดีใจ

“คุณพ่อคุณแม่ก็มาด้วยเหรอคะ”

“ไม่มาได้ยังไงล่ะลูก วันสำคัญทั้งที”

“วันสำคัญเหรอคะ…”

“เจตต์พาน้องไปทางนั้นสิ”

จินตนาพูดขึ้น ทำให้ชายหนุ่มรีบกุมมือรินรดาไปยืนบนเวทีเล็กๆ โดยมีดอกไม้ประดับอย่างสวยงาม

“ระริน…น้องชายของพี่มีอะไรจะบอก”

“อะไรเหรอคะ…”

แม้ว่าเจตต์พยายามซักซ้อมมาจนขึ้นใจสำหรับวันนี้ แต่พอถึงเวลาจริงๆ เขากลับเหงื่อแตกซิกไปทั้งตัว ก่อนที่จะสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด แล้วคุกเข่าลงเบื้องหน้าหญิงสาวพร้อมกับนำกล่องกำมะหยี่สีแดงเล็กๆ ออกมา ทันทีที่เขาเปิดกล่องก็ปรากฏแหวนเพชรวงงามวางอยู่ภายในส่องประกายระยับ

“น้องระริน พี่รักน้องมานานแล้ว ได้โปรด…แต่งงานกับพี่นะครับ”

“พี่เจตต์…”

เสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของกองเชียร์ที่อยู่รอบๆ ต่างตะโกนลุ้นกันดังสนั่น ทำให้รินรดาที่จ้องมองเขาถึงกับใบหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย

“นี่มันอะไรกันคะ ลุกขึ้นมายืนก่อนเถอะค่ะ”

“รีบตอบรับสิครับ พี่จะได้รีบลุก เขินจะแย่อยู่แล้ว”

เจตต์กระซิบแผ่วเบา ทำให้อีกฝ่ายอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้ แต่ก็ยังไม่ตอบคำใด ทำให้เจตต์ใจแป้ว

‘นี่เธอกำลังปฏิเสธเขาเหรอ’

หากยังไม่ทันที่เขาจะคิดสิ่งใด เสียงหวานของรินรดาก็เอ่ยขึ้น

“พี่เจตต์คะ เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่ ระรินคงตัดสินใจเองไม่ได้หรอกค่ะ ต้องได้รับอนุญาตจากคนนี้ก่อนค่ะ”

“ใครเหรอครับ”

แขกเหรื่อต่างมองหน้าหญิงสาวด้วยความแปลกใจ ก่อนที่รินรดาจะลงจากเวทีแล้วเดินไปหยุดตรงหน้าน้ำฟ้าที่กำลังยืนแกว่งดอกไม้เล่น

“คนนี้ค่ะพี่เจตต์ หากน้ำฟ้าอนุญาต ระรินก็ไม่ขัดข้อง”

“เอาแล้ว…”

เสียงแซวเจตต์ดังลั่นสนั่นบนดาดฟ้า ทำให้เจตต์ฉีกยิ้มออกมา ก่อนจะเดินตรงไปและทรุดตัวลงตรงหน้าเด็กน้อยแล้วเอื้อมมือไปจับมือเล็ก

“น้ำฟ้าครับ ลุงรักคุณแม่ของหนูมาก ลุงอยากดูแลแม่ระรินกับหนูตลอดไป ขออนุญาตให้ลุงได้แต่งงานกับแม่ระรินได้ไหมครับ ลุงสัญญาว่า…ลุงจะทำให้หนูและแม่ระรินมีความสุขและจะดูแลปกป้องหนูกับแม่ระรินด้วยชีวิตของลุง”

ไม่เคยมีครั้งไหนที่เจตต์จะใจเต้นโครมครามราวกับหัวใจจะออกมาเต้นนอกอกด้วยความลุ้นระทึกเช่นครั้งนี้ ในชั่วขณะที่น้ำฟ้ากำลังมองเจตต์ด้วยสายตางุนงง ก่อนจะเงยหน้ามองผู้เป็นแม่ที่กำลังยืนยิ้มอยู่ไม่ไกล

“ถ้าคุณลุงสัญญาว่าจะซื้อขนมและของเล่นให้กับหนู”

“ลุงสัญญาครับ ไม่ว่าหนูอยากได้ของเล่น ขนม หรือชุดเจ้าหญิงเอลซ่าที่น้ำฟ้าชอบ ลุงก็จะซื้อให้ทุกอย่างเลย ดีไหมครับ”

“ดีค่ะ”

“งั้นตกลงหนูอนุญาตให้ลุงแต่งงานกับแม่ระรินแล้วใช่ไหมครับ”

เด็กหญิงตัวน้อยเอียงคอมองคุณลุงใจดีตรงหน้านิ่ง ทำเอาทุกคนพลอยหายใจไม่ทั่วท้อง แต่แล้วในที่สุดเจ้าตัวเล็กก็พยักหน้าลงช้าๆ

“หนูอนุญาตค่ะ”

“เย้!”

จบประโยคของน้ำฟ้า เจตต์อุ้มหนูน้อยไว้ในอ้อมแขนด้วยความดีใจก่อนจะวางร่างเล็กลงข้างพรพรรณแล้วตัวเองคุกเข่าขอรินรดาแต่งงานอีกครั้ง

“น้ำฟ้าอนุญาตแล้ว น้องระรินแต่งงานกับพี่นะครับ”

“ค่ะพี่เจตต์”

คำตอบรับสั้นๆ ที่ออกมาจากรินรดา แค่คำเดียวที่เขาอยากได้ยิน คำเดียวที่ทำให้เจตต์ตื่นเต้นจนมือไม้สั่น กว่าจะพยายามใส่แหวนเข้าที่นิ้วนางข้างซ้ายของรินรดาได้เป็นผลสำเร็จ เขาก็แทบหัวใจวาย

“ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณน้องระริน ขอบคุณที่ให้พี่ได้มีโอกาสดูแลน้องระรินกับลูก”

เจตต์พูดจบเขาก็น้ำตาซึมออกมาด้วยความดีใจ ทำให้รินรดาต้องเป็นฝ่ายยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้เขาอย่างอ่อนโยน ขณะที่ผู้คนที่มาเป็นพยานรักให้กับคนทั้งคู่ต่างก็ปรบมือแสดงความยินดีก่อนค่ำคืนแสนวิเศษจะจบลงด้วยงานปาร์ตี้ฉลองให้กับว่าที่คู่บ่าวสาวที่กำลังจะมีงานวิวาห์ในอีกไม่นาน

 

สำหรับเจตต์ การแอบรักมานานแสนนานกับผู้หญิงเพียงคนเดียว ใครจะไปคิดว่า สุดท้ายโชคชะตาก็พาเขาและเธอได้มาพบกันอีกครั้ง และจบลงด้วยความสุขที่เขาให้คำมั่นสัญญาจะปกป้องและดูแลเธอกับลูกตลอดไปจนชั่วชีวิต

 

สำหรับรินรดา แม้เส้นทางชีวิตของเธอจะเริ่มต้นด้วยรอยน้ำตาแห่งความพลัดพรากจนเจ็บปวดเจียนตาย หรือการตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต แต่สุดท้าย…เธอก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การยึดมั่นในคุณความดีและความเพียรพยายามที่เธอได้ทำมาตลอดชีวิต ได้ทำให้ชีวิตเธอพบกับความสุข และความสำเร็จ ตลอดจนได้พบคนที่รักและเห็นคุณค่าในตัวของเธออย่างแท้จริง

รินรดาได้แต่หวังว่า ชีวิตของเธอและลูกหลังจากนี้จะเต็มไปด้วยความสุข หลุดพ้นจากรอยน้ำตาแห่งความทุกข์โศก จะมีก็เพียงแต่น้ำตาแห่งความดีใจและสมหวังตลอดไปในอ้อมแขนของคนที่รักเธอและเธอเองก็รักเขา

 

รักในรอยน้ำตา ไม่อาจถูกซับด้วยความโกรธแค้นชิงชัง หรือการโกหกหลอกลวง หาก… ‘รอยน้ำตา’ จะหายได้เพราะถูกซับด้วยหัวใจรักอย่างแท้จริง

รัก…โดยไม่มีข้อแม้

รัก…โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน

รัก…เพียงแค่อยากเห็นอีกฝ่ายมีความสุข

เพียงเท่านี้ ‘รอยน้ำตา’ ก็จะค่อยๆ จางหายไป กลายเป็นหัวใจรักที่เต็มไปด้วยความสุขไม่มีรอยน้ำตาอีกต่อไป…

 

– จบบริบูรณ์ –

 



Don`t copy text!