นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
โดย : ปรียนันทนา
นิราศรักสองนครา โดย ปรียนันทนา เรื่องราวของโชติ หญิงสาวชาวสยาม กับทางเลือกสองทาง ความรักของชายหญิงกับความรักหวงแหนแผ่นดินเกิด เธอจะเลือกทางใด และหากไม่สามารถเลือกได้ จะมีหนทางใดที่ใจสองดวงจะมาบรรจบพบกัน ณ จุดที่ลงตัวได้หรือไม่ นวนิยายออนไลน์ที่อ่านเอาอยากให้คุณได้อ่านพร้อมกันที่นี่ anowl.co
อากาศหนาวเย็นอาจไม่เพียงแค่ไม่เคยคุ้นสำหรับหญิงสาวชาวตะวันออก แต่ชายหนุ่มชาวตะวันตกผู้เพิ่งกลับมาเยือนบ้านเกิดเมืองนอนในรอบหลายปีก็กลับรู้สึกไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับไอเย็นที่ปะทะวงหน้าจนผมสีน้ำตาลพลิ้วไหวไปตามแรงลมด้วย คงเพราะความอบอุ่นจากแดนตะวันออกที่จากมาทำให้เขารู้สึกว่าโลกอันแตกต่างจากที่เคยเป็นไม่ได้เลวร้ายซ้ำยังนำพาให้พบกับสิ่งใหม่ ๆ ซึ่งเขาได้เรียนรู้มากมาย แน่นอนว่าหนึ่งในนั้นคือจิตใจของผู้คนที่ไม่เคยคุ้นทว่ากลับตรึงตราตรึงใจมาจนบัดนี้
“ดีใจเหลือเกินที่ได้พบคุณ”
มิเชลเอ่ยทักทายหญิงสาวผู้มีดวงตาคมหวานผู้กำลังจ้องมองมาที่เขาอย่างตื่นเต้นระคนประหม่า เขาสังเกตได้ตั้งแต่เมื่อแรกที่เดินเข้าไปยังอาคารจัดแสดงสินค้าที่แสดงข้าวของจากสยามแล้วว่าโชติดีใจที่ได้พบเขาแต่ก็แปลกใจไม่แพ้กันด้วยหญิงสาวคงไม่คาดคิดว่าเขาจะไปพบเธอที่นั่น ท่ามกลางสายตาของผู้คนมากมายที่เดินวนเวียนเฝ้าชมสินค้าจากสยามโชติไม่หวั่นต่อแววตาชื่นชมที่เฝ้ามองมาไม่เว้นวาย ด้วยเธอคุ้นชินกับชาวต่างชาติในสยามมาไม่น้อย เพียงแต่คนที่นี่ต่างหากที่ไม่เคยพบหญิงสาวต่างเชื้อชาติเช่นเธอ แต่เมื่อได้เจอกับมิเชลอีกครั้งเธอก็ยอมรับกับใจตนเองว่าที่ผ่านมาแววตาของเขาติดตรึงอยู่ในใจเธอเสมอมา
“ยินดีที่ได้พบกันค่ะ ภาษาไทยของคุณชัดขึ้นมากนะคะมิเชล”
หญิงสาวตอบกลับพร้อมส่งยิ้มให้เขาอย่างจริงใจพลางรู้สึกถึงไอร้อนผ่าวที่วูบตรงนวลแก้มทั้งที่ไอเย็นในอากาศยังอวลอยู่รอบกาย เมื่อหันไปมองพี่บัวที่ยืนยิ้มน้อย ๆ หากทว่าท่าทางที่กำลังเอามือสองข้างถูไปมาก็บ่งบอกถึงความหนาวเย็นอันเป็นจริงในยามนี้
“งานแสดงของเมืองสยามมีคนสนใจมากทีเดียว ผมคิดว่าชาวปารีเซียงมิเคยได้เห็นงานที่ละเอียดสวยงามแปลกตามาก่อน”
“บ้านเมืองของคุณก็สวยงามสำหรับพวกเรามากค่ะ เพียงแต่อากาศหนาวเย็นมากเหลือเกิน”
“แต่สำหรับข้าวของต่าง ๆ คงไม่ได้แปลกตาสำหรับคุณมากนัก จริงหรือไม่ เพราะคุณคงชินกับสินค้าจากทางยุโรป ว่าแต่คุณกินอาหารได้หรือเปล่า” เขาสนใจใคร่รู้เรื่องราวของเธอมากมายหลังจากไม่ได้พบกันมานาน
“ตอนแรกคิดว่าได้” โชติตอบคำถามสุดท้ายพร้อมยิ้มน้อย ๆ พลางส่ายหน้า “หากแต่เอาเข้าจริง มิใคร่ได้นักดอกค่ะ ดีที่คุณป้าตระเตรียมอาหารแห้งมามากโข” โชตินึกถึงบรรดาสารพัดน้ำพริกและของกินเล่นแบบแห้งของคุณป้า หนำซ้ำยังมีพริกกับเกลือที่มารดาของหญิงสาวลงมือเข้าครัวเตรียมด้วยตนเอง
“แล้วกินอย่างไร มิได้มีข้าวมาด้วย”
“ขนมปังก็พอช่วยได้ค่ะ คุณป้าพอจะคุ้นกับขนมปังบ้าง อยู่ที่บ้านท่านทำพวกเครื่องจิ้มบางอย่างให้คุณลุงจิ้มกับขนมปัง”
ชายหนุ่มฟังเธอพูดอย่างเพลิดเพลินก่อนที่โชติจะหยุดพลางมองหน้าเขาแล้วเอ่ยออกมาอย่างไม่แน่ใจ
“ว่าแต่ที่คุณชวนฉันมาเดินตรงนี้มีอะไรหรือเปล่าคะมิเชล” ดวงตาคมวาวจ้องมองอีกฝ่ายอย่างกริ่งเกรงจะเอ่ยท้วง
“ทำไมหรือ” เขาชะงักมือที่กำลังล้วงเข้าไปในกระเป๋าเสื้อคลุมพลางหันไปมองรอบกายที่ผู้คนสัญจรไปมาก็แปลกใจ ลมเย็น ๆ จากริมน้ำกำลังปะทะใบหน้าพาให้รู้สึกสบายและบรรยากาศช่างเป็นใจในเวลาที่เหมาะสมที่เขาจะมอบของที่ระลึกให้กับเธอ
“อากาศค่อนข้างหนาวเกินไปสำหรับพวกเราน่ะค่ะ” หญิงสาวตัดสินใจเอ่ยออกมาในที่สุดพลางห่อตัวกระชับเสื้อคลุมตัวใหญ่ เมื่อหันไปมองพี่บัวก็พบว่าอีกฝ่ายดูจะทนไม่ได้มากกว่าหล่อนเสียอีกเนื่องจากผ้าหนา ๆ ที่คลุมไว้ทั้งตัวดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไรอีกฝ่ายมากนัก “ไหวไหมพี่บัว หนาวจนยืนงอก่องอขิงเสียแล้ว”
“นั่นสิ ผมเองก็ลืมไป คิดว่าพวกคุณจะชินแล้ว เช่นนั้นเราไปตรงร้านหัวมุมโน่นดีไหม” เขาชี้ไปยังร้านตรงหัวมุมซึ่งโชติคิดว่าคงเป็นที่นั่งชุมนุมของคนที่นี่ เธอเพียงเห็นผ่านๆ แต่ไม่รู้ว่าในนั้นเป็นเช่นไร เมื่อคิดว่าจะได้ลองเข้าไปชมก็รู้สึกตื่นเต้น
เมื่อเดินลงสะพานไปยังถนนตรงข้ามแล้วมิเชลนำหญิงสองคนไปยังร้านหัวมุมก่อนที่เขาจะผลักประตูให้โชติและพี่บัวเดินเข้าไปก่อน ซึ่งฝ่ายหลังลังเลอยู่ด้วยท่าทางกระอักกระอ่วน บัวคงคิดว่าตนเองเป็นเพียงบ่าวติดตามจึงไม่กล้าเดินนำหน้าชายหนุ่ม
“ตามมาเถิดจ้ะพี่บัว”
โชติพยักหน้าน้อย ๆ ให้อีกฝ่ายรีบเดินเข้ามา ก่อนที่มิเชลจะเดินตามมาเป็นคนสุดท้ายแล้วพาทั้งสองไปนั่งที่โต๊ะริมกระจก
บริกรของร้านเดินเข้ามาทักทายอย่างเป็นมิตรก่อนที่โชติจะได้ยินมิเชลสั่งชาและขนมต่าง ๆ อย่างรวดเร็วจนเธอฟังแทบไม่ทันแต่ก็จับความได้ว่ามีการสั่งเครื่องดื่มสำหรับสามคน บัวนั่งข้างหญิงสาวอย่างประหม่า ดวงตาหลุบมองต่ำ ไหล่คุ้มลงด้วยไม่เคยคุ้นกับการนั่งร่วมโต๊ะกับผู้เป็นนายมาก่อน แม้เธอสนิทกับโชติแต่ก็รู้ดีว่าตนเองเป็นเพียงบ่าวคนสนิทของคุณหญิงอ่วม หาได้เป็นญาติที่ใกล้ชิดกับหญิงสาวไม่
“พี่บัวทำตัวตามสบายเถิด เราอยู่ต่างบ้านต่างเมือง เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตามสิจ๊ะ” หญิงสาวมองไปรอบ ๆ ร้านก็เห็นหนุ่มสาวที่เดินเข้ามาในร้านล้วนนั่งสนทนากันอย่างเสรี ไม่มีทีท่าของการแบ่งแยกแต่ยังคงความสุภาพให้เกียรติคู่สนทนาครบถ้วน บัวค่อย ๆ เงยหน้าแล้วมองไปยังโต๊ะอื่น ๆ ที่มีลูกค้านั่งอยู่ก็รู้สึกผ่อนคลายพลางหมุนไหล่ให้ตั้งแล้วค่อย ๆ ขยับพิงพนักที่นั่งอย่างสบายตัว
“ทำแบบนั้นแหละ มานั่งกระมิดกระเมี้ยนเดี๋ยวคนเขาก็หาว่าเราเป็นพวกเข้าสังคมไม่เป็น นี่นะ ถ้าเป็นแม่กลอยคงจะเดินเฉิดฉายไปดูโน่นดูนี่อย่างไม่เกรงสายตาใครเป็นแน่”
โชติเอ่ยถึงเด็กหญิงในความดูแลอย่างคิดถึง
“นั่นสิเจ้าคะ รายนั้นออกจะใจเด็ด กล้าหาญเกินเด็ก คิดดูเรื่องที่คุณโชติเคยเล่าว่าจะกระโดดน้ำตายที่พ่อแม่จะพาไปเป็นเมียขัดดอก ดีเสียแต่ว่าคุณนี่เขาไปช่วยไว้ทัน”
เมื่อความหนาวคลายลงบัวจึงเริ่มเจรจาอย่างเป็นตัวของตัวเอง
“มิรู้ว่าป่านนี้แม่กลอยจะสนุกสนานเพียงใดและทำสิ่งใดอยู่” มิเชลพลอยนึกถึงเด็กหญิงวัยแรกรุ่นหน้าตาหมดจดท่าทางกล้าเกินวัยขึ้นมาบ้าง
“คงมิใคร่สนุกนักดอกค่ะ ต้องตามแม่ไปในวังเป็นแน่ งานพระบรมศพคงจะจัดขึ้นในไม่ช้าแลคงมีงานให้แม่ของฉันต้องตระเตรียมกับคุณจอมซึ่งแม่กลอยคงต้องช่วยด้วย”
โชติทอดสายตาไปนอกหน้าต่างที่อากาศเย็นเยียบหากหัวใจที่ไพล่คิดถึงบ้านกลับรู้สึกเย็นเฉียบยิ่งกว่าด้วยเวลานานนับเดือนทั้งการเดินทางและใช้ชีิวิตต่างบ้านต่างเมืองอาจชักพาให้หลงลืมนึกถึงคนทางบ้าน แต่เมื่อได้นั่งทบทวนถึงเหตุการณ์โศกสลดในสยามยามนี้ หญิงสาวก็ตระหนักว่าเธอมีความคิดถึงและห่วงใยคนทางโน้นเป็นที่ยิ่ง
“นั่นสิเจ้าคะ คิดแล้วพาลเศร้าไปด้วย แต่เรามาอยู่ทางนี้ก็ทำเพื่อบ้านเมืองนะเจ้าคะ” บัวช่างเจรจาราวกับล่วงรู้ความคิดของหญิงสาว
“พี่บัวนี่ช่างพูดนัก สมคงจะได้ยินคุณลุงคุณป้าหารือราชการอยู่บ่อย ๆ ใช่หรือไม่”
“มิถึงขนาดนั้นดอกเจ้าค่ะ แค่ได้ยินมาบ้าง ปัญญาทึบอย่างพี่นั้นหรือจะรู้เรื่องอะไรกับใครเขา” อีกฝ่ายเอ่ยอย่างถ่อมตัว
“คงไม่เป็นเช่นนั้นแน่ ผมเห็นว่าพี่บัวได้บางอย่างมาจากคุณหญิงมากพอควร ทั้งการเรียนรู้โลกภายนอกและเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ ดังเช่นที่คุณโชติได้รับมาเช่นกัน”
มิเชลเอ่ยขณะรินน้ำชาจากกากระเบื้องที่บริกรนำมาวางให้ ชาร้อนกรุ่นด้วยกลิ่นหอมชัดจากใบชาถูกรินรดกระทบก้นแก้วกระเบื้องก่อนควันที่ควันจาง ๆ ลอยขึ้นเหนือขอบแก้วแล้วชายหนุ่มก็ลดระดับมือที่จับหูกาลงเมื่อนำ้สีชาในถ้วยอยู่ในปริมาณที่พอดี ก่อนที่เขาจะทำอย่างนั้นในแก้วต่อไปจนครบสามแก้ว จากนั้นเขาเลื่อนแก้วสองใบให้ผู้หญิงสองคนที่นั่งร่วมโต๊ะและแก้วสุดท้ายสำหรับตนเอง
“ขนมที่นี่ก็รสชาติดีนะครับ ลองชิมดูสิ” มิเชลเลื่อนจานใส่ขนมหลากสีรูปร่างกลมให้หญิงสาว
โชติหยิบขนมรูปร่างกลมที่พิศดูใกล้ ๆ แล้วคล้ายกับนำขนมผิงแบน ๆ สองชิ้นประกบกันแต่ต่างกันส่วนตรงกลางมีไส้ที่กวนเป็นเนื้อเนียนสวยน่ารับประทาน
“เรียกว่าขนมอะไรคะ”
“Macaron” ชายหนุ่มออกเสียงภาษาของตนเองชัดเจนหากแต่ผู้ฟังรู้สึกว่าเสียงที่ได้ยินยังเปล่งออกมายาก หญิงสาวจึงพูดตามเบา ๆ
“มาการอง หรือคะ” โชติเอ่ยออกมาและหันไปมองหน้ากันกับบัว
“เกือบใช่แต่ยังมิใช่ เสียงสุดท้ายไม่ใช่ ร.เรือ แต่เป็นเสียง ฮ.นกฮูก ” เขาพยายามออกเสียงให้เธอฟังอีกครั้งแต่จนแล้วจนรอดหญิงสาวก็รู้สึกว่ายาก
“มากาฮงหรือคะ” โชติเปล่งเสียงอย่างไม่แน่ใจนัก
“นั่นแหละครับ ใกล้เคียงมากแล้ว คุณเก่งมาก” เขาผายมือเชื้อเชิญให้หญิงสาวลองชิมขนมในมือ
โชติลองชิมขนมเพียงคำเล็ก ๆ เมื่อได้ลิ้มรสสัมผัสที่ไม่ได้ละลายในปากอย่างที่คิดหากแต่หวานแหลมทว่ากลมกล่อมลงตัวเมื่อดื่มชาตามไป
“หวานมาก พี่บัวลองชิมดูสิ” หญิงสาวพยักหน้าให้อีกฝ่ายลองชิม
“ขนมผิงหรือเจ้าคะ” บัวหยิบขนมสีสวยมาหนึ่งชิ้นแล้วกัดเบา ๆ เข้าไปในปาก
“มากาฮง” โชติย้ำชื่อขนมอีกครั้งช้า ๆ ให้อีกฝ่ายฟัง
“หวานแท้ เยี่ยงนี้รับกับน้ำชาถูกต้องแล้ว” บัวพูดเบา ๆ กับหญิงสาวด้วยท่าทางตื่นเต้นกับประสบการณ์ใหม่
“พี่บัวจัดเตรียมเครื่องของว่างให้คุณลุงคุณป้าทุกวันย่อมรู้ดีว่าของหวานของคาวใดควรกินคู่กัน”
มิเชลนั่งพยักหน้าในขณะรับฟังสิ่งที่หญิงสาวอธิบายอย่างสนใจก่อนจะถามเธอเรื่องงานของท่านราชทูต
“คุณลุงไปเข้าเฝ้าพระเจ้านโปเลียนที่ปราสาทแซงต์คลู ยังมิรู้ดอกค่ะว่าผลการเจรจาเป็นเยี่ยงไร”
“หวังว่าคงจะเป็นผลดีกับประเทศของเราทั้งสองนะครับ” เขาเอ่ยเบา ๆ อย่างเอาใจช่วยเพราะรู้ดีว่าถึงอย่างไรประโยชน์ย่อมตกอยู่กับประเทศที่ใหญ่กว่า แต่แม้สยามเป็นประเทศเล็กก็มิใช่ว่าผู้นำจะไร้ความสามารถ ตรงกันข้ามเขาเห็นว่าพระมหากษัตริย์ของสยามทรงพระปรีชายิ่งนักที่สามารถใช้นโยบายต่างประเทศโดยแสดงความเป็นมิตรกับประเทศใหญ่ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศสได้อย่างพอดี
“ฉันก็หวังว่าประเทศของคุณคงเข้าใจเรานะคะ” โชติมองชายหนุ่มอย่างรู้ดีว่าหมายถึงเรื่องใด เพราะปัญหาของท่านกงสุลเป็นสิ่งเรื้อรังและกินแหนงแคลงใจมานานจนถึงกับต้องนำมาเป็นหัวข้อในการเข้าเฝ้าในคราวนี้ด้วย
“ในกรณีนี้ ผมไม่มีความเห็นมากนักแต่เข้าใจพวกคุณเป็นอย่างดีครับ” มิเชลก้มศีรษะให้อีกฝ่ายอย่างจริงใจ
“ขอบคุณค่ะ”
ชายหนุ่มรอให้โชติชิมขนมสักครู่ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ หยิบกล่องที่บรรจุน้ำหอมออกมาจากเสื้อคลุมที่เขาถอดวางไว้ข้างตัว น้ำหอมขวดนี้เขาตั้งใจสั่งทำขึ้นเป็นพิเศษให้เธอเพื่อเป็นที่ระลึกในการได้มาเยือนประเทศของเขา
“ผมมีบางอย่างมามอบให้คุณครับ” มิเชลวางของในมือลงตรงหน้าหญิงสาวแล้วส่งยิ้มให้หญิงสาวพร้อมส่งสายตาเป็นประกายอย่างปิติใจ
“กล่องนี้มีสิ่งใดหรือคะ มอบให้ฉันหรือ”
โชติมองหน้าอีกฝ่ายอย่างสงสัยเพราะตั้งตัวไม่ทัน ในบ้านเมืองของเธอการที่ชายหนุ่มมีของกำนัลมอบแก่หญิงใดย่อมเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเขาคนนั้นมีใจปฏิพัทธ์เป็นแน่แท้แก่หญิงผู้นั้น แต่โชติไม่แน่ใจว่าธรรมเนียมชาวยุโรปเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ถึงกระนั้นเธอก็ชัดแจ้งในใจแล้วว่าชายหนุ่มผู้นี้คิดเช่นไรกับเธอจากการกระทำทั้งหมดที่ผ่านมาของเขา
“เปิดดูสิคุณโชติ” มิเชลคะยั้นคะยออย่างตื่นเต้น
“คุณโชติเจ้าขา” บัวที่นั่งข้าง ๆ มีสีหน้ากระอักระอ่วนขึ้นมาทันใดขณะสะกิดหญิงสาว “จะรับไว้หรือเจ้าคะ” ทั้งที่รู้มาก่อนหน้านี้ตั้งแต่อยู่ที่บ้านว่าชายฝรั่งเศสผู้นี้หมายปองหลานสาวของผู้เป็นนาย แต่ก็
ไม่เคยคาดคิดว่าเขาจะถึงกับตั้งใจตีตราจอง เพราะในความรู้สึกของบัวนั้น หากชายใดมอบของกำนัลให้และหญิงสาวรับไว้ก็เท่ากับว่ายินดีรับไมตรีของอีกฝ่ายในฐานะที่มากกว่าคนรู้จักกัน
“มิเป็นไรดอกพี่บัว” โชติเปิดกล่องแล้วหยิบขวดแก้วอันบรรจุน้ำสีเหลืองอ่อนใสมาถือไว้ “น้ำปรุงฝรั่งหรือคะ” หญิงสาวเผลอยิ้มออกมาอย่างยินดีด้วยรู้ว่าของชนิดนี้มิใคร่หาได้ง่ายในบ้านเมืองของตน
“ผมเลือกกลิ่นที่ไม่ฉุนเพราะหากว่าคุณใช้ที่บ้านของคุณจะได้รู้สึกสดชื่น” เขาอธิบายพลางส่งสัญญาณให้เธอลองเปิดขวดเพื่อดมกลิ่น
“หอมสดชื่นจริงด้วยค่ะ มิเหมือนกับน้ำอบน้ำปรุงที่แม่หรือคุณป้าใช้” โชติหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเทน้ำใสจากขวดลงบนผ้าก่อนส่งให้บัวได้ลองดมบ้าง
“หอมจริงเจ้าค่ะ กลิ่นหอมหวานแต่รู้สึกสดชื่น ไม่ฉุนจนเวียนหัว” บัวบอกเบา ๆ และพยักหน้าอย่างถูกใจ เธอลืมความแคลงใจไปชั่วขณะเมื่อความสนใจมุ่งมายังของกำนัลที่โชติได้รับตรงหน้า
“คุณชอบหรือไม่คุณโชติ” มิเชลถามแววตาเป็นประกาย
“ชอบค่ะ” โชติตอบเบา ๆ พร้อมกับค่อย ๆ เก็บขวดแก้วกลับลงกล่องอย่างปลาบปลื้มในของที่ชายหนุ่มมอบให้อย่างคาดไม่ถึง “ขอบคุณมากเลยนะคะมิเชล”
สองหนุ่มสาวสบตากันอย่างลึกซึ้งราวตกอยู่ในภวังค์ เนิ่นนานในความรู้สึกแต่ไม่ได้ยาวนานในความเป็นจริงเพราะเสียงของบุคคลที่สามที่นั่งร่วมโต๊ะเอ่ยเบา ๆ ราวกับกลัวว่าจะขัดจังหวะ
“เอ่อ คุณโชติเจ้าคะ พี่ว่าเราน่าจะกลับได้แล้วนะ ออกมานานเกรงว่าคุณหญิงจะเป็นกังวล”
“นั่นสิจ๊ะ” โชติละสายตาจากชายหนุ่มตรงหน้าก่อนตัดใจเอ่ยกับบัวอย่างคล้อยตาม “กลับกันก็ดี ปล่อยให้คุณป้าอยู่ลำพังกับบ่าวแค่คนเดียวนานไปไม่ดี วันก่อนก็เพิ่งเป็นลมเพราะเหนื่อย”
หญิงสาวอธิบายให้มิเชลฟังก่อนที่อีกฝ่ายจะพยักหน้ารับรู้แล้วเรียกบริกรของร้านเพื่อเก็บเงินจากนั้นทั้งสามคนก็ออกจากร้านโดยมิเชลไปส่งโชติที่ศาลาไทยอันเป็นที่จัดแสดงงานข้าวของจากสยาม
ชายหนุ่มร่ำลาหญิงสาวด้วยหัวใจเปี่ยมล้นด้วยความสุขซึ่งจากสายตาของโชติที่ประสานกับเขาก่อนเอ่ยลาทำให้มิเชลคิดว่าอีกฝ่ายก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 33 : โมงยามแห่งความทรงจำ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 32 : ความในใจของบุรุษทั้งสอง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 31 : หลานสาวภริยาท่านทูต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 30 : หญิงสาวสองคนในเมืองใหญ่
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 29 : ต่างบ้านต่างเมือง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 28 : ก่อนถึงจุดหมาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 27 : ห่างกันไปไกล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 26 : เพียงชั่วเวลาพลิกฝ่ามือ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 25 : ในความคิดคำนึง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 24 : จังหวะของหัวใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 23 : การเดินทางสู่โลกกว้าง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 22 : เรื่องประหวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 21 : อุปสรรคและทางออก
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 20 : โรงเรียนเด็กหญิงในสยาม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 19 : ฤาดวงใจที่ไหวหวั่นอาจลับหาย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 18 : ความไม่ลงตัวในจิตใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 17 : หวั่นใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 16 : มิอาจทำใจยอมรับ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 15 : สยามกับคนในร่มธงฝรั่งเศสและความสัมพันธ์ที่เริ่มเปลี่ยนไป
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 14 : เรื่องที่ไม่อาจเอ่ย
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 13 : เรื่องดีและร้ายภายในหนึ่งวัน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 12 : สัญญาณที่ดี
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 11 : อิสระทั้งกายใจ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 10 : โอกาสของเด็กหญิง
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 9 : ท่าทีเริ่มดีขึ้น
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 8 : ความเป็นไปของชีวิต
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 7 : ผู้ก่อเหตุ
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 6 : พบกันอีกครา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 5 : ความกังวล
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 4 : บทสนทนา
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 3 : บ้านลานย่านบางขุนพรหม
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 2 : ทุ่งสามเสน
- READ นิราศรักสองนครา บทที่ 1 : สองฝั่งน้ำ
- READ นิราศรักสองนครา : บทนำ