Slow life in Scandinavia 2 : โคเปนเฮเกน เมืองแห่งสายฝนและแสงแดด “ฝนตกก็เข้ามิวเซียม”

Slow life in Scandinavia 2 : โคเปนเฮเกน เมืองแห่งสายฝนและแสงแดด “ฝนตกก็เข้ามิวเซียม”

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

เที่ยวเพลิน เดินทาง คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

ฉันไม่น่าพูดเป็นลางไว้เลยว่าพยากรณ์บอกว่าพรุ่งนี้ฝนจะตก เพราะวันรุ่งขึ้นโคเปนเฮเกนต้อนรับเราด้วยฟ้ามืดครึ้มไม่มีแสงแดด และฝนตกจริงแบบจริงจังชนิดที่ไม่สามารถเดินกางร่มได้ จากที่วางแผนจะไปเดินเล่นเก็บบรรยากาศในเมืองและท่าเรือ เลยต้องเปลี่ยนแผนไปเดินพิพิธภัณฑ์แทน

โคเปนเฮเกนมีพิพิธภัณฑ์เยอะและหลากหลายมาก แต่ละแห่งล้วนน่าสนใจจนเลือกไม่ถูก เช่น พิพิธภัณฑ์แห่งความสุข (The Happiness Museum – Lykkemuseet), พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ (SMK-Statens Museum for Kunst), พิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (The National Museum of Denmark -National Museet), Ny Carlsberg Glyptotek, DesignMuseum Denmark แค่นี้ก็เดินกันเพลิน เก็บได้ไม่ครบแน่นอน แต่ในเมื่อต้องเลือก ฉันจึงเลือกจากโลเคชันที่อยู่ในละแวกเดียวกัน จะได้เดินทางสะดวก และเลือกจากความเป็น Must-See หรือที่ต้องมาให้ได้ ก็เลยจิ้มพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (The National Museum of Denmark) และ พิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ (SMK-Statens Museum for Kunst)

ด้วยความที่ฝนตกแบบจริงจัง ความตั้งใจเดิมที่จะอาศัยโลเคชันกลางเมืองเดินเท้าและนั่งรถเมล์ให้คุ้มกับที่ซื้อการ์ดโคเปนเฮเกนมาแล้วไปยังสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ก็เป็นอันยกเลิกไป แล้วใช้เงินแก้ปัญหานั่นคือการใช้แอปเรียกรถ Uber เจอคนขับหน้าทะเล้นอัธยาศัยดี พอรู้ว่าเป็นคนไทย ก็พรั่งพรูความในใจว่า อยากมีภรรยาคนไทยมากๆ เพราะผู้หญิงไทยเอาใจเก่งมาก ผู้ชายเดนมาร์กที่มีภรรยาไทยเป็นผู้ชายที่น่าอิจฉามาก มีความสุขทุกคน ตบท้ายด้วยการบอกฉันว่า “I’m serious. Help me find Thai woman. I’m so ready to marry her.” (ผมจริงจังนะ ช่วยผมหาผู้หญิงไทยหน่อย ผมพร้อมแต่งมาก) พี่สาวฉันก็เลยบอกให้พ่อหนุ่มนี่มาเที่ยวเมืองไทยสิ อยู่ที่นี่จะไปหาได้อย่างไร

คุยกับคนที่นี่ก็ทำให้รู้ว่าเขามองผู้หญิงไทยเป็นคนอ่อนหวาน เอาใจเก่ง จิตใจดี ต่างจากผู้หญิงที่นี่ที่แข็งๆ ไม่ค่อยดูแล… ก็เป็นมุมมองของคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้หมายความว่าคนเดนมาร์กจะคิดอย่างนี้หรือเป็นอย่างที่พูดทั้งหมด

เราเริ่มต้นวันในช่วงสายที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติก่อน ดูภายนอกเหมือนไม่ใหญ่ เข้าไปก็ดูไม่ใหญ่อยู่ดี แต่จริงๆ แล้วกว้างและแตกแขนงไปหลายชั้นซับซ้อนมาก ฉันว่าเขาออกแบบเก่งดีจัง ทำให้ดูเหมือนไม่ใหญ่ ใช้พื้นที่ไม่มาก แต่ที่จริงคือใหญ่โตเดินกันขาลากทีเดียว

ที่นี่รวมทุกอย่างตั้งแต่ยุคไวกิ้งจนถึงวัฒนธรรมสมัยใหม่ ไฮไลต์คือรถศพยุคสำริด (Sun Chariot) อายุเกือบ 3,000 ปี และโบราณวัตถุไวกิ้งจริงๆ ใครอยากเข้าใจเดนมาร์กแบบภาพรวมควรมาที่นี่ให้ได้ พี่สาวฉันตั้งใจให้ลูกชายเดินชมโซนวัฒนธรรมไวกิ้งมากๆ แล้วให้กลับมาเขียนรายงานด้วย พวกเราจึงใช้เวลาในแถบนี้ค่อนข้างนาน ก่อนที่ฉันจะขอตัวไปชมโซนบ้านตุ๊กตา (Doll House) ซึ่งเป็นหนึ่งในไฮไลต์ของที่นี่ตามความชอบของฉัน ฉันจึงใช้เวลากับโซนนี้นานเป็นพิเศษจนลืมความเมื่อยไปเลย

พวกเราออกจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติราวเกือบบ่ายสาม หิวข้าวมากจนฝากท้องร้านใกล้ๆ แล้วรีบไปพิพิธภัณฑ์ศิลปะแห่งชาติ หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า Kunst หรือ SMK ที่ SMK นี้คือที่เก็บงานศิลปะที่ใหญ่ที่สุดในเดนมาร์ก ไฮไลต์คือภาพวาดของศิลปินเดนมาร์กยุคทอง และงานจากศิลปินระดับโลกอย่าง Rubens, Matîsse, Picasso เหมาะกับสายอาร์ตเต็มๆ

ด้วยความที่มีเวลาน้อย พิพิธภัณฑ์ใกล้จะปิดเต็มที ฉันจึงรีบพุ่งตรงไปที่โซน French Art เพื่อชมผลงานไฮไลต์สำคัญของ Henri Matîsse (อองรี มาติสส์) โดยเฉพาะภาพที่ชื่อว่า The Green Line

 

The Green Line

‘The Green Line’ มีชื่อเต็มว่า ‘Portrait of Madame Matisse. The Green Line’ บางที่ก็เรียก The Green Stripe วาดขึ้นในปี 1905 เป็นภาพเหมือนของ อเมลี มาติสส์ ภรรยาของศิลปิน จุดที่โดดเด่นคือเส้นสีเขียวพาดกลางใบหน้าซึ่งไม่ใช่การเขียนตามจริง แต่เป็นการใช้ ‘สี’ เพื่อสร้างอารมณ์และโครงสร้างภาพ สีเขียวที่แบ่งใบหน้าออกครึ่งหนึ่งทำหน้าที่เหมือนเงา แต่กลับให้ความรู้สึกแปลกใหม่ และในขณะเดียวกัน สีรอบๆ ก็สดแรงตัดกันอย่างรุนแรง ทั้งส้ม แดง ม่วง น้ำเงิน

แนวทางนี้เรียกว่า Fauvism (โฟวิสม์) หรือ ‘ศิลปะป่าเถื่อน’ ที่มาติสส์และเพื่อนๆ อย่าง André Derain (อองเดร เดอแรง) เป็นผู้บุกเบิก จุดเด่นคือการใช้สีสดแรงๆ ตัดกันอย่างอิสระ โดยไม่สนกฎเกณฑ์แบบศิลปะเหมือนจริง แต่ต้องการแสดง ‘ความรู้สึก’ ของศิลปินแทน

‘The Green Line’ ถือว่าเป็นผลงานที่ทำให้มาติสส์ก้าวขึ้นมาโดดเด่นในวงการ และเป็นงานที่สั่นสะเทือนโลกศิลปะในยุคนั้น เพราะมันฉีกขนบการวาดภาพเหมือนแบบเดิมๆ ไปอย่างสิ้นเชิง ปัจจุบันจึงกลายเป็นหนึ่งในสมบัติสำคัญที่ทำให้ SMK เป็นจุดหมายที่คนรักศิลปะต้องมาเยี่ยมชมให้ได้สักครั้ง

ภาพของศิลปินท่านอื่นในโซนนี้ก็สวยและมีเอกลักษณ์โดดเด่นสะดุดตาไม่แพ้กัน เผลอๆ ฉันออกจะชอบและเข้าใจมากกว่าภาพ ‘The Green Line’ เสียด้วยซ้ำ

เสียดายที่มีเวลาจำกัดเลยไม่ทันได้ไปโซนอื่นที่มีผลงานขึ้นชื่อของศิลปินอื่นเพราะพิพิธภัณฑ์กำลังจะปิดแล้ว มีหลายชิ้นที่ฉันอยากชมมาก ถ้าเพื่อนๆ คนไหนไปเที่ยวโคเปนเฮเกน เผื่อเวลาเดินที่นี่ไว้เยอะๆ นะคะ และชมผลงานเผื่อฉันด้วย

นอกจาก The Green Line ของ Matîsse มีผลงานเด่นๆ ของศิลปินอื่นที่น่าชม (แต่ฉันไปชมไม่ทัน) ดังนี้

  • Andrea Mantegna – ภาพ Christ as the Suffering Redeemer เป็นผลงานสไตล์อิตาเลียนเรอเนซองส์ชิ้นสำคัญ แสดงพระคริสต์ในมุมที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่เปี่ยมด้วยความสง่างาม เป็นงานที่หาได้ยากในสแกนดิเนเวีย
  • Rembrandt – ภาพ Portrait of a Young Man หนึ่งในภาพเหมือนที่โด่งดังของเรมบรันด์ จับอารมณ์ได้ลึกและเต็มไปด้วยแสงเงาแบบ ‘Dutch Golden Age’ ว่ากันว่าเวลาไปดูใกล้ๆ จะเห็นรายละเอียดแสงส่องใบหน้าที่เหมือนมีชีวิต
  • Kristian Zahrtmann – ภาพ Socrates and Alcibiades ผลงานศิลปินเดนมาร์กที่ตีความตำนานกรีก ถ่ายทอดความสัมพันธ์เชิงอารมณ์และปัญญา ได้แรงบันดาลใจจากแนวคิดเสรีและการตั้งคำถามต่อสังคม
  • Vilhelm Hammershøi – ภาพ Interior with Young Woman from Behind เป็นหนึ่งในภาพ minimalist คลาสสิกของเดนมาร์ก บรรยากาศเงียบ สงบ และว่างเปล่า แต่ชวนขบคิด

เรียกได้ว่าวันนี้ทั้งวันของเราสามคนอยู่กันในพิพิธภัณฑ์แบบเต็มอิ่มจุใจ แม้กระทั่งตอนเรากลับกันมาแล้วฝนก็ยังตกอยู่ดี

Don`t copy text!