ผีสางนางน้ำบ่อ
โดย : ทรรศิตา
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
เนินป่าขนาดใหญ่นั้นถูกล้อมรอบไปด้วยรั้วไม้ซุงซึ่งมีทั้งขนาดใหญ่และเล็กหากก็เก่าคร่ำคร่าแล้ว จึงมีหลายท่อนผุพังจนล้มลงจมหายไปในป่าหญ้าคาอันขึ้นปกคลุมทั่วบริเวณทั้งเนิน
เมื่อข้ามรั้วไม้ซุงเข้าไปด้านในพื้นดินจึงค่อยๆ สูงขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่สูงสุดของเนินกลับพบซุ้มบ่อน้ำเก่าๆ ประกอบด้วยเสาก่ออิฐถือปูนหลังคามุงด้วยกระเบื้องกาบดินขอ ใต้ซุ้มนั้นปรากฏบ่อน้ำก่อด้วยอิฐมอญขนาดใหญ่กว่าอิฐธรรมดาเป็นวงกลมสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณสองศอกเศษปากบ่อถูกปิดด้วยแผ่นไม้หนาห้าหกแผ่น
รอบๆ ซุ้มน้ำบ่อนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อันสลัดใบทิ้งหมดจนเหลือเพียงกิ่งไม้เปลือยเปล่า ตรงโคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอันถัดจากบ่อน้ำลงไปอีกด้านปรากฏศาลไม้เก่าแก่หลังหนึ่งตั้งอยู่ พลันสายลมวูบหนึ่งพัดมาอย่างแรงพร้อมไกวกิ่งไม้เบื้องบนให้โอนเอนสะบัดไหววูบจนเสียงดังกรูกราวพร้อมกันทั่วทั้งป่าราวกับเสียงโหยหวนของคนที่กำลังร้องไห้คร่ำครวญด้วยความทุกข์ทรมานยิ่งนัก!
เมื่อประมาณปี พ.ศ.2552 ผู้เล่าพร้อมคณะครูในโรงเรียนได้มีโอกาสได้เดินทางไปรัฐฉานประเทศพม่า และได้เข้าพักที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจากเวียงหลวงของรัฐฉานออกไปหลายสิบกิโลเมตร หมู่บ้านนั้นมีอายุเก่าแก่มานานแล้ว ทางทิศเหนือของหมู่บ้านมีแม่น้ำไหลผ่านเรียกชื่อกันว่าน้ำลาบน้ำเลน เมื่อเดินข้ามสะพานไม้เล็กๆ ไปอีกฟากของลำน้ำก็จะพบวัดเก่าแก่ประจำหมู่บ้านตั้งอยู่
วันนั้น หลังจากผู้เล่าและคณะครูได้ร่วมกันทำบุญถวายผ้าป่าเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็ได้แยกย้ายกันพักผ่อนตามอัธยาศัย ผู้เล่าจึงได้ถือโอกาสนี้เดินเที่ยวชมทั่วบริเวณวัดอันมีโบสถ์และวิหารตลอดถึงศิลปะศาสนวัตถุอื่นๆ อันงดงามยิ่งนักจนเป็นที่ประทับใจของผู้เล่าจนบัดนี้
เมื่อเดินมาจนถึงกำแพงเก่าของวัดอีกด้านหนึ่ง มองข้ามกำแพงอันสูงเพียงอกออกไปไม่ไกลสักเท่าใดนักปรากฏเนินป่าค่อนข้างใหญ่พอสมควร และส่วนที่สูงที่สุดของเนินนั้นมองเห็นหลังคาซุ้มศาลาเล็กๆหลังหนึ่งแตะตาลิบๆอยู่ ทำให้ผู้เล่าเกิดความสนใจและรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างแปลกๆ จึงคิดจะเข้าไปดูแต่พยายามมองหาประตูที่จะออกจากวัดตรงนั้นไม่มี จึงตัดสินใจปีนข้ามกำแพงวัดออกลงไปตรงนั้นเอง
ถัดจากกำแพงวัดออกไปจนถึงเนินป่านั้น เป็นที่นาของชาวบ้านขนาดย่อมๆ หลายผืน ผู้เล่าเดินตามคูคันนาเส้นหนึ่งซึ่งมีขนาดกว้างพอสมควรจนคิดเองว่าน่าจะเคยเป็นถนนที่ถูกตัดให้สัญจรไปถึงเนินป่าดังกล่าว และเนินที่ว่านี้จะต้องมีความสำคัญต่อผู้คนแถวนี้มากทีเดียว
เมื่อผู้เล่าเดินไปถึงก็พบว่าเนินป่าแห่งนั้นถูกล้อมรอบเอาไว้ด้วยรั้วท่อนไม้ซุงเก่าทั้งขนาดใหญ่และเล็กปิดกั้นอยู่ หากรั้วเหล่านั้นก็ผุพังล้มลงจมหายไปในป่าหญ้าคาเป็นเสียส่วนใหญ่ และเมื่อเลือกเดินไปตามร่องรอยทางเก่าที่ค่อยๆ ลาดสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนไปถึงบริเวณจุดที่สูงสุดของเนินก็พบซุ้มบ่อน้ำเก่าๆ หลังหนึ่งตั้งอยู่ เสาของซุ้มบ่อน้ำนั้นก่อด้วยอิฐถือปูนหลังคามุงด้วยกระเบื้องกาบดินขอ ใต้ซุ้มนั้นปรากฏบ่อน้ำเป็นวงกลมขนาดวากว่าๆ ก่อด้วยอิฐมอญขนาดใหญ่กว่าอิฐธรรมดาสูงขึ้นจากพื้นดินประมาณสองศอกเศษ หากปากบ่อถูกปิดด้วยแผ่นไม้เก่าและหนาห้าหกแผ่น
รอบๆ ซุ้มน้ำบ่อนั้นเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่อันสลัดใบทิ้งเหลือเพียงกิ่งไม้เปลือยเปล่า ตรงโคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่งอันถัดจากบ่อน้ำลงไปอีกด้านปรากฏศาลไม้เก่าแก่หลังหนึ่งตั้งอยู่ ผู้เล่ากำลังคิดจะเดินลงไปดูที่ศาลหลังนั้น หากพลันปรากฏเสียงอย่างหนึ่งดังขึ้นมาเสียก่อน เสียงนั้นดังมาพร้อมกับสายลมที่จู่ๆ ก็พัดขึ้นมาอย่างแรงพร้อมโยกไกวกิ่งไม้เบื้องบนให้โอนเอนสะบัดไหววูบจนเสียงดังกรูกราวพร้อมกันไปทั่วทั้งป่า ราวกับเสียงคนร้องไห้คร่ำครวญอย่างทุกข์ทรมานจนผู้เล่าเองขนลุกไปทั้งตัว จึงรีบหันหลังทั้งวิ่งทั้งเดินลงมาจากเนินจนกระทั่งถึงวัด
คืนนั้น ผู้เล่าจึงลองถามเรื่องเนินป่าแห่งนั้นกับลูกศิษย์คนหนึ่งชื่อจายแก้ว ซึ่งเป็นคนพื้นเพแถวนั้นแต่ได้ย้ายไปอยู่ที่เมืองไทยหลายสิบปีแล้ว จายแก้วบอกว่าเนินป่าแห่งนั้นชาวบ้านเรียกว่า “เนินน้ำบ่อร้าง” และได้พาผู้เล่าไปหาปู่เฒ่าชื่อจ่ามเมิงซึ่งมีอายุมากที่สุดของหมู่บ้าน ท่านจึงได้เล่าเรื่องซุ้มน้ำบ่อร้างนั้นให้ฟังว่า
น้ำบ่อร้างนี้น่าจะอายุนับหลายร้อยปีแล้วและน่าจะมีมาก่อนหมู่บ้านแห่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ก่อนนั้นบ่อน้ำแห่งนี้น้ำใสสะอาดยิ่งนักรสชาติหวานดีเป็นที่อาศัยดื่มกินของชาวบ้านแถวนี้มาเนิ่นนาน หากแต่แล้วก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น ซึ่งปู่ได้ยินมาจากคนเฒ่าคนแก่สมัยตอนที่ปู่ยังเด็กๆ ได้เล่าให้ฟังอีกทีหนึ่ง เรื่องมีอยู่ว่า
ในอดีตนานมาแล้วยังมีชายหญิงสองผัวเมียรักกันยิ่งนัก ฝ่ายชายชื่อ “จายแสงหาญ” ฝ่ายหญิงชื่อ “นางจันติ้บ” ทั้งสองคนนั้นต่างคนต่างอยู่คนละเมือง แต่วันหนึ่งจายแสงหาญได้ไปค้าขายที่ต่างเมืองและได้ไปพบกับนางจันติ้บซึ่งมีหน้าตาสะสวยงดงามจนเกิดหลงรักอย่างถอนตัวไม่ขึ้น แต่พ่อแม่ของจายแสงหาญกลับไม่ชอบนางจันติ้บแม้แต่น้อย เพราะหาว่านางเป็นคนยากจนข้นแค้นไม่เหมาะสมกับลูกชายและตระกูลของตน อีกทั้งได้สู่ขอหญิงนางอื่นซึ่งเป็นลูกสาวชาวพ่อค้าเหมือนกันไว้แล้ว แต่จายแสงหาญไม่ยอม ซ้ำได้พาเอานางจันติ้บกลับไปอยู่บ้านด้วย แต่ก็อยู่ด้วยกันได้ไม่ถึงปีนางจันติ้บก็แอบหนีกลับคืนมา เพราะทนการกลั่นแกล้งของแม่ยายและญาติๆ ของสามีไม่ไหว ซึ่งขณะนั้นนางได้ตั้งท้องลูกอ่อนๆ แล้ว เป็นเหตุให้จายแสงหาญต้องทิ้งบ้านตามนางมา
ทั้งสองคนได้หลบหนีการติดตามของพ่อแม่มาอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้านแห่งนี้โดยปลูกบ้านอยู่บนเนินป่าที่มีบ่อน้ำโบราณ จนกระทั่งวันหนึ่งจายแสงหาญได้ยินข่าวจากตลาดในเวียงว่า พ่อของเขาป่วยหนักและคงจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานทั้งได้พยายามให้คนสืบข่าวติดตามหาตนเองอยู่จึงได้มาบอกแก่นางจันติ้บและขอลานางไปหาพ่อก่อน และให้คำสัญญาว่าจะกลับคืนมาครองรักอยู่ด้วยกันเช่นเดิม ทั้งสองได้ร่ำลากันตรงริมน้ำบ่อแห่งนั้น ก่อนไปนางจันติ้บบอกกับจายแสงหาญว่า
“ถ้าเจ้าจายแสงหาญไม่กลับมาตามคำสัญญา นางจะกระโดดบ่อน้ำตายพร้อมกับลูกในท้อง!”
ฝ่ายจายแสงหาญ เมื่อกลับไปถึงบ้านก็ถูกพ่อแม่รบเร้าขอร้องให้แต่งงานกับหญิงสาวที่ได้สู่ขอไว้เพื่อรักษาคำสัญญาของพ่อ โดยจายแสงหาญขอแต่งงานเพื่อรักษาคำสัญญาของพ่อเท่านั้น เมื่องานแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วจะขอกลับไปหานางจันติ้บเมียรักผู้รอคอยอยู่ วันเวลาผ่านไปจนเกือบสามเดือน นางจันติ้บ เห็นผิดสังเกตจึงได้ว่าจ้างให้ชาวบ้านคนหนึ่งออกไปตามสืบข่าวดูและทันทีที่ได้รู้ว่า จายแสงหาญ กำลังแต่งงานกับหญิงสาวคนอื่น หัวใจของนางจันติ้บก็ถึงกับแหลกสลาย ทรุดล้มลงตรงริมน้ำบ่อร่ำไห้ด้วยความเศร้าโศกเสียใจสุดขีด ความรักที่เคยมีก็กลับกลายเป็นความแค้น นางได้ยืนสาปแช่งที่ริมบ่อน้ำแห่งนั้นไว้ว่า
“ข้าเจ้า จะขอตามจองล้างจองผลาญเจ้าจายแสงหาญให้ได้รับความทนทุกข์ทรมานตายอย่างข้าเจ้าทุกภพทุกชาติ!”
แล้วนางก็กระโดดลงบ่อน้ำสิ้นใจตายไปพร้อมกับลูกในท้อง ฝ่ายจายแสงหาญเมื่อกลับมาพบว่านางจันติ้บ ได้กระโดดน้ำบ่อตายเสียแล้วก็ถึงกลับเสียสติคลุ้มคลั่งกลายเป็นบ้าวิ่งหนีหายเข้าไปในป่าไม่มีใครได้พบเห็นอีกเลยจนกระทั่งทุกวันนี้
หากผีนางจันติ้บก็ยังคงปรากฏหลอกหลอนให้ผู้คนเห็นอยู่เรื่อยมา โดยเฉพาะในคืนวันเพ็ญมีชาวบ้านหลายคนมักได้เห็นหญิงสาวผมยาวนั่งอุ้มลูกร้องไห้คร่ำครวญตรงริมบ่ออยู่เสมอ จนไม่มีใครกล้าเข้าไปใช้บ่อน้ำแห่งนั้นอีกเลย และในรอบหลายสิบปีที่ผ่านมามักจะมีคนที่ผิดหวังในชีวิตไปกระโดดบ่อน้ำแห่งนั้นตายเรื่อยมา ไม่ว่าพระสงฆ์และชาวบ้านจะพากันทำบุญอุทิศไปให้สักกี่ครั้ง หากก็ไม่เคยล้างอาถรรพ์บ่อน้ำโบราณแห่งนั้นได้
จนกระทั่งถึงยุคเกิดศึกสงครามภายในประเทศ เนินบ่อน้ำแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นค่ายที่พักของทหารและระหว่างนั้นได้มีทหารหลายนายตกบ่อน้ำตายอย่างไร้สาเหตุ บ้างก็สันนิษฐานว่าเกิดการฆาตกรรมฆ่ากันตายแล้วอำพรางศพ บ้างก็ว่าเมาสุราแล้วตกบ่อตาย หากก็มีบางเสียงเล่าว่าเกิดจากแรงแค้นของผีนางจันติ้บนั่นเอง จนกระทั่งสงครามสงบลง ค่ายทหารเหล่านั้นจึงถูกยกเลิกกลับไป เนินบ่อน้ำจึงกลับมารกร้างไร้ผู้คนย่างกรายเข้าไปใกล้อีกครั้งหนึ่งเป็นเวลาหลายสิบปี
ผู้เล่าได้กลับไปที่หมู่บ้านนั้นอีกครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน แล้วให้รู้สึกใจหายเมื่อพบว่าเนินป่าแห่งนั้นถูกชาวบ้านบุกรุกทำเป็นไร่นาไปจนเกือบจะหมดสิ้นแล้ว ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถูกโค่นล้มลงเพื่อนำไปแปรรูปเป็นไม้อย่างอื่นหลงเหลือเพียงต้นไม้เก่าๆ ไม่กี่ต้นที่รอวันหักโค่นลง และสิ่งที่ทำให้ผู้เล่ารู้สึกสะเทือนใจมากที่สุด ตรงเนินดินที่เคยเป็นบ่อน้ำร้าง ซึ่งบัดนี้ถูกทุบและถูกดินทับถมจนเหลือเพียงซากเสาซุ้มบ่อน้ำเก่าๆ ยืนต้นไร้หลังคากลางแดดกลางฝนรอวันล้มหายไปตามกาลเวลาข้างหน้า ปิดตำนานเรื่องอันน่ากลัวนั้นไปจนหมดสิ้นแล้ว
หากทว่า ก่อนจะกลับออกจากสถานที่อันเคยเป็นบ่อน้ำร้างแห่งนั้น ผู้เล่ายังสัมผัสเสียงบางสิ่งบางอย่างที่เคยได้ยินในอดีต ซึ่งมันยังคงอยู่ไม่เคยห่างหายไปไหน หากลองตั้งใจเงี่ยหูลงฟังให้ดี เสียงร้องคร่ำครวญอย่างเจ็บปวดของใครสักคนที่ดังมาพร้อมกับสายลมพัดแรงตรงนั้น!
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ