Slow life in Scandinavia 4 : โคเปนเฮเกน เมืองแห่งความล้ำลึกทางอาหาร

Slow life in Scandinavia 4 : โคเปนเฮเกน เมืองแห่งความล้ำลึกทางอาหาร

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

เที่ยวเพลิน เดินทาง คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

วันนี้เป็นอีกหนึ่งประสบการณ์สำคัญในการมาเยือนโคเปนเฮเกนครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่ฉันตั้งใจมาแล้วว่าจะต้อง ‘ทำ’ ให้ได้… คือ การจองมาทาน Fine-Dining ในร้านติดดาวมิชลินอย่าง Geranium (เจอราเนียม) ให้ได้ ได้ยินมานานว่ารสชาติดีและ ‘มอบประสบการณ์น่าประทับใจ’ ตอนแรกก็หวั่นๆ ว่าจะจองได้หรือไม่ เพราะร้านดังแบบนี้มักจะคิวยาว จะเหลือมาถึงคนที่แพลนทริปช้าอย่างฉันได้ไหมหนอ

ต้องเล่าก่อนว่าร้าน Geranium ถือเป็นตัวจริงอันดับต้นๆ ในวงการอาหารระดับโลก เพราะมีเชฟดังระดับโลกอย่าง Rasmus Kofoed คุมครัว และได้รางวัลมิชลิน (Michelin) 3 ดาว ครั้งแรกในเดนมาร์กตั้งแต่ปี 2016 จากนั้นก็ยังไม่หลุดโผจนถึงวันนี้ และยิ่งพอปี 2022 ได้รับโหวตให้เป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกก็ยิ่งทำให้ชื่อเสียงเจอราเนียมขจรขจายยิ่งขึ้นไปอีก

ส่วนใหญ่ร้านพวกนี้จะจองคิวยาก ต้องจองล่วงหน้ากันเป็นเดือนๆ ขณะที่ฉันซึ่งจะเดินทางต้นเดือนมิถุนายนก็มาเริ่มจองเอาตอนกลางเดือนพฤษภาคม ถึงอย่างนั้นก็ถือว่าโชคดีมากๆ เพราะมีโต๊ะว่างในช่วงเวลาที่เลือกไปพอดี โดยช่วงฤดูร้อนทางร้านจะแบ่งเป็น 2 รอบคือรอบเที่ยงกับค่ำ รอบหนึ่งใช้เวลาอย่างต่ำ 3 ชั่วโมง ฉันซึ่งอ่านรายละเอียดเงื่อนไขในเว็บไซต์ร้านตอนจองมาแล้วก็เลยตั้งใจว่า วันที่จะไปทานที่เจอราเนียมนี้ต้องอุทิศทั้งบ่ายให้มื้ออาหารนั้นเลยเพราะท่าทางจะใช้เวลานาน

ช่วงสายของวันนั้นฉันกับพี่เลยเลือกจะไปเดินเล่นที่สวน Fælledparken ซึ่งอยู่ใกล้ตึกร้านเจอราเนียมเลย เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ มีคนมาเดินเล่น มาเตะบอล เล่นกีฬากันครึกครื้น เสน่ห์ของฤดูร้อนในเมืองหนาวก็แบบนี้ อากาศเย็นสบาย มีแดดพอประมาณ สนามหญ้า ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ดอกไม้บานสะพรั่งมองไปทางไหนก็สวยไปหมด เนื่องจากฉันมีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่งที่จะมาทำงานและอยู่เที่ยวต่อในโคเปนเฮเกนสี่วันเพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อเช้าวันนี้เอง จะจองให้ไปทานเจอราเนียมด้วยกันก็ไม่ทันแล้ว เลยนัดให้มาเดินเล่นที่สวนแห่งนี้ด้วยกันก่อน พอพวกเราทานมื้อเที่ยงที่เจอราเนียมคุณเพื่อนก็จะกลับไปนอนงีบเอาแรงและค่อยเจอกันตอนเย็นอีกที

จากสวน Fælledparken เดินข้ามไปนิดก็ถึงร้านเจอราเนียมซึ่งอยู่บนชั้น 8 ของอาคารในสนามฟุตบอล Parken Stadium ในห้องอาหารกรุกระจกกว้างให้เห็นวิวสวน Fælledparken บรรยากาศสบายๆ เหมาะแก่การทานอาหารดีๆ อย่างไม่เร่งรีบพร้อมเสพวิวสวยๆ ไปด้วย

แนวคิดอาหารที่นี่ชัดเจนว่าเป็น New Nordic แบบเรียบง่ายแต่ล้ำลึก เน้นวัตถุดิบจากธรรมชาติในฤดูกาล ส่วนจุดเด่นอีกอย่างคืออาหารทุกจานจะมีแต่ผักผลไม้และอาหารทะเล ไม่มีเนื้อสัตว์อื่น สมกับที่ทางร้านออกตัวแต่แรกว่าเขาเป็น Pescatarian หรือมังสวิรัติปลา (และอาหารทะเล) คือบริโภคอาหารทะเลได้ แต่จะไม่ทานเนื้อไก่ หมู วัวหรือสัตว์ใหญ่อื่น

คอร์สเมนู Signature ของที่นี่จะเรียกชื่อเซ็ทหรือคอลเลคชันว่า ‘Universe’ เปลี่ยนตามฤดูกาล ใช้เวลานาน และมีประมาณ 18-20 คอร์ส ตอนฉันไปเป็นเซต ‘Summer Universe’ หรือจักรวาลฤดูร้อน มี 16 คอร์ส เน้นพืชผักผลไม้ท้องถิ่นตามฤดูกาล รังสรรค์ออกมาเป็นเมนูละเอียด ซับซ้อน และดึงรสชาติวัตถุดิบออกมาได้อย่างน่าอัศจรรย์

อีกสิ่งที่ดีงามสุดๆ คือการจับคู่เครื่องดื่ม (pairing) แบบไม่ใส่แอลกอฮอล์ สำหรับคนไม่ดื่มแอลกอฮอล์อย่างฉันนี่ดีใจมาก ทางร้านแนะนำ Sparlkling Tea หรือชาแบบซ่าสูตรเฉพาะของที่ร้านให้ทานคู่กับอาหาร ชาทั้งหอมทั้งมีรสชาติละเอียดซับซ้อนแบบคิดมาดีมากแล้ว ตัวชาแบบนี้ฉันยังไม่เคยเห็นที่เมืองไทย (อาจจะมีแต่ฉันไม่ทราบ) มันไม่ใช่ทั้งชาหมักคอมบูชะที่มีแอลกอฮอล์และให้ความซ่าสดชื่น แต่เป็นชาปกติที่ผ่านกรรมวิธีให้มีรสซ่า แต่ก็ไม่เหมือนกับทานน้ำอัดลม ยังคงได้รสชาเข้มข้นเย็นสดชื่น

วัตถุดิบที่เป็นส่วนประกอบในคอลเลกชัน Summer Universe จะเป็นพืชผักท้องถิ่นสดใหม่ตามฤดูกาลที่ฉันรู้จักบ้าง อย่างหน่อไม้ฝรั่งขาว และไม่รู้จักบ้าง เช่น สตรอเบอร์รีเขียว ดอกกระเทียมป่า และอะไรต่อมิอะไรอีกหลายอย่าง ระหว่างเบรกที่รอนาน บริกรก็จะพาเดินเยี่ยมชมส่วนอื่นๆ ในร้าน เช่นห้องเก็บไวน์ ห้องครัวจริงซึ่งกรุผนังกระจกรอบด้าน มองเห็นการแข่งขันในสนามฟุตบอลด้านในอาคารอีกต่างหาก เก๋มากๆ

แต่ละคอร์สจะค่อยๆ ทยอยมาเสิร์ฟ ระยะห่างระหว่างเมนูค่อนข้างนาน ทานไปได้สักพักก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าทำไมถึงต้องสามชั่วโมงขึ้นไป ด้วยรสชาติ ความละเมียดละไม และด้วยบรรยากาศผ่อนคลาย ชวนให้ซึมซับในอาหารมากกว่าการกินทั่วไปรวมระยะเวลาการทานทั้งหมดตั้งแต่ 12.00-17.30 น. สิริรวม 5 ชั่วโมงครึ่ง เป็นการทานอาหารที่ยาวนานที่สุดตั้งแต่เคยทานมา แต่อร่อยประทับใจสมราคา สมดาวมิชลิน สมคำร่ำลือทุกประการ

ฉันกะว่ามื้อเย็นคงไม่ต้องทานอะไรแล้วละ

 

Don`t copy text!