น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 10 : วันแห่งพีระมิด (Step Pyramid of Saqqara and The Great Pyramid of Giza)

น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 10 : วันแห่งพีระมิด (Step Pyramid of Saqqara and The Great Pyramid of Giza)

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

ฉันบินกลับไคโรเมื่อสองคืนก่อนก่อน เนื่องจากเที่ยวบินดีเลย์เลยกลับดึก แต่นับว่ายังดีที่อีกวันคุณวิวอนุญาตให้ตื่นสายได้ โปรแกรมหลวม ๆ มีแค่ต้องนั่งรถไกลเกือบสามชั่วโมงไปชมห้องสมุดอเล็กซานเดรียที่เมืองอเล็กซานเดรีย เช้าวันนั้นในไคโรไม่มีแดด อากาศเย็นสบาย ลมหนาวพัดมาแต่เช้าตรู่  ดูอุณหภูมิราวสิบห้าถึงสิบแปดองศาตลอดทั้งวัน ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ยุโรปช่วงฤดูใบไม้ผลิหรือต้นฤดูใบไม้ร่วง คุณวิวบอกว่าที่จริงทริปนี้ของพวกเรา อากาศควรจะต้องเย็นสบายแบบนี้ เนื่องจากเลือกช่วงจัดทัวร์ในช่วงที่อากาศดีเย็นสบายที่สุดของปี ทว่า… บังเอิญที่ช่วงที่ควรจะอากาศดีของพวกเรา ดันเกิดเหตุไม่คาดฝัน มวลคลื่นความร้อนเข้าปะทะอียิปต์พอดี ส่งผลให้ที่ผ่านมาอากาศร้อนกว่าที่ควร

จากอเล็กซานเดรียกลับถึงไคโรก็มืดค่ำ แต่ทันได้เห็นเงาพีระมิดตะคุ่ม ๆ สลัวในความมืดใต้แสงดาว (และแสงไฟเมือง) ฉันตื่นเต้น หัวใจเต้นแรงเหมือนครั้งที่เยือนสุสานตุตันคาเมน เมื่อคุณวิวบอกว่า พรุ่งนี้เราจะได้เข้าใกล้ความเป็นอียิปต์ที่แสนจะอียิปต์สักที… นั่นก็คือ มหาพีระมิดแห่งกิซา (The Great Pyramid of Giza) และพีระมิดขั้นบันไดแห่งซัคคารา (Step Pyramid of Saqqara) นอกจากนี้ยังแนะให้พรุ่งนี้พวกเราแต่งตัวทะมัดทะแมง เพราะต้องเดินลงใต้พีระมิดแห่งหนึ่ง (ที่ไม่ใช่พีระมิดกิซา) และจะต้องขี่อูฐด้วย ไม่แนะนำให้สวมกระโปรง เพราะตอนเดินขึ้นลงบันไดอาจสะดุดชายกระโปรงได้ มิหนำซ้ำ เวลาขี่อูฐต้องถกกระโปรงขึ้น ชายกระโปรงจะกองอยู่ที่สะโพก ถ่ายรูปออกมาจะดูอ้วนพองมาก ฉันซึ่งเตรียมชุดกระโปรงลายพื้นเมืองไว้ก็เลยเหวอเลย ต้องเปลี่ยนแผนไปสวมกางเกงยีนส์ให้ทะมัดทะแมงแทน

และด้วยความที่เมื่อวานอากาศเย็นสบาย ฉันก็เลยแอบหวังว่าวันนี้ที่ต้องลุยพีระมิดสองสามแห่งแถมขี่อูฐกลางทะเลทรายอีกต่างหาก อากาศอียิปต์จะเมตตาปรานีไม่ให้แดดแผดเผาบ้าง เพราะผ่านมาหลายวันนี้ฉันรู้สึกว่าหน้าแสบร้อนไหม้ไปหมดแล้ว

 

ทว่า ผลประกอบการคือ… อากาศเย็นสบายแต่แดดก็แรงจัด แค่ไม่ทำให้ร้อนอบอ้าวเหมือนเตาเผาดังเช่นในลักซอร์เท่านั้น แต่มาถึงตอนนี้เราก็ต้องสู้ท้าแดดละ

คณะพวกเราเริ่มออกเดินทางไปยังเมืองซัคคารา ซึ่งเป็นเมืองโบราณบนฝั่งซ้ายของแม่น้ำไนล์ทางใต้เมืองกิซา และอยู่ไม่ไกลจากไคโรเท่าไร สมัยโบราณที่มีเมืองเมมฟิส (Memphis) เป็นเมืองหลวง เมืองซัคคาราก็คือเมืองที่ตั้งสุสานกษัตริย์และขุนนางทั้งหลายในสมัยอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) ตอนต้น

เราเปิดที่แรกของวันด้วยพีระมิดแห่งแรกของโลก คือพีระมิดขั้นบันไดแห่งเมืองซัคคารา เก่าแก่ยาวนานกว่าห้าพันปี คนมักไม่ค่อยรู้จักพีระมิดขั้นบันไดที่นี่ และแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป็นพีระมิดแห่งแรกของโลก เพราะส่วนใหญ่เมื่อพูดถึงพีระมิด คนจะนึกถึงพีระมิดชื่อดังอย่างกลุ่มมหาพีระมิดแห่งกิซา

ที่นี่มีอีกชื่อว่าพีระมิดแห่งโจเซอร์ สร้างเพื่อฝังพระศพของฟาโรห์โจเซอร์ (Djoser หรือ Zoser) ซึ่งเป็นฟาโรห์องค์แรก และเป็นผู้สร้างพีระมิดแห่งนี้ขึ้น โดยมี อิมโฮเทป (Imhotep) ที่ปรึกษาประจำพระองค์เป็นสถาปนิกออกแบบ ซึ่งการออกแบบของอิมโฮเทปนั้นได้ผ่านการคำนวณวางแผนมาอย่างละเอียด ซับซ้อน และแสดงถึงอัจฉริยภาพและวิทยาการล้ำหน้าของชาวอียิปต์โบราณยุคนั้น

พีระมิดแห่งแรกของโลกแห่งนี้เป็นต้นแบบพีระมิดในยุคหลัง กล่าวคือ จะมีลักษณะเป็นฐานสี่เหลี่ยมซ้อนหลั่นกันไป เรียกว่ามาสตาบา (Mastaba) มีลักษณะเหมือนขั้นบันได  6 ขั้น แต่ละขั้นร่นจากขอบฐานข้างล่าง 6 ฟุตครึ่ง ลดหลั่นกันไปจนเป็นความสูงทั้งหมด 200 ฟุต สร้างจากหลักการความเชื่อว่าเปรียบเสมือนบันไดไปสู่สวรรค์  พีระมิดในยุคต่อ ๆ มาจึงค่อยวิวัฒนาการลบเหลี่ยมลบมุมขั้นบันได โดยให้แต่ละด้านของพีระมิดลาดเอียงลงประมาณ 51 องศา มีความชันน้อยกว่าและไม่ชันเป็นขั้นบันได จนออกมาเป็นพีระมิดที่ไม่เป็นขั้นบันไดอย่างที่เราคุ้นเคยกันทุกวันนี้

ส่วนพีระมิดขั้นบันไดดังกล่าว แม้จะเป็นพีระมิดรุ่นแรก แต่ก็เป็นงานที่ใช้วิทยาการและศาสตร์คำนวณขั้นสูง นอกจากอิมโฮเทปจะใช้โครงสร้างแตกต่างจากที่เก็บพระศพอื่นแล้ว ความอัจฉริยะยังอยู่ที่วัสดุที่นำมาก่อสร้าง แทนที่จะใช้ดินเหนียวแท่งดังที่เคยทำสืบกันมา เขากลับสร้างหินก้อนล้วน โดยสกัดจากหินก้อนใหญ่ออกมาเป็นก้อนในรูปร่างและขนาดเดียวกับดินเหนียวหรืออิฐที่เคยใช้ เป็นต้นแบบการใช้หินในสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะในการสร้างพีระมิดต่อมา

แต่เราจะยังไม่ได้เข้าชมด้านในพีระมิดขั้นบันไดแห่งนี้หรอกนะคะ เหตุเพราะเดินลำบาก อากาศน้อย และต้องใช้กำลังขาที่แข็งแรงพอสมควร เราจึงได้แต่ถ่ายรูปกันด้านหน้า ท้องฟ้าโปร่งสีฟ้าสดเป็นใจ ตัดกับพีระมิดสีทรายให้ภาพที่จับตาจับใจสดใสดีไม่น้อย ยิ่งฉันสวมเสื้อสีแดง ยิ่งตัดกันและขับให้แจ่มใสมากขึ้น ภาพถ่ายที่พีระมิดแห่งนี้เป็นหนึ่งในภาพที่ฉันชอบมากที่สุดในทริปเลยก็ว่าได้

พีระมิดที่เราจะได้เดินลงไปสำรวจเล็กน้อย คือพีระมิดแห่งอูนาส (Pyramid of Unas) ซึ่งเก่าแก่ไม่แพ้พีระมิดขั้นบันได สร้างโดยฟาโรห์อูนาส กษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ที่ 5 ของอาณาจักรเก่า ที่เราได้ลงไปใต้พีระมิดแห่งนี้เพราะไม่ต้องใช้กำลังหนักหน่วงมากเท่าพีระมิดขั้นบันไดหรือพีระมิดอื่น แต่ก็ใช่ว่าจะขึ้นลงสะดวกสบาย ยังคงอากาศน้อย มีฝุ่น และต้องใช้กำลังขาที่แข็งแรง

แต่เหตุผลสำคัญคือที่นี่สุสานแห่งแรกที่เริ่มมีการสลัก­อักขระที่เรียกว่า Pyramid Text ซึ่งเปรียบเหมือนคัมภีร์ที่ใช้เดินทางไปยังโลกหน้า ปรากฏขึ้นเป็นครั้งแรก

แต่ฉันขอสารภาพตามตรงว่า หลังจากเดินสุสานที่หุบเขากษัตริย์หลายหลุม พอมาเจอจิตรกรรมคล้ายกันแต่เก่าแก่กว่า ฉันก็เริ่มตาลายจำไม่ได้ เริ่มแยกไม่ค่อยออกแล้ว จำได้ว่าตัวเองจดไว้ตอนมัคคุเทศก์บรรยายว่าที่นี่สำคัญอย่างไร มีความพิเศษอย่างไรบ้าง แต่พอมาทบทวนเรียบเรียงเขียนอีกที ฉันกลับนึกไม่ออกว่า Pyramid text ที่ว่านั้นหน้าตาเป็นอย่างไร รวมถึงภาพสลักในสุสานแห่งนั้นมีภาพอะไรเด่นเป็นพิเศษบ้าง

ก็พูดกันตามตรงเนอะ ไม่อยากสร้างภาพ

ถัดจากพีระมิดของอูนาสจึงจะเป็นอีกไฮไลต์ของอียิปต์คือกลุ่มมหาพีระมิดแห่งกิซา อันประกอบไปด้วย พีระมิดแห่งคูฟู (Pyramid of Khufu) พีระมิดแห่งคาเฟร (Pyramid of Khafre) และ พีระมิดแห่งเมนคาอูเร (Menkaure) พีระมิดทั้งสามตั้งตระหง่านเรียงกันยิ่งใหญ่กลางผืนทรายเวิ้งว้างกว้างไกล ประกาศศักดาความยิ่งใหญ่เกรียงไกรผ่านกาลเวลามาอย่างน่าอัศจรรย์ และแม้จะได้รับการบรีฟมาว่า พีระมิดแห่งนี้ใหญ่มหึมา สูงลิบลิ่ว และแม้ก้อนหินพีระมิดก้อนเดียวก็สูงท่วมหัวเราเสียแล้ว แต่พอได้มาเห็นของจริงกับตา ฉันก็มิวายอ้าปากค้าง แค่หินก้อนเดียวก็สูงท่วมหัวจริง ๆ ด้วย สถาปัตยกรรมอียิปต์โบราณนี่ทำให้ฉันต้องแหงนสุดคอทุกอย่างไปสิน่า

หลักการความเชื่อของการสร้างพีระมิดมาจากเรื่องความเชื่อเรื่องโลกหน้า หรือโลกหลังความตาย ทำให้ฟาโรห์ต้องสร้างพีระมิดสำหรับเก็บรักษาพระศพและเตรียมความพร้อมเมื่อฟื้นคืนชีพอีกครั้ง จึงต้องสร้างให้เก็บรักษาพระศพไว้ได้อย่างดีและปลอดภัย และบรรจุทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่ต้องการใช้ในโลกหน้า รวมถึงข้าทาสบริวารที่ต้องติดตามไปด้วย การสร้างพีระมิดจึงซับซ้อนซ่อนกล และใช้วิทยาการล้ำหน้าหลากหลายแขนงที่ทำให้คนรุ่นหลังอัศจรรย์ใจในความก้าวหน้าของคนโบราณอย่างมาก และอีกหลายอย่างหลายทฤษฎีก็ยังเป็นปริศนามาจนถึงทุกวันนี้

มหาพีระมิดนี้สร้างขึ้นจากหินปูนทั้งหมด จำนวนมากกว่าสองล้านก้อน น้ำหนักเฉลี่ยก้อนละ 2.5 ตัน จัดเรียงซ้อนขึ้นไป200ชั้น คิดเป็นน้ำหนักร่วมหกล้านตัน ส่วนหินที่ใช้สร้างห้องเก็บพระศพและทำโลงพระศพทำจากหินแกรนิต คิดดูว่าสมัยนั้นไม่มีตัวช่วยใด ๆ แล้วเขาสร้างกันได้อย่างไรหนอ

ส่วนหินแต่ละก้อนนั้นก็ตัดตรงเท่ากันไม่มีผิดเพี้ยนราวกับแกะออกมาจากบล็อกเดียวกัน หรือใช้เลเซอร์ตัดอย่างไรอย่างนั้น นี่คือภูมิปัญญาที่สืบต่อจากอิมโฮเทปจริง ๆ นะหรือ

พวกเราไม่มีเวลามาก จึงได้แต่เดินเล่นถ่ายรูปกับมหาพีระมิดให้ได้มากที่สุด พีระมิดสามเหลี่ยมตัดกับผืนทรายและผืนฟ้าสีสด มีแสงอาทิตย์อ่อน ๆ ระบายอยู่เบื้องหลังชวนให้รู้สึกปลื้มปริ่มดื่มด่ำอย่างยิ่ง วิญญาณนักเขียนในตัวนึกอยากจะเขียนนิยายเกี่ยวกับอียิปต์โบราณขึ้นมาทันที ขอไปคิดพล็อตมาก่อนนะ

พีระมิดทั้งสามนี้ มีพีระมิดคูฟูเป็นพีระมิดที่ใหญ่ที่สุด และยังเก่าแก่ที่สุดกว่า4,500 ปีทีเดียว (อีกนิดจะครึ่งหมื่นแล้ว) พีระมิดแห่งคูฟูจึงเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคโบราณที่ยังหลงเหลืออยู่ ต่อมาอีกสามสิบปี โอรสของฟาโรห์คูฟูคือฟาโรห์คาเฟรก็ได้สร้างพีระมิดของพระองค์ขึ้นคือพีระมิดแห่งคาเฟร ตามด้วยทายาทของพระองค์คือฟาโรห์เมนคาอูเรสร้างพีระมิดแห่งเมนคาอูเรขึ้น พีระมิดทั้งสามรวมกับรูปปั้นสฟิงซ์นั้นรวมเรียกกันว่า “กลุ่มมหาพีระมิดแห่งกิซา”

เมื่อพูดถึงพีระมิดแห่งกิซา จะไม่พูดถึงสฟิงซ์ก็ไม่ได้ และจะไม่ไปชมก็เหมือนมาไม่ถึง เพราะเมื่อพูดถึงอียิปต์ ก็มักจะนึกถึงพีระมิดกิซาคู่กับสฟิงซ์ใหญ่ยักษ์เป็นภาพจำเดียวกัน แต่หากถามว่าสฟิงซ์คืออะไร นิยามคนตอบก็อาจหลากหลายแตกต่างกันไป แต่โดยทั่วไป คำอธิบายของสฟิงซ์คือสิ่งมีชีวิตที่ร่างกายเป็นสิงโต มีศีรษะเป็นมนุษย์ เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ ส่วนสฟิงซ์ที่โด่งดังและมีชื่อเสียงที่สุดคือมหาสฟิงซ์แห่งกิซา (The Great Sphinx of Giza) เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นเพื่อเฝ้าสมบัติภายในพีระมิดและขจัดวิญญาณชั่วร้ายไม่ให้รบกวนพระศพฟาโรห์ โดยมหาสฟิงซ์นี้สร้างอยู่หน้าพีระมิดแห่งคาเฟร จึงเชื่อกันว่าสร้างมาเพื่อพิทักษ์สุสานของฟาโรห์คาเฟรนั่นเอง

แต่… คุณวิวกับไกด์ได้ให้ข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า มีทฤษฎีใหม่ที่หักล้างเรื่องนี้… เรื่องที่มหาสฟิงซ์ตัวนี้สร้างเพื่อพิทักษ์พีระมิดแห่งคาเฟร เพราะถ้าสังเกตดี ๆ นางไม่ได้สร้างตรงตำแหน่งของพีระมิดแห่งคาเฟร ถ้าเพื่อพิทักษ์จริงจะต้องสร้างเป็นแนวตรงกัน แต่มหาสฟิงซ์อยู่เยื้องจากพีระมิดออกมาชัดเจน แต่โดยมากเรามักจะไม่สังเกตกันโดยเฉพาะถ้าเราเดินออกมาไกล ๆ เพื่อถ่ายรูปมุมที่เก็บภาพได้หมดทั้งพีระมิดและสฟิงซ์อย่างที่ยืนอยู่ตรงนี้ ถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นภาพลวงตาว่าสฟิงซ์ตั้งอยู่ระนาบเดียวกับพีระมิดพอดี  ดังนั้นจึงไม่น่ามีไว้เฝ้าสมบัติฟาโรห์ และหากจะว่าไป ก็ยังไม่มีใครฟันธงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่ามหาสฟิงซ์มีไว้พิทักษ์พีระมิดแห่งคาเฟร เป็นเพียงข้อสันนิษฐานเท่านั้น ก็เท่ากับว่าเรื่องนี้ยังคงเป็นปริศนาต่อไป

นี่ละมนตร์เสน่ห์ของอียิปต์

ฉันเชื่อว่าคงมีผู้อ่านบางท่าน อ่านมาถึงตรงนี้แล้วเกิดสงสัยอย่างที่ฉันก็สงสัยตอนมาเยือนแล้วได้ฟังเรื่องปริศนาสฟิงซ์นี้ ว่าเพราะอะไรมหาสฟิงซ์ตัวนี้ถึงพิเศษนัก ไกด์ท้องถิ่นอธิบายว่า เพราะมหาสฟิงซ์แห่งกิซาตัวนี้สร้างด้วยการแกะสลักจากหินก้อนใหญ่ก้อนเดียว ส่วนศีรษะที่เป็นรูปมนุษย์กว้าง 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโตยาวเกิน 240 ฟุต มหาสฟิงซ์แห่งกิซาก็เลยกลายเป็นรูปแกะสลักจากหินก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก

มหาสฟิงซ์แห่งกีซา ทำมาจากการแกะสลักรูปจากก้อนหินเพียงก้อนเดียว ส่วนศีรษะที่เป็นมนุษย์กว้างประมาณ 14 ฟุต และขนาดของตัวที่เป็นสิงโตมีความยาวมากกว่า 240 ฟุต ทำให้มหาสฟิงซ์แห่งกีซา กลายเป็นรูปแกะสลักจากก้อนหินเพียงก้อนเดียวที่ใหญ่ที่สุดในโลก และยังเป็นมหาประติมากรรมที่เก่าแก่ที่สุดในอียิปต์ สร้างร่วมสมัยกับพีระมิดแห่งคาเฟร ซึ่งหมายถึงโบราณนานนมร่วมห้าพันปีตั้งแต่ต้นราชวงศ์ของอาณาจักรเก่าเลยทีเดียว

ว่ากันว่า ประมาณหนึ่งพันปีต่อมาหลังสมัยฟาโรห์คาเฟรที่เจ้าสฟิงซ์นี้สร้างขึ้น นางก็ถูกพายุทรายพัดทับถมจนเหลือเพียงส่วนหัว หลังจากนั้นมาอีกเกือบสองพันปี เจ้าชายทุตโมสซึ่งต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นฟาโรห์ทุตโมสที่ภ (Thutmose IV) แห่งราชวงศ์ที่ 18 ฝันว่ามีเทพเจ้ามาบอกให้เอาทรายที่ทับถมมหาสฟิงซ์ออก หากทำตามนี้จะทำให้ได้เป็นฟาโรห์ผู้ยิ่งใหญ่ มหาสฟิงซ์จึงได้เผยโฉมออกมาเต็มตัวอีกครั้งหลังจากถูกกลบเป็นพัน ๆ ปี

ทว่า หลังรัชสมัยของฟาโรห์ทุตโมสที่ 4 มหาสฟิงซ์ก็ถูกทรายทับถมอีกไปเรื่อย ๆ อีกนานนกว่าจะที่จะได้รับการเอาทรายออกและดูแลรักษาใหม่จนเห็นเต็มตัวให้พวกเราได้ชมเป็นขวัญตาอย่างในปัจจุบัน

ฉันถ่ายรูปกับมหาสฟิงซ์ไม่มาก เพราะคนเยอะมากและเราต้องทำเวลา ไม่อย่างนั้นจะไปขี่อูฐไม่ทันพระอาทิตย์ตกดิน

ใช่ค่ะ โปรแกรมเรายังไม่จบ เรายังไปขี่อูฐท่องทะเลทรายกันต่อค่ะ

ไม่อยากจะคุย นี่เป็นการขี่อูฐล่องทะเลทรายครั้งที่ 3 ของฉัน ครั้งแรกในทะเลทรายธาร์ ประเทศอินเดีย ครั้งที่สองในทะเลทรายซาฮาร่า ประเทศตูนิเซีย และครั้งนี้กลางทะเลทรายแห่งอียิปต์ ฉันจึงไม่ค่อยกลัวหรือเกร็งเท่าไร ขี่ไปสบาย ๆ แต่เพื่อน ๆ ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าดหวาดเสียวกันยกใหญ่ รุ่นพี่คนหนึ่งแซวฉันว่า

“พี่เกร็งแทบตาย หันไปเห็นน้องชิลมาก โปรมากอย่างกับขี่อูฐมาแล้วร้อยชาติ”

สามครั้งค่ะพี่ ไม่ใช่ร้อยชาติ แต่ฉันอาจจะเคยเกิดเป็นชาวอียิปต์ก็ได้นะ

และอย่างที่บอกค่ะ วันนี้แดดแผดเผาไม่แพ้วันไหน ๆ แต่อากาศเย็นสบายจนไม่ร้อนทรมาน แต่ไม่ได้หมายความว่า ผิวจะไม่ไหม้หรอกนะ กลับถึงห้องแสบผิวไปหมดเลย

แต่ฉันมีความสุขมาก อิ่มอกอิ่มใจอย่างบอกไม่ถูก บางครั้งก็รู้สึกเหมือนกำลังฝันไป

ขณะเดียวกันก็คิดนะว่า บางเรื่องให้มันเป็นปริศนาต่อไปก็มีเสน่ห์ดีแล้ว

 

Don`t copy text!