ฝุ่นในสายลม บทที่ 25 : เรื่องของเมย

ฝุ่นในสายลม บทที่ 25 : เรื่องของเมย

โดย : ม.มธุการี

Loading

ฝุ่นในสายลม โดย ม.มธุการี เรื่องราวของลัทธิประหลาดกับความเชื่อของคนที่กระตุ้นสัญชาตญาณนักข่าวของภาวิน เขาจึงแฝงตัวเข้าไปสืบความลับของลัทธินี้ แต่ตัวคนเดียวอาจทำไม่สำเร็จ มีเพียงฝนดาว หญิงสาวที่สูญเสียญาติสนิทไปกับลัทธินี้ที่อาจจะช่วยเขาไขปริศนาอันดำมืดนี้ได้ อ่านนิยายสนุกๆ เรื่องนี้ได้ที่เพจอ่านเอาและเว็บไซต์ anowl.co

 

สาวคนหนึ่งยกมือขึ้นและเอ่ยปากแนะนำตัวว่าเป็นนักศึกษาโบราณคดี จากมหาวิทยาลัยมีชื่อแห่งหนึ่ง เจ้าหล่อนแต่งกายนักศึกษามาเลย

“ชื่อเมยค่ะ เอาแค่ชื่อเล่นนะคะ”

มีเสียงปรบมือต้อนรับเกรียวกราวจากผู้ที่นั่งล้อมวง

“ประสบการณ์ของเมยอาจจะไม่เหมือนกับพี่คนนี้ซะทีเดียว เพราะจริงๆ แล้วเมยก็ไม่เคยเชื่อเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้เหมือนกันนะคะ แบบมันดูเหลวไหลเวอร์ๆ ยังไงไม่รู้ จนมีครั้งหนึ่งเมยไปฝึกงานที่ลำปางค่ะ ก็มีกลุ่มนักศึกษาที่นั่นมาร่วมอยู่ด้วย มีคนนึงที่เขาเฝ้ามองเมยตลอดเวลา เมยก็สงสัยว่าอีตานี่ท่าจะบ้าแน่เลย เพราะท่าทางเค้าไม่เหมือนคนทั่วๆ ไปเลยนะคะ แบบดูเหมือนหุ่นยนต์อะค่ะ คือเคลื่อนไหวอะไรไม่เป็นธรรมชาติเอาเลย”

“หล่อไหมคะ” เสียงใครบางคนถามขัดจังหวะขึ้นมา

“ก็โอเคเลยนะ หล่อเฉียบๆ แบบซูเปอร์แมนเลยค่ะ เมยก็ไม่รู้นะว่าเขามองเมยทำไม จนเขาแอบเข้ามาคุยด้วย ตอนนั้นเราอยู่ที่ไซต์ขุดสมบัติโบราณกันอยู่ เขาก็ว่าที่ตรงนี้ถ้าขุดลึกลงไปจะเจอกะโหลกยักษ์มากมายเลยนะ เมยก็ถามกะโหลกไดโนเสาร์เหรอ…เขาก็ว่าไม่ใช่ เป็นกะโหลกคนเรานี่แหละ ที่เคยมาอยู่ที่นี่หลายแสนปีมาแล้ว เมยก็ถามเขาว่ารู้ได้ไง เขาก็ว่าเพราะเป็นข้อมูลที่เขาได้มา เมยก็ว่าจะบ้าเหรอ บรรพบุรุษเราไม่เคยมียักษ์สักหน่อย เขาก็ว่าประวัติศาสตร์ไม่ได้บันทึกเอาไว้เอง เขาพูดอีกว่า เคยมีมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์ยักษ์ที่มาเยือนโลก พวกนี้มาจากดาวในระบบสุริยะของเรานี่แหละ ขนาดใหญ่กว่าโลกหกเท่าตัวเลย คนของเขาถึงได้ใหญ่กว่าเราถึงห้าหกเท่า มีปีกบินได้เหมือนนกยักษ์ เพราะแรงดึงดูดที่นั่นแทบไม่มี ผู้คนถึงได้ล่องลอยกันไปในอวกาศไง

ต่อมาเขาบอกว่าเกิดอุกกาบาตวิ่งเข้าชน จนดาววายวอดไปหมด ที่เหลือรอดมาได้ก็ขึ้นยานอวกาศมาถึงโลก มาปักหลักอยู่ที่นี่และกินมนุษย์เป็นอาหาร เพราะเขาเป็นพวกกินเนื้อ ต่อมาเขาว่ามีเอเลี่ยนอีกสายพันธุ์หนึ่งมาครองโลกและสอนให้ให้มนุษย์สู้กลับ ยักษ์พวกนี้ก็เลยสูญพันธุ์ไปในที่สุด เมยเลยถามเขาไปว่าทำไมรู้มากจังเรื่องพวกนี้ คือเราก็ไม่เชื่อหรอกนะ คิดว่านายนี่ท่าจะบ้าหนัก เขาเลยบอกเมยว่าที่เขารู้ เพราะเขาเป็นเผ่าพันธุ์ที่สอนให้มนุษย์รู้จักป้องกันตัว แล้วเขาก็ไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเอเลี่ยนที่มีถิ่นฐานอยู่ดาวอังคารนู่น และลี้ภัยมายังโลกตอนที่เกิดสงครามล้างโลกจนดาวอังคารพังพินาศ ก็หนีมาได้จำนวนหนึ่ง แต่พวกที่เหลือต้องไปหลบซ่อนตัวอยู่ในถ้ำใต้ดิน และปรับตัวอยู่ในสภาพนั้นจนทุกวันนี้ แต่ก็ยังติดต่อกับพวกที่มาตั้งถิ่นฐานอยู่ที่นี่โดยการส่งยานอวกาศมาเยือนตลอดเวลา เค้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เดินทางมาโลก เพื่อให้ความช่วยเหลือทางด้านโบราณคดี แต่ก็มีผู้เชี่ยวชาญทางด้านสาขาอื่นๆ ร่วมเดินทางมาด้วย และกระจัดกระจายกันไป จุดมุ่งหมายเพื่อความช่วยเหลือแต่เพียงอย่างเดียว เพราะเขาไม่อยากให้โลกเราต้องมีสภาพเหมือนสิ่งที่เกิดกับโลกของเขาในอดีต

เมยฟังแล้วก็ยิ่งสงสัยว่ามันจริงเหรอ ทำไมเล่าน่าเชื่อจัง เขาก็ว่าตัวเขาไม่ได้มีเลือดเนื้อเหมือนเมย เขาเป็นแค่หุ่นยนต์ที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้มีหน้าตาคล้ายคนเราทุกอย่าง เพื่อจะได้เข้ากันได้กับมนุษย์โลกไง จากนั้นเขาก็ใช้มีดเฉือนข้อมือตัวเองให้เมยดู โห…มีแต่เจลเหมือนซิลิโคนเหลวๆ เลือดอะไรก็ไม่มี เมยงี้ช็อกไปเลย รีบเผ่นอ้าวไม่เหลียวหลัง มาเล่าให้เพื่อนฝูงฟังไม่มีใครเชื่อเมยสักคน หลังจากนั้นเมยก็ไม่เคยเจอเขาอีกเลย ทั้งๆ ที่อยากเจอมากเลยนะ  เมยแค่อยากรู้ว่ามีใครเจออย่างเมยบ้างไหม เมยถึงได้มาที่นี่ไง”

หลายคนแย่งกันยกมือขอพูด คนหนึ่งพูดว่า

“ส่วนใหญ่เท่าที่รู้มานะ ไอ้พวกที่มาเยือนโลกตอนนี้น่ะ ล้วนแล้วแต่เป็นหุ่นยนต์ที่ตัวจริงจากต่างดาวเขาสร้างกันขึ้นมาทั้งนั้นแหละ เพราะสามารถทนทานได้กับสภาพแวดล้อม กับสามารถสร้างให้ได้เหมือนคนเราทุกอย่าง เหมือนถ้าเราส่งยานไปดาวอื่น เราก็คงจะส่งหุ่นยนต์นำทางไปก่อน เพราะสามารถท่องไปได้ไกลและอยู่ได้นานไง ยิ่งถ้าไปเจอสภาพแวดล้อมที่ไม่เป็นมิตรด้วยแล้ว อย่างพวกที่เรียกกันว่าเกรย์ ที่คนเราเห็นกันบ่อยมากเนี่ย น่าจะเป็นหุ่นยนต์เหมือนกัน”

“แล้วที่เราจับได้แล้วเอาไปผ่าตัดล่ะ” อีกคนถาม

“นั่นมันของปลอม ประกาศออกมาแล้วนี่ว่าเป็นผลงานจากการถ่ายทำของคนมือบอนคนหนึ่ง”

“เพื่อ…?”

“ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ”

“หรือไม่ก็ความสนุกทางใจ”

“สรุปก็คือเราจะต้องไม่เชื่ออะไรง่ายๆ โดยปราศจากหลักฐาน” พิธีกรหาข้อสรุปท่ามกลางเสียงทุ่มเถียงกันระงม

“ก็ดีแล้วที่พวกคุณมารวมตัวกันที่นี่เพื่อแชร์ประสบการณ์กัน เราเป็นชนกลุ่มน้อย โลกภายนอกไม่มีใครเขาเชื่อหรอกเรื่องที่พวกคุณเล่ามา ไปๆ มาๆ เขาก็จะว่าคุณเพี้ยนหรือคุณบ้ามากกว่า ทุกคนเจอกันมาแล้วพวกคุณถึงต้องมากันที่นี่ เพื่อแนวคิดและสังคมที่เปิดกว้าง และไม่แน่ มันอาจจะมีเอเลี่ยนแฝงเร้นอยู่ในหมู่พวกเราก็ได้ใครจะรู้ จริงไหม สำหรับวันนี้ก็เอากันแค่นี้ พรุ่งนี้ใครมีประสบการณ์อะไรใหม่ๆ ก็อย่าได้ลังเลที่จะมาเล่าสู่กันฟัง พวกเรามีเพื่อนที่เข้าใจ และพร้อมที่จะรับฟังความจริงจากทุกคนอยู่แล้ว”

ภาวินสะดุดใจกับคำว่า ‘ความจริง’ ก่อนที่จะเดินออกจากที่นั่น เหมือนพิธีกรจอมเพี้ยนจะเชื่อมั่นอย่างเหลือเกินว่าทุกสิ่งที่ทุกคนเล่ามาล้วนแล้วแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น

อย่างน้อยก็ไม่ใช่เขาหนึ่งละ เขาแค่ต้องการที่จะพิสูจน์ว่าคนเราส่วนใหญ่ที่ไปที่นั่นพร้อมที่จะเชื่อคำโกหกพกลมโดยไม่ต้องการจะแสวงหาข้อเท็จจริงอะไรกันทั้งสิ้น ก็แค่ลมปากที่พูดลือกันไปมา    เวอร์ชันมนุษย์หุ่นยนต์ที่อีกฝ่ายเล่าไปมันก็เป็นแค่นิยายวิทยาศาสตร์ที่เน้นหาความจริงอะไรไม่ได้เลยแม้แต่น้อย

แต่คนเหล่านั้นก็พร้อมที่จะเชื่อกันไปแล้ว…ไม่แปลกใจที่คนอย่างดอกเตอร์เอกภพที่ใครๆ ก็ว่าแกเพี้ยนกันทั้งบ้านทั้งเมือง ก็มีคนที่พร้อมจะเชื่อแกกันทั้งบ้านทั้งเมืองไม่ต่างอะไรกันนัก…

นั่งเรือข้ามทะเลกลับมาที่โรงแรมและโทร.หากานนเป็นครั้งที่นับไม่ถ้วน โทรศัพท์ถูกปิดและเขาก็ติดต่อฝ่ายนั้นไม่ได้อีกเช่นเคย

เกิดอะไรขึ้น…

มันต้องมีเหตุร้าย เรื่องแบบนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนเลยก็ว่าได้ตั้งแต่ร่วมงานด้วยกันมา…

 



Don`t copy text!