นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ

นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ

โดย : ปรียนันทนา

Loading

นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้  จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co

อากาศหนาวเย็นอาจไม่เพียงแค่ไม่เคยคุ้นสำหรับหญิงสาวชาวตะวันออก  แต่ชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้เพิ่งกลับมาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนในรอบหลายปีก็กลับรู้สึกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับไอเย็นที่ปะทะวงหน้าจนผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปตามแรงลมด้วย  คงเพราะความอบอุ่นจากแดนตะวันออกที่จากมาทำให้เขารู้สึกว่าโลกอันแตกต่างจากที่เคยเป็นไม่ได้เลวร้ายซ้ำยังนำพาให้พบกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเขาได้เรียนรู้มากมาย  แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือจิตใจของผู้คนที่ไม่เคยคุ้นทว่ากลับตรึงตราตรึงใจมาจนบัดนี้

“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบคุณ”

มิเชลเอ่ยทักทายหญิงสาวผู้มีดวงตาคมหวานผู้กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างตื่นเต้นระคนประหม่า  เขาสังเกตได้ตั้งแต่เมื่อแรกที่เดินเข้าไปยังอาคารจัดแสดงสินค้าที่แสดงข้าวของจากสยามแล้วว่าโชติดีใจที่ได้พบเขาแต่ก็แปลกใจไม่แพ้กันด้วยหญิงสาวคงไม่คาดคิดว่าเขาจะไปพบเธอที่นั่น  ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่เดินวนเวียนเฝ้าชมสินค้าจากสยามโชติไม่หวั่นต่อแววตาชื่นชมที่เฝ้ามองมาไม่เว้นวาย  ด้วยเธอคุ้นชินกับชาวต่างชาติในสยามมาไม่น้อย  เพียงแต่คนที่นี่ต่างหากที่ไม่เคยพบหญิงสาวต่างเชื้อชาติเช่นเธอ  แต่เมื่อได้เจอกับมิเชลอีกครั้งเธอก็ยอมรับกับใจตนเองว่าที่ผ่านมาแววตาของเขาติดตรึงอยู่ในใจเธอเสมอมา

“ยินดีที่ได้พบกันค่ะ  ภาษาไทยของคุณชัดขึ้นมากนะคะมิเชล”

หญิงสาวตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจพลางรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวที่วูบตรงนวลแก้มทั้งที่ไอเย็นในอากาศยังอวลอยู่รอบกาย  เมื่อหันไปมองพี่บัวที่ยืนยิ้มน้อย ๆ  หากทว่าท่าทางที่กำลังเอามือสองข้างถูไปมาก็บ่งบอกถึงความหนาวเย็นอันเป็นจริงในยามนี้

“งานแสดงของเมืองสยามมีคนสนใจมากทีเดียว  ผมคิดว่าชาวปารีเซียงมิเคยได้เห็นงานที่ละเอียดสวยงามแปลกตามาก่อน”

“บ้านเมืองของคุณก็สวยงามสำหรับพวกเรามากค่ะ  เพียงแต่อากาศหนาวเย็นมากเหลือเกิน”

“แต่สำหรับข้าวของต่าง ๆ คงไม่ได้แปลกตาสำหรับคุณมากนัก  จริงหรือไม่  เพราะคุณคงชินกับสินค้าจากทางยุโรป  ว่าแต่คุณกินอาหารได้หรือเปล่า”  เขาสนใจใคร่รู้เรื่องราวของเธอมากมายหลังจากไม่ได้พบกันมานาน

“ตอนแรกคิดว่าได้”  โชติตอบคำถามสุดท้ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้า  “หากแต่เอาเข้าจริง  มิใคร่ได้นักดอกค่ะ  ดีที่คุณป้าตระเตรียมอาหารแห้งมามากโข”  โชตินึกถึงบรรดาสารพัดน้ำพริกและของกินเล่นแบบแห้งของคุณป้า  หนำซ้ำยังมีพริกกับเกลือที่มารดาของหญิงสาวลงมือเข้าครัวเตรียมด้วยตนเอง

“แล้วกินอย่างไร  มิได้มีข้าวมาด้วย”

“ขนมปังก็พอช่วยได้ค่ะ  คุณป้าพอจะคุ้นกับขนมปังบ้าง  อยู่ที่บ้านท่านทำพวกเครื่องจิ้มบางอย่างให้คุณลุงจิ้มกับขนมปัง”

ชายหนุ่มฟังเธอพูดอย่างเพลิดเพลินก่อนที่โชติจะหยุดพลางมองหน้าเขาแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ

“ว่าแต่ที่คุณชวนฉันมาเดินตรงนี้มีอะไรหรือเปล่าคะมิเชล”  ดวงตาคมวาวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างกริ่งเกรงจะเอ่ยท้วง

“ทำไมหรือ”  เขาชะงักมือที่กำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมพลางหันไปมองรอบกายที่ผู้คนสัญจรไปมาก็แปลกใจ  ลมเย็น ๆ จากริมน้ำกำลังปะทะใบหน้าพาให้รู้สึกสบายและบรรยากาศช่างเป็นใจในเวลาที่เหมาะสมที่เขาจะมอบของที่ระลึกให้กับเธอ

“อากาศค่อนข้างหนาวเกินไปสำหรับพวกเราน่ะค่ะ”​ หญิงสาวตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุดพลางห่อตัวกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่  เมื่อหันไปมองพี่บัวก็พบว่าอีกฝ่ายดูจะทนไม่ได้มากกว่าหล่อนเสียอีกเนื่องจากผ้าหนา ๆ ที่คลุมไว้ทั้งตัวดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรอีกฝ่ายมากนัก  “ไหวไหมพี่บัว  หนาวจนยืนงอก่องอขิงเสียแล้ว”

“นั่นสิ  ผมเองก็ลืมไป  คิดว่าพวกคุณจะชินแล้ว  เช่นนั้นเราไปตรงร้านหัวมุมโน่นดีไหม”  เขาชี้ไปยังร้านตรงหัวมุมซึ่งโชติคิดว่าคงเป็นที่นั่งชุมนุมของคนที่นี่  เธอเพียงเห็นผ่านๆ  แต่ไม่รู้ว่าในนั้นเป็นเช่นไร  เมื่อคิดว่าจะได้ลองเข้าไปชมก็รู้สึกตื่นเต้น

เมื่อเดินลงสะพานไปยังถนนตรงข้ามแล้วมิเชลนำหญิงสองคนไปยังร้านหัวมุมก่อนที่เขาจะผลักประตูให้โชติและพี่บัวเดินเข้าไปก่อน  ซึ่งฝ่ายหลังลังเลอยู่ด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน  บัวคงคิดว่าตนเองเป็นเพียงบ่าวติดตามจึงไม่กล้าเดินนำหน้าชายหนุ่ม

“ตามมาเถิดจ้ะพี่บัว”​

โชติพยักหน้าน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามา  ก่อนที่มิเชลจะเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายแล้วพาทั้งสองไปนั่งที่โต๊ะริมกระจก

บริกรของร้านเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรก่อนที่โชติจะได้ยินมิเชลสั่งชาและขนมต่าง ๆ อย่างรวดเร็วจนเธอฟังแทบไม่ทันแต่ก็จับความได้ว่ามีการสั่งเครื่องดื่มสำหรับสามคน  บัวนั่งข้างหญิงสาวอย่างประหม่า  ดวงตาหลุบมองต่ำ  ไหล่คุ้มลงด้วยไม่เคยคุ้นกับการนั่งร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนายมาก่อน  แม้เธอสนิทกับโชติแต่ก็รู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงบ่าวคนสนิทของคุณหญิงอ่วม  หาได้เป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหญิงสาวไม่

“พี่บัวทำตัวตามสบายเถิด  เราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง  เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิจ๊ะ”  หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ร้านก็เห็นหนุ่มสาวที่เดินเข้ามาในร้านล้วนนั่งสนทนากันอย่างเสรี  ไม่มีทีท่าของการแบ่งแยกแต่ยังคงความสุภาพให้เกียรติคู่สนทนาครบถ้วน  บัวค่อย ๆ เงยหน้าแล้วมองไปยังโต๊ะอื่น ๆ ที่มีลูกค้านั่งอยู่ก็รู้สึกผ่อนคลายพลางหมุนไหล่ให้ตั้งแล้วค่อย ๆ ขยับพิงพนักที่นั่งอย่างสบายตัว

“ทำแบบนั้นแหละ  มานั่งกระมิดกระเมี้ยนเดี๋ยวคนเขาก็หาว่าเราเป็นพวกเข้าสังคมไม่เป็น  นี่นะ  ถ้าเป็นแม่กลอยคงจะเดินเฉิดฉายไปดูโน่นดูนี่อย่างไม่เกรงสายตาใครเป็นแน่”

โชติเอ่ยถึงเด็กหญิงในความดูแลอย่างคิดถึง

“นั่นสิเจ้าคะ  รายนั้นออกจะใจเด็ด  กล้าหาญเกินเด็ก  คิดดูเรื่องที่คุณโชติเคยเล่าว่าจะกระโดดน้ำตายที่พ่อแม่จะพาไปเป็นเมียขัดดอก  ดีเสียแต่ว่าคุณนี่เขาไปช่วยไว้ทัน”

เมื่อความหนาวคลายลงบัวจึงเริ่มเจรจาอย่างเป็นตัวของตัวเอง

“มิรู้ว่าป่านนี้แม่กลอยจะสนุกสนานเพียงใดและทำสิ่งใดอยู่”  มิเชลพลอยนึกถึงเด็กหญิงวัยแรกรุ่นหน้าตาหมดจดท่าทางกล้าเกินวัยขึ้นมาบ้าง

“คงมิใคร่สนุกนักดอกค่ะ  ต้องตามแม่ไปในวังเป็นแน่  งานพระบรมศพคงจะจัดขึ้นในไม่ช้าแลคงมีงานให้แม่ของฉันต้องตระเตรียมกับคุณจอมซึ่งแม่กลอยคงต้องช่วยด้วย”

โชติทอดสายตาไปนอกหน้าต่างที่อากาศเย็นเยียบหากหัวใจที่ไพล่คิดถึงบ้านกลับรู้สึกเย็นเฉียบยิ่งกว่าด้วยเวลานานนับเดือนทั้งการเดินทางและใช้ชีิวิตต่างบ้านต่างเมืองอาจชักพาให้หลงลืมนึกถึงคนทางบ้าน  แต่เมื่อได้นั่งทบทวนถึงเหตุการณ์โศกสลดในสยามยามนี้  หญิงสาวก็ตระหนักว่าเธอมีความคิดถึงและห่วงใยคนทางโน้นเป็นที่ยิ่ง

“นั่นสิเจ้าคะ  คิดแล้วพาลเศร้าไปด้วย  แต่เรามาอยู่ทางนี้ก็ทำเพื่อบ้านเมืองนะเจ้าคะ”  บัวช่างเจรจาราวกับล่วงรู้ความคิดของหญิงสาว

“พี่บัวนี่ช่างพูดนัก  สมคงจะได้ยินคุณลุงคุณป้าหารือราชการอยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่”

“มิถึงขนาดนั้นดอกเจ้าค่ะ  แค่ได้ยินมาบ้าง  ปัญญาทึบอย่างพี่นั้นหรือจะรู้เรื่องอะไรกับใครเขา”  อีกฝ่ายเอ่ยอย่างถ่อมตัว

“คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่  ผมเห็นว่าพี่บัวได้บางอย่างมาจากคุณหญิงมากพอควร  ทั้งการเรียนรู้โลกภายนอกและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ดังเช่นที่คุณโชติได้รับมาเช่นกัน”

มิเชลเอ่ยขณะรินน้ำชาจากกากระเบื้องที่บริกรนำมาวางให้  ชาร้อนกรุ่นด้วยกลิ่นหอมชัดจากใบชาถูกรินรดกระทบก้นแก้วกระเบื้องก่อนควันที่ควันจาง ๆ ลอยขึ้นเหนือขอบแก้วแล้วชายหนุ่มก็ลดระดับมือที่จับหูกาลงเมื่อนำ้สีชาในถ้วยอยู่ในปริมาณที่พอดี  ก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้นในแก้วต่อไปจนครบสามแก้ว  จากนั้นเขาเลื่อนแก้วสองใบให้ผู้หญิงสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะและแก้วสุดท้ายสำหรับตนเอง

“ขนมที่นี่ก็รสชาติดีนะครับ  ลองชิมดูสิ”  มิเชลเลื่อนจานใส่ขนมหลากสีรูปร่างกลมให้หญิงสาว

โชติหยิบขนมรูปร่างกลมที่พิศดูใกล้ ๆ แล้วคล้ายกับนำขนมผิงแบน ๆ สองชิ้นประกบกันแต่ต่างกันส่วนตรงกลางมีไส้ที่กวนเป็นเนื้อเนียนสวยน่ารับประทาน

“เรียกว่าขนมอะไรคะ”

“Macaron” ชายหนุ่มออกเสียงภาษาของตนเองชัดเจนหากแต่ผู้ฟังรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินยังเปล่งออกมายาก  หญิงสาวจึงพูดตามเบา ๆ

“มาการอง  หรือคะ”  โชติเอ่ยออกมาและหันไปมองหน้ากันกับบัว

“เกือบใช่แต่ยังมิใช่  เสียงสุดท้ายไม่ใช่ ร.เรือ แต่เป็นเสียง ฮ.นกฮูก ”  เขาพยายามออกเสียงให้เธอฟังอีกครั้งแต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็รู้สึกว่ายาก

“มากาฮงหรือคะ”  โชติเปล่งเสียงอย่างไม่แน่ใจนัก

“นั่นแหละครับ  ใกล้เคียงมากแล้ว  คุณเก่งมาก”  เขาผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวลองชิมขนมในมือ

โชติลองชิมขนมเพียงคำเล็ก ๆ เมื่อได้ลิ้มรสสัมผัสที่ไม่ได้ละลายในปากอย่างที่คิดหากแต่หวานแหลมทว่ากลมกล่อมลงตัวเมื่อดื่มชาตามไป

“หวานมาก  พี่บัวลองชิมดูสิ”  หญิงสาวพยักหน้าให้อีกฝ่ายลองชิม

“ขนมผิงหรือเจ้าคะ”  บัวหยิบขนมสีสวยมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดเบา ๆ เข้าไปในปาก

“มากาฮง”  โชติย้ำชื่อขนมอีกครั้งช้า ๆ ให้อีกฝ่ายฟัง

“หวานแท้  เยี่ยงนี้รับกับน้ำชาถูกต้องแล้ว”  บัวพูดเบา ๆ กับหญิงสาวด้วยท่าทางตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่

“พี่บัวจัดเตรียมเครื่องของว่างให้คุณลุงคุณป้าทุกวันย่อมรู้ดีว่าของหวานของคาวใดควรกินคู่กัน”

มิเชลนั่งพยักหน้าในขณะรับฟังสิ่งที่หญิงสาวอธิบายอย่างสนใจก่อนจะถามเธอเรื่องงานของท่านราชทูต

“คุณลุงไปเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ปราสาทแซงต์คลู  ยังมิรู้ดอกค่ะว่าผลการเจรจาเป็นเยี่ยงไร”

“หวังว่าคงจะเป็นผลดีกับประเทศของเราทั้งสองนะครับ”  เขาเอ่ยเบา ๆ อย่างเอาใจช่วยเพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรประโยชน์ย่อมตกอยู่กับประเทศที่ใหญ่กว่า  แต่แม้สยามเป็นประเทศเล็กก็มิใช่ว่าผู้นำจะไร้ความสามารถ  ตรงกันข้ามเขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ของสยามทรงพระปรีชายิ่งนักที่สามารถใช้นโยบายต่างประเทศโดยแสดงความเป็นมิตรกับประเทศใหญ่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสได้อย่างพอดี

“ฉันก็หวังว่าประเทศของคุณคงเข้าใจเรานะคะ”  โชติมองชายหนุ่มอย่างรู้ดีว่าหมายถึงเรื่องใด  เพราะปัญหาของท่านกงสุลเป็นสิ่งเรื้อรังและกินแหนงแคลงใจมานานจนถึงกับต้องนำมาเป็นหัวข้อในการเข้าเฝ้าในคราวนี้ด้วย

“ในกรณีนี้  ผมไม่มีความเห็นมากนักแต่เข้าใจพวกคุณเป็นอย่างดีครับ”​ มิเชลก้มศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ

“ขอบคุณค่ะ”

ชายหนุ่มรอให้โชติชิมขนมสักครู่ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หยิบกล่องที่บรรจุน้ำหอมออกมาจากเสื้อคลุมที่เขาถอดวางไว้ข้างตัว  น้ำหอมขวดนี้เขาตั้งใจสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้เธอเพื่อเป็นที่ระลึกในการได้มาเยือนประเทศของเขา

“ผมมีบางอย่างมามอบให้คุณครับ”  มิเชลวางของในมือลงตรงหน้าหญิงสาวแล้วส่งยิ้มให้หญิงสาวพร้อมส่งสายตาเป็นประกายอย่างปิติใจ

“กล่องนี้มีสิ่งใดหรือคะ  มอบให้ฉันหรือ”

โชติมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัยเพราะตั้งตัวไม่ทัน  ในบ้านเมืองของเธอการที่ชายหนุ่มมีของกำนัลมอบแก่หญิงใดย่อมเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาคนนั้นมีใจปฏิพัทธ์เป็นแน่แท้แก่หญิงผู้นั้น  แต่โชติไม่แน่ใจว่าธรรมเนียมชาวยุโรปเป็นเช่นนั้นหรือไม่  ถึงกระนั้นเธอก็ชัดแจ้งในใจแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดเช่นไรกับเธอจากการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของเขา

“เปิดดูสิคุณโชติ”  มิเชลคะยั้นคะยออย่างตื่นเต้น

“คุณโชติเจ้าขา”  บัวที่นั่งข้าง ๆ มีสีหน้ากระอักระอ่วนขึ้นมาทันใดขณะสะกิดหญิงสาว  “จะรับไว้หรือเจ้าคะ”  ทั้งที่รู้มาก่อนหน้านี้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านว่าชายฝรั่งเศสผู้นี้หมายปองหลานสาวของผู้เป็นนาย  แต่ก็

ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะถึงกับตั้งใจตีตราจอง   เพราะในความรู้สึกของบัวนั้น  หากชายใดมอบของกำนัลให้และหญิงสาวรับไว้ก็เท่ากับว่ายินดีรับไมตรีของอีกฝ่ายในฐานะที่มากกว่าคนรู้จักกัน

“มิเป็นไรดอกพี่บัว”  โชติเปิดกล่องแล้วหยิบขวดแก้วอันบรรจุน้ำสีเหลืองอ่อนใสมาถือไว้  “น้ำปรุงฝรั่งหรือคะ”  หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาอย่างยินดีด้วยรู้ว่าของชนิดนี้มิใคร่หาได้ง่ายในบ้านเมืองของตน

“ผมเลือกกลิ่นที่ไม่ฉุนเพราะหากว่าคุณใช้ที่บ้านของคุณจะได้รู้สึกสดชื่น”  เขาอธิบายพลางส่งสัญญาณให้เธอลองเปิดขวดเพื่อดมกลิ่น

“หอมสดชื่นจริงด้วยค่ะ  มิเหมือนกับน้ำอบน้ำปรุงที่แม่หรือคุณป้าใช้”  โชติหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเทน้ำใสจากขวดลงบนผ้าก่อนส่งให้บัวได้ลองดมบ้าง

“หอมจริงเจ้าค่ะ  กลิ่นหอมหวานแต่รู้สึกสดชื่น  ไม่ฉุนจนเวียนหัว”  บัวบอกเบา ๆ และพยักหน้าอย่างถูกใจ  เธอลืมความแคลงใจไปชั่วขณะเมื่อความสนใจมุ่งมายังของกำนัลที่โชติได้รับตรงหน้า

“คุณชอบหรือไม่คุณโชติ”  มิเชลถามแววตาเป็นประกาย

“ชอบค่ะ”  โชติตอบเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ เก็บขวดแก้วกลับลงกล่องอย่างปลาบปลื้มในของที่ชายหนุ่มมอบให้อย่างคาดไม่ถึง  “ขอบคุณมากเลยนะคะมิเชล”

สองหนุ่มสาวสบตากันอย่างลึกซึ้งราวตกอยู่ในภวังค์  เนิ่นนานในความรู้สึกแต่ไม่ได้ยาวนานในความเป็นจริงเพราะเสียงของบุคคลที่สามที่นั่งร่วมโต๊ะเอ่ยเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะขัดจังหวะ

“เอ่อ  คุณโชติเจ้าคะ  พี่ว่าเราน่าจะกลับได้แล้วนะ  ออกมานานเกรงว่าคุณหญิงจะเป็นกังวล”

“นั่นสิจ๊ะ”  โชติละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าก่อนตัดใจเอ่ยกับบัวอย่างคล้อยตาม  “กลับกันก็ดี  ปล่อยให้คุณป้าอยู่ลำพังกับบ่าวแค่คนเดียวนานไปไม่ดี  วันก่อนก็เพิ่งเป็นลมเพราะเหนื่อย”

หญิงสาวอธิบายให้มิเชลฟังก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับรู้แล้วเรียกบริกรของร้านเพื่อเก็บเงินจากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากร้านโดยมิเชลไปส่งโชติที่ศาลาไทยอันเป็นที่จัดแสดงงานข้าวของจากสยาม

ชายหนุ่มร่ำลาหญิงสาวด้วยหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความสุขซึ่งจากสายตาของโชติที่ประสานกับเขาก่อนเอ่ยลาทำให้มิเชลคิดว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน



Don`t copy text!