เล่าเรื่องบอลข่าน “มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ”

เล่าเรื่องบอลข่าน “มอนเตเนโกร เมืองในปราการขุนเขาสีดำ”

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

มอนเตเนโกร ประเทศนี้หากเป็นสมัยก่อนคนไทยคงไม่ค่อยคุ้นหูกันนัก แต่เริ่มได้ยินบ้างเมื่อครั้งนักการเมืองท่านหนึ่งในประเทศเราหลบไปอยู่ในดินแดนนี้ และกลายเป็นพลเมืองถือสัญชาติมอนเตเนโกรไปเท่านั้น (ล่าสุดไม่ได้ถือสัญชาติมอนเตเนโกรแล้ว) แต่หากพูดถึงตัวประเทศจริง ๆ เชื่อว่าคนส่วนใหญ่ยังรู้จักน้อยมาก เวลาบอกใครว่าจะไปเที่ยวมอนเตเนโกร มักมีแต่คำถามว่า

“มอนเตเนโกรอยู่ที่ไหน” และ “มอนเตเนโกรมีอะไร”

สำหรับฉัน มอนเตเนโกรคือดินแดนที่ยังคงความงามแบบดั้งเดิม ในบรรยากาศที่ยังไม่ถูกโลกสมัยใหม่ปนเปื้อนมากนัก ธรรมชาติยังงามบริสุทธิ์ เมืองเก่าก็ยังคงเอกลักษณ์เอาไว้ตามแบบฉบับมรดกโลกขององค์การ UNESCO

พวกเราเดินทางออกจากเมืองดูบรอฟนิก ประเทศโครโอเชียใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่งถึงจะเริ่มเข้าเขตประเทศมอนเตเนโกร โดยเราจะเริ่มเห็นแนวชายฝั่งมีแนวเทือกเขาสีดำเป็นฉากหลังอยู่ลิบ ๆ

ใช่ค่ะ เทือกเขาสีดำตั้งตระหง่าน เป็นสีภูเขาแบบที่ไม่เคยเห็นมาก่อน จึงได้ชื่อประเทศแบบนี้

Monte = ภูเขา   Negro = สีดำ

Montenegro = ภูเขาสีดำ

มอนเตเนโกรอยู่ในกลุ่มประเทศบอลข่าน แวดล้อมด้วยแนวเขาสูงทะมึนที่กลายเป็นป้อมปราการแข็งแกร่งตามธรรมชาติ โอบล้อมหมู่บ้านยุคโบราณเหมือนสมัยยุคกลางเอาไว้ มีชายหาดแคบทอดโค้งไปตามเส้นชายฝั่งทะเลอาเดรียติกอีกที มีอ่าวกอเทอร์ (Bay of Kotor) เป็นคล้ายกับฟยอร์ด (1) ระหว่างผาสูง แต่งแต้มด้วยโบสถ์เรียงรายตามชายฝั่ง มีเมืองกอเทอร์ (Kotor) และเมืองเฮอร์เซก โนวิ (Herceg Novi) เป็นเมืองหน้าด่าน

ตลอดทางที่รถแล่นผ่านไปตามโค้งผาเลียบทะเล จะเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยมากมาย มัคคุเทศก์ของเราชี้ให้ดูว่าแต่ละเกาะมีเศรษฐี ดารา นักการเมืองต่างชาติคนไหนมาซื้อไว้บ้าง ชวนให้สงสัยว่าทำไมบ้านเมืองนี้ถึงซื้อเกาะกันได้ง่ายเป็นว่าเล่น คุณไกด์เลยเล่าให้ฟังว่า ที่จริงแล้วชาวมอนเตเนโกรเป็นชนชาติที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาเป็นพันปี มีอารยธรรมของตัวเองในดินแดนแถบนี้ แต่ไม่ได้เป็นประเทศมอนเตเนโกรแบบเอกเทศ

เดิมพวกเขารวมอยู่กับประเทศอื่นแคว้นอื่นในกลุ่มบอลข่าน เพิ่งมาแยกจากกลุ่มยูโกสลาเวียและตั้งเป็นประเทศใหม่ คือ “สาธารณรัฐมอนเตเนโกร” เมื่อปี 2006 นี่เอง สิริรวมอายุความเป็นประเทศก็ 18 ปีเท่านั้น พอเปิดเป็นประเทศใหม่ก็ต้องการพัฒนา แต่การจะพัฒนาได้ก็ต้องการนักลงทุน จึงอาศัยที่บ้านเมืองตัวเองมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ มีชายหาดสวยงามและยังไม่ถูกรุกล้ำมากนัก เปิดรับนายทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนเยอะ ที่ดินและเกาะต่าง ๆ จึงยังไม่ค่อยแพงมาก มีมหาเศรษฐีหลายคนในโลกเข้ามาจับจองซื้อลงทุนไปก็มาก

ฉันฟังและ ‘เห็น’ ดังนั้น ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้ามีเงินเป็นเศรษฐีก็อยากมาจับจองซื้อที่กับเขาบ้างเหมือนกันเพราะถ้าเวลาผ่านไป ประเทศพัฒนามากขึ้น มูลค่าที่ดินวิวสวยอย่างนี้คงไม่มีอีกแล้ว

เมื่อลัดเลาะตามถนนคดเคี้ยวตามแนวเขา ในที่สุดเราก็มาถึงเมืองกอเทอร์ มีป้อมปราการหน้าเขาทะมึน ให้ความรู้สึกเหมือนในหนังโบราณที่ขบวนทัพเคลื่อนมาประชิดประตูเมือง พร้อมที่จะบุกตีเมืองด้านในอย่างไรอย่างนั้นเลย

มันเป็นเมืองโบราณในหุบเขา… ไม่เกินจริง

ฉันขอเล่าให้เห็นภาพมอนเตเนโกรและกอเทอร์อีกสักนิด ด้านนอกคือภูเขาสีดำเรียงทะมึน มีตัวเมืองเก่า (Old Town) อยู่ด้านใน มีชายหาดแคบเหมือนเส้นเล็ก ๆ เลียบไปตามฝั่ง หากพูดให้เข้าใจง่ายก็คือหน้าภูเขาก็เป็นทะเลอาเดรียติก ไม่ค่อยมีพื้นที่ระหว่างแนวฝั่งดินกับน้ำมากนัก

ในอดีตถ้ามีใครจะโจมตีก็จะมาทางเรือเป็นหลัก

พวกเราค่อย ๆ ผ่านเข้าประตูเมืองกอเทอร์ซึ่งก็เหมือนดูหนังยุคกลางไม่มีผิด ไม่มีแสงสี ความเจริญ หรือเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแผ้วพานมากนัก ธรรมชาติและบ้านเรือนยังคงอนุรักษ์แบบดั้งเดิมมาก ไม่มีร้านค้าหนาแน่น ไม่มีรีสอร์ตตามทะเลสาบป่าเขา ไม่มีกระทั่งคนมาจับกลุ่มตั้งแคมป์

กอเทอร์จึงเหมือนโลกยุคโบราณอันมีมนต์ขลัง และเขาก็ตั้งใจอนุรักษ์ไว้แบบนี้ โดยเฉพาะในเขตเมืองเก่า หรือ Old Town of Kotor นั้นขึ้นทะเบียนมรดกโลกของ UNESCO ดังนั้นจึงห้ามเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งนั้น

เราเดินสำรวจภายในกอเทอร์กันสนุกมาก ที่ฉันชอบที่สุดคือที่ประทับของเจ้าครองนครซึ่งเป็นตึกยาวที่สุดในเมือง ยกพื้นสูงลิบ หันหน้าออกสู่ทะเลและหันหน้าเข้าหาตัวเมืองเพื่อให้เห็นได้โดยรอบว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างทั้งในเมืองและนอกเมือง เมื่อมีเรือมาหรือมีความผิดปกติทางทะเลเกิดขึ้น เจ้านครก็จะเห็นหรือจับสังเกตได้ทันที หากเห็นเรือก็จะดูธงก่อนว่าธงของใคร เช่น ของเวนิสหรือไม่ หรือเป็นธงที่คุ้นเคยไหม ถ้าใช่ก็ให้ทหารเปิดประตูเมืองเข้ามา เพราะประตูเมืองหันหน้าออกสู่ทะเลนั่นเอง

อีกที่ที่ประทับใจคือส่วนหอนาฬิกาประจำเมืองนั้นที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่17 ซึ่งจะดังทุกครึ่งชั่วโมงและหนึ่งชั่วโมง สมัยโบราณจะมีครอบครัวหนึ่งรับหน้าที่ปีนขึ้นไปหมุนนาฬิกาบนหอให้ดัง ทำเช่นนี้ต่อมาถึง 5 รุ่น ทว่าปัจจุบันไม่มีแล้ว เปลี่ยนไปใช้ระบบอัตโนมัติให้ดังบอกเวลาแทน เนื่องจากคนท้องถิ่นยังชินและอยากรู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว

และไม่ต้องแปลกใจ เมืองนี้เป็นเมืองเล็ก ๆ ตีนาฬิกาทีได้ยินทั้งเมือง

ในอนาคต มอนเตเนโกรเตรียมสร้างตัวเองเป็นเมืองท่องเที่ยวตากอากาศอันดับต้นของโลก ตามที่ได้เล่าไปว่าพวกเขายังมี Untouched lands หรือดินแดนที่ยังไม่ถูกรุกล้ำ ครอบครอง จับจองอยู่มากมาย และมีทรัพยากรธรรมชาติมหาศาล อากาศก็เย็นสบายอีกด้วย ในอนาคตเราอาจจะได้เห็นนักท่องเที่ยวแห่กันไปพักผ่อนริมทะเล นั่งชิลในเมืองเก่ากอทอร์แห่งมอนเตเนโกรกันมากขึ้นก็เป็นได้

ถึงเวลานั้นธรรมชาติอันงดงามที่ยังไม่ถูกปนเปื้อน แผ้วถาง ดัดแปลง รุกล้ำ จะยังคงอยู่ได้เพียงใดกันหนอ

 

เชิงอรรถ : 

(1) ฟยอร์ด เป็นอ่าวเล็ก ๆ บริเวณชายฝั่งทะเลซึ่งถูกน้ำกัดเซาะจนเว้าแหว่งมีลักษณะแคบและยาว เว้าลึกเข้าไปในฝั่งระหว่างแผ่นดินสูงชันหรือระหว่างหน้าผาสูงชันตามเชิงเขา

 

Don`t copy text!