น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 9 : Lost in Valley of The Kings หลงไปในหุบเขากษัตริย์

น้ำไนล์ ทะเลทราย พีระมิด ตอนที่ 9 : Lost in Valley of The Kings หลงไปในหุบเขากษัตริย์

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

วันแห่งอียิปต์แบบตะโกนของฉันยังไม่จบง่าย ๆ มันเป็นวันที่ทั้งร้อน หนักหน่วง เหน็ดเหนื่อย แต่ก็คุ้มค่าทุกนาที ทุกย่างก้าว ชนิดที่ถ้าให้เลือก ฉันก็จะเลือกแบบเดิม ยอมเหนื่อย ยอมร้อน เพราะมันเป็นครั้งหนึ่งในชีวิตกับสิ่งมหัศจรรย์ของโลกตั้งแต่โบราณกาล

หลังจากแวะทานอาหารเที่ยงที่ร้านอาหารอียิปต์ คณะเราก็ลุยโบราณสถานอีกแห่งที่นับเป็นไฮไลต์ของอียิปต์เลยอย่างหุบเขากษัตริย์ หรือ Valley of The Kings แค่ฟังชื่อก็ดูยิ่งใหญ่อลังการแล้ว หุบเขาของกษัตริย์ หรือหุบเขาที่มีแต่กษัตริย์ หรือจะพูดให้ถูกคือ หุบเขา(ฝังพระศพ)ของกษัตริย์นั่นเอง

ใช่ค่ะ ที่นี่เป็นสุสานฝังร่างฟาโรห์นะเอง

เชื่อว่าหลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ก็อาจสงสัย เพราะในความรับรู้ทั่วไป พระศพฟาโรห์มักถูกโยงกับมัมมี่ และพีระมิด แต่อย่างที่ฉันได้เล่าไปในตอนวิหารเมดิเน็ตฮาบู ว่าปกติในสมัยอาณาจักรเก่า (Old Kingdom) และ อาณาจักรกลาง (Middle Kingdom) ฟาโรห์ยังนิยมสร้างพีระมิดกันอยู่ โดยใช้เป็นสุสานหลวงด้วย และมีวิหารประกอบพิธีศพ (Mortuary Temple) อยู่ไม่ไกลกันมาก แต่พอถึงสมัยอาณาจักรใหม่ (New Kingdom) ไม่นิยมสร้างพีระมิดกันแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเก็บพระศพ เพราะในการฝังพระศพก็ต้องบรรจุทรัพย์สมบัติมหาศาลลงไปด้วย ทำให้พีระมิดถูกปล้นเอาทรัพย์สมบัติไปอยู่บ่อย ๆ

การปล้นสุสานหรือปล้นพีระมิดซึ่งเป็นที่ฝังพระศพนั้นมีมานานตั้งแต่เริ่มแรกสร้างพีระมิด และเป็นมาตลอดหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่โบราณนั่นเลย สร้างพีระมิดเสร็จไม่ทันไรก็ถูกปล้นหมด และบางครั้งก็อาจถูกปล้นหลายรอบด้วยซ้ำ เลยเชื่อกันว่าเป็นเหตุให้ต้องจารึกคำสาปไว้แทบทุกที่ไว้ป้องกันโจร แต่สมบัตินั้นล่อตาล่อใจเกินไป โจรใช่ว่าจะกลัวคำสาป ภายหลังในยุคอาณาจักรใหม่ ฟาโรห์จึงเปลี่ยนจากการสร้างพีระมิดเป็นสุสาน มาเป็นการขุดหลุมใต้ดินแล้วกลบทางเข้าแทนเพื่อไม่ให้โจรหรือศัตรูหาเจอได้ จึงเป็นที่มาของหุบเขากษัตริย์ที่ใช้ฝังพระศพฟาโรห์นี้นะเอง

ทว่าปัญหาหลักกลับอยู่ที่แรงงานคนที่ใช้ขุด เนื่องจากการออกแบบขุดหลุมเหล่านี้ต้องวางแผนซับซ้อนเป็นความลับเช่นเดียวกับการสร้างพีระมิด เราจึงเคยได้ยินกันว่า ส่วนใหญ่แรงงานเหล่านี้ สร้างเสร็จก็มักถูกขังหรือฆ่าให้ตายอยู่ในพีระมิดเพื่อปิดปากเก็บความลับไปตลอดกาล หลุมศพในหุบเขากษัตริย์นี้ก็หลักการเดียวกัน ดังนั้น พวกคนงานที่กลัวตาย ระหว่างสร้างก็มักจะทำทางหนีทีไล่ของตัวเองแอบไว้เพื่อเอาตัวรอด แต่เมื่อรอดแล้วบางครั้งก็กลับย้อนเข้ามาขุดเองใหม่เพื่อขโมยทรัพย์สมบัติก็มี จนทำให้มัมมี่ฟาโรห์เสียหายหรือสาบสูญไปหลายพระองค์ น่าเสียดายอยู่ไม่น้อย

รถบัสของพวกเราลงจอดใจกลางความเวิ้งว้างของภูเขาหินอันแห้งแล้งกันดาร ไม่มีต้นไม้ใบหญ้าปรากฏสักต้น พูดง่าย ๆ คือไร้ร่มเงาใด ๆ ให้บังแดดบังร้อนเช่นเดียวกับวิหารฮัตเชปซุตก่อนหน้า ในรถเปิดแอร์เย็นฉ่ำ แต่เพียงแค่ก้าวเท้าลงบันไดรถเท่านั้นละ ไอร้อนก็แผดเข้ามาทุกรูขุมขน แสบผิวทันทีทันใด แล้วเหงื่อก็ไหลซึมข้างขมับลงมาทันที

คุณวิวเดินถือธงสีชมพูบานเย็นไปลิ่ว ๆ แล้ว ฉันก็ได้แต่ปาดเหงื่อแล้วก็กลั้นใจ… ฮึบ ต้องสู้ตายค่ะ

หุบเขากษัตริย์แห่งนี้มีสุสานใต้ดินของฟาโรห์หลายพระองค์ หลุมล่าสุดขุดค้นพบในปี 2005 นี้เอง คุณวิวเล่าว่าด้วยความที่อารยธรรมอียิปต์เก่าแก่ยาวนานมาก การขุดค้นพบมัมมี่ สุสาน โบราณสถานอะไรจึงเป็นเรื่องปกติ และมักมีอัปเดตการขุดค้นพบใหม่ ๆ อยู่เรื่อย ๆ

ส่วนเรื่องที่นี่ พูดให้เข้าใจง่ายก็คือ หุบเขาแห่งกษัตริย์ที่เรามาเยือนนี้เป็นสุสานหรือหลุมศพของกษัตริย์และพระราชวงศ์ในยุคอาณาจักรใหม่ (ตั้งแต่ราชวงศ์ที่18-20 อยู่ราว ๆ 3,500 กว่าปีมาแล้ว) ที่นี่พบหลุมศพถึง 65 ที่ด้วยกัน แต่ละแห่งจะเรียกด้วยรหัสขึ้นต้นด้วยตัวย่อ KV ย่อมาจาก King’s Valley ส่วนหมายเลขมาจากลำดับการค้นพบ ปัจจุบันถ้าฉันฟังมาไม่ผิด มีสุสานที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมได้ 8 แห่ง แต่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกชมได้เพียง 3 จาก 8 แห่งที่อนุญาต นอกจากนั้นจะเป็นหลุมพิเศษอีก 3 แห่ง ที่ต้องซื้อบัตรเข้าชมแยกต่างหาก สุสานหลุมศพฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamun) ผู้โด่งดังก็จัดอยู่ในหนึ่งในสามหลุมพิเศษนั้นด้วย

คณะพวกเราซื้อตั๋วเข้าชมล่วงหน้ามาแล้ว รวมถึงหลุมศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนด้วย ก็มาถึงที่ทั้งทีจะไม่ดูไฮไลต์อย่างตุตันคาเมนได้อย่างไร จริงไหม

พวกเราเริ่มเปิดหลุมแรกกันที่องค์ตุตันคาเมนนี่ละ

แต่ต้องเล่าให้เข้าใจก่อนว่า หุบเขากษัตริย์นี้เป็นการขุดหลุมเป็นสุสาน กินพื้นที่ลึก ทั้งกว้างทั้งแคบคดเคี้ยว ซับซ้อน ต้องเดินขึ้นเดินลงสูงชัน นอกจากขาจะต้องแข็งแรงแล้ว ต้องบริหารระบบหายใจให้ดี เนื่องจากด้านล่างอากาศน้อยมากจนแทบไม่มีเลย อยู่กันได้ไม่นานก็ต้องขึ้นมา อีกข้อที่ต้องรู้คือ การเป็นสุสานคือเป็นที่ฝังศพก็จริง แต่พระศพหรือร่างที่ทำมัมมี่จริง ๆ ของฟาโรห์ไม่อยู่แล้วนะคะ ถูกย้ายไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์หมดแล้ว ดังนั้น การที่เรามาเยี่ยมชมที่นี่คือมาดูความวิจิตร ซับซ้อน และน่าทึ่งของการสร้างสุสานใต้ดินภูมิปัญญาอียิปต์โบราณ ไม่ได้มาเยี่ยมชมมัมมี่ฟาโรห์

เว้นเสียแต่ มีพระศพของฟาโรห์องค์เดียวที่ได้ประทับอยู่ที่นี่ ก็คือ ฟาโรห์ตุตันคาเมนนั่นเอง

ด้วยเหตุนี้ ก็เลยเป็นสุสานที่มีคนเยี่ยมชมมากที่สุด

พวกเราเดินลงบันไดไปลึกพอสมควร หลายคนเริ่มจามฟุดฟิด หลายคนหายใจติดขัด บางคนวิงเวียนศีรษะเพราะอากาศน้อย ทั้งยังมีฝุ่นและกลิ่นอับ ผสานความร้อน แว่วเสียงคุณวิวเล่าเรื่องของตุตันคาเมนอยู่อยู่ไกล ๆ ว่าทรงเป็นฟาโรห์ในราชวงศ์ที่ 18 ขึ้นครองราชย์ตั้งแต่อายุน้อยแค่เพียง 9-10 ขวบเท่านั้น ครองบัลลังก์อยู่เพียงไม่กี่ปี ก็สิ้นพระชนม์ลงในวัย 19 ชันษา สาเหตุที่ฟาโรห์พระองค์นี้โด่งดังเป็นที่รู้จักของคนรุ่นหลังอย่างเรา ๆ ทั้งที่ไม่ได้ประกอบวีรกรรมอะไรมากมายนั้นสืบเนื่องมาจากการค้นพบสุสานของพระองค์นั่นเอง เนื่องจากสุสานอื่น ๆ ไม่ค่อยรอดจากการถูกขุดสำรวจและขโมย โดยมากจะถูกปล้นถูกขุดขโมยสมบัติกันจนพรุน ทว่าสุสานของตุตันคาเมนที่ถูกมองข้ามและถูกค้นพบโดยบังเอิญนั้นกลับมีสภาพสมบูรณ์ไร้การแตะต้องรบกวน แม้เป็นสุสานเล็ก ๆ แต่ก็มีทรัพย์สมบัติมหาศาล ทั้งยังพบมัมมี่พระศพใต้หน้ากากฟาโรห์หนักอึ้ง

ปัจจุบันนี้ทรัพย์สมบัติที่ขุดค้นพบในสุสานของพระองค์ รวมถึงหน้ากากและอะไรต่อมิอะไรถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ไคโรหมดแล้ว เหลือแต่ร่างของพระองค์ที่ยังอยู่ในสุสานแห่งหุบเขากษัตริย์แห่งนี้

พวกเราเดินลงมาถึงด้านล่างในที่สุด และค่อย ๆ เคลื่อนตัวไปตามฝูงชนที่กำลังเลี้ยวเข้าโถงแรกอันมีลักษณะเหมือนถ้ำ ที่ฉันประหลาดใจคือ ร่างมัมมี่พระศพของพระองค์ถูกวางจัดแสดงไว้ในตู้โลงกระจกขนาดเล็กหน้าโถงแรกนั้นเอง… อย่างเรียบง่าย ไม่มีพิธีรีตอง ราวกับจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้สักชิ้นหนึ่ง มิใช่พระศพของฟาโรห์อียิปต์โบราณ

ฉันชะโงกหน้าไปดู ใจเต้นแรง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือร่างเล็กสีดำเมื่อม ผอมแห้งจนติดเป็นเนื้อเดียวกับกระดูก กะโหลกศีรษะ ฟัน โครงใบหน้ายังอยู่ครบ… เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นศพ และก็เป็นครั้งแรกอีกเช่นกันที่ได้เห็นศพที่แห้งสนิทหรือมัมมี่ต่อหน้าต่อตา เป็นร่างมนุษย์ที่ดับชีพแล้ว เหลือแต่เนื้อตัวติดกระดูก สัจธรรมความจริงข้อหนึ่งผุดขึ้นมา

กายสังขารเป็นสิ่งไม่เที่ยงแท้

สุดท้ายเหลือร่างตัวนิดเดียวเท่านั้น

ชวนให้นึกสงสัยว่าเหตุใดจึงมีเพียงร่างของพระองค์ที่ได้อยู่ที่นี่ ขณะที่องค์อื่นได้ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์กันหมด จะทรงว้าเหว่หรือไม่หนอที่ต้องประทับเดียวดายอยู่ที่นี่ผู้เดียว

เดินเข้าไปด้านในจะเห็นรูปสลักวิจิตรตระการตาเต็มผนังถ้ำ สียังสดใสเหลืองสว่างอย่างน่าอัศจรรย์ ไม่น่าเชื่อว่าผ่านกาลเวลามาหลายพันปี ภาพเหล่านี้ยังแทบไม่ชำรุดเสียหายเลือนรางแต่อย่างใด ตลอดสองข้างทางเต็มไปด้วยภาพสลักเล่าเรื่องราวความเชื่อต่าง ๆ มากมาย ชนิดดูอย่างไรก็ละลานตาไปหมด

ถัดจากสุสานตุตันคาเมน เราก็ลงไปใต้ดินที่สุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 3 (Ramses III) ฟาโรห์องค์ที่ฉันเคยเล่าไปแล้วตอนไปชมวิหารเมดิเน็ตฮาบู ที่ทรงขึ้นชื่อเรื่องความโหดเหี้ยม ขณะเดียวกันก็เก่งการทหาร และแผ่ขยายอำนาจอียิปต์ออกไปได้กว้างไกล แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้แก่ศึกภายใน ถูกลอบปลงพระชนม์โดยมเหสีรองและพรรคพวก (ย้อนอ่านได้ในตอนที่ 7) หลุมศพของพระองค์คือสุสานหมายเลข KV11 เดิมเป็นหลุมที่พระบิดาของพระองค์สร้างไว้ แต่พอสร้างไปได้สามห้องดันไปทะลุเจอหลุม KV10 ของฟาโรห์องค์อื่น จึงทิ้งไปสร้างใหม่ แต่พอถึงรัชสมัยของฟาโรห์รามเสสที่ 3 พระองค์กลับเห็นว่าน่าจะใช้การได้และเป็นการประหยัดเวลา จึงมีพระดำริให้ขุดไปอีกทางก็พอ นอกจากนี้หลุมศพของพระองค์ได้ชื่อว่ายาวที่สุดในหุบเขากษัตริย์อีกด้วย

ถัดจาก KV11 พวกเราก็เริ่มสะบักสะบอมจากอากาศน้อยและฝุ่นควันเยอะ แต่ mission ยังไม่จบ เราต้องลงใต้ดินไปที่สุสานของฟาโรห์รามเสสที่ 9 (Ramses IX) ที่เชื่อกันว่าเป็นทายาทสายตรงของรามเสสที่ 3 ตามด้วยหลุมของฟาโรห์รามเสสที่ 4 (Ramses IV) มาถึงตอนนี้ฉันเริ่มเบลอด้วยความร้อน หายใจไม่สะดวก และแพ้ฝุ่นทำให้เริ่มตาลายหน่อย ๆ เริ่มเห็นภาพสลักจิตรกรรมวิจิตรงามตาสีสันสดใส ลวดลายละเอียดลออตลอดผนัง เพดาน จนถึงทั่วโถงทุกหลุมเหมือน ๆ กันไปหมดแล้ว ด้วยความที่ทั้งสวยและน่าทึ่งไปหมดทุกรายละเอียด พอเห็นมาก ๆ เข้าประกอบกับอาการทางกายที่เริ่มล้า ฉันก็เริ่มเดินเป๋ ๆ เซไปมา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิงจนพี่ช่างภาพเรียกมาบอกให้ไปหวีผมเถอะ พี่ถ่ายให้ไม่ได้จริง ๆ

แรง… ฮือ

เพื่อนผู้ใจดีกางร่มให้ในวิหารฮัตเชปซุตได้ยินเข้าก็หัวเราะก๊ากอย่างไม่ไว้หน้า ฉันก็เลยต้องควักมือถือมาจัดทรงผม โพกผ้าเสียใหม่ใจกลางสุสานใต้ดินที่ทั้งร้อนทั้งอับ แต่เพื่อความสวย จะอยู่ตรงไหนก็ต้องสวยค่ะ

แต่ในความตาลาย ส่วนหนึ่งที่ฉันประทับใจและจำได้แม่นในหลุมของฟาโรห์รามเสสที่ 4 ก็คือภาพเทพเกปและเทพีนุตบนโถงเพดานที่สีสันสดใส ที่จำได้เพราะวาดเป็นตำนานเรื่องราวที่เทพีนุตกลืนกินเทพเจ้าราซึ่งเป็นเทพแห่งแสงอาทิตย์ไปเมื่อสิ้นสุดวัน และให้กำเนิดสุริยเทพออกมาอีกครั้งในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น ในภาพบนเพดานนั้นเทพีนุตยืนโค้งหลังเป็นท่าสะพานโค้ง ฉากใช้สีฟ้าเข้มเกือบน้ำเงิน โดยมีรูปดาวหลายแฉกแต่งแต้มบนเพดาน บอกให้รู้ว่าเป็นเวลากลางคืน

พวกเราออกจากหุบเขากษัตริย์เมื่อล่วงเข้าบ่ายแก่ ๆ คุณวิวที่อยากจะให้พวกเราเก็บครบไฮไลต์หลาย ๆ ที่ก่อนที่เราจะบินกลับไคโรกันคืนนี้ ก็เลยพาพวกเราแวะถ่ายรูปกับเมมนอนแบบบรีฟๆ

เมมนอน

เมมนอน (Colossi of Memnon) หรือที่ชื่อภาษาไทยเรียกว่า “ยักษ์ใหญ่แห่งเมมนอน” เป็นอนุสาวรีย์หินสลักลอยตัวคู่ขนาดมหึมา ตัวด้านซ้ายร้างจากหินก้อนเดียว ส่วนตัวด้านขวาสลักจากหินหลายก้อนเรียงต่อกันสูง 18 เมตร เชื่อกันว่ารูปสลักหินคู่นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นตัวแทนและผู้พิทักษ์ห้องเก็บพระศพของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 (Amenhotep III) แห่งราชวงศ์ที่ 18

แต่ก่อนที่ฉันจะสงสัยว่า แล้วไหนละ ห้องเก็บพระศพของฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ไกด์ก็เล่าต่อไปว่าเกิดแผ่นดินไหว น้ำท่วม อะไรต่อมิอะไรมากมาย ทำให้อาคารเก่าแก่ดังกล่าวพังทลายไปหมด เหลือเพียงยักษ์เมมนอนทั้งสองอย่างที่เห็นในปัจจุบัน

เราอยู่กันที่นี่ไม่ถึงสิบนาที ก็ต้องรีบไปสนามบิน ขึ้นเครื่องไปไคโรกันต่อ ถือเป็นวันที่ยาวนานเอามาก ๆ สะบักสะบอมมิใช่น้อย แต่กลับอิ่มอกอิ่มใจเอามาก ๆ นับเป็นวันที่อียิปต์ตะโกนได้ครบเครื่องถึงใจ

ถึงเวลาต้องอำลาลักซอร์เสียแล้ว ไคโรและพีระมิดกำลังรอฉันอยู่

 

Don`t copy text!