ฤดูร้อนกลางทะเลทรายสีขาว : มุยเน่

ฤดูร้อนกลางทะเลทรายสีขาว : มุยเน่

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

ครั้งก่อนฉันเล่าถึงความร้อนในการเดินทาง หรือเรียกให้ถูกว่าการเดินทางท่องเที่ยวในหน้าร้อน ที่แม้จะทรมาน แต่เส้นทางที่พบและประสบการณ์ที่ได้รับก็ช่างคุ้มค่า

แต่ฉันกับอากาศร้อนเป็นของไม่ถูกกันมาแต่ไหนแต่ไร เลือกได้ก็ไม่อยากไปเที่ยวฤดูร้อน ถึงอย่างนั้นก็ทำได้ไม่ทุกครั้ง เพราะหากให้จำกัดตัวเองไว้ด้วยอากาศอย่างเดียวก็น่าเสียดาย

ดังนั้นถึงฉันจะบ่นร้อนแทบตาย แต่ก็เหมือนคนไม่เข็ด เพราะบางทีก็ไปเที่ยวร้อน ๆ อีกแล้ว

อย่างเช่น ท่องทะเลทรายในฤดูร้อนอบอ้าวของประเทศเวียดนาม ที่อากาศก็พอ ๆ กับบ้านเราโดยเฉลี่ย

ปกติเมื่อพูดถึงเวียดนาม คนก็มักนึกถึงซาปา ดานัง ฮอยอัน ซึ่งเป็นเมืองอากาศเย็นสบายทางตอนเหนือของประเทศ แต่ที่จริงเวียดนามมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศแตกต่างหลากหลาย ทั้งภูเขาสูง ชายฝั่งทะเล รวมไปถึงทะเลทราย

เวียดนามมีทะเลทราย… เรียกว่าครบครัน

ในเมื่อประเทศเพื่อนบ้านเรามีทะเลทราย ไม่ต้องบินไปไกลถึงแอฟริกาหรือตะวันออกกลาง ก็อยากขอลองสัมผัสประสบการณ์สักครั้ง ว่ากันว่าแสงแรกพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบทรายของทะเลทรายมุยเน่สวยสะกดใจไม่แพ้ที่ไหนเลย

ทะเลทรายของเวียดนามที่ขึ้นชื่ออยู่ที่เมืองมุยเน่ หรือเรียกกันติดปากว่าทะเลทราย(แห่งเมือง)มุยเน่ มุยเน่ เป็นเมืองทางชายฝั่งทะเลใน จังหวัดบิ่ญถ่วนทางภาคกลางตอนใต้จากเวียดนาม หากจากโฮจิมินห์ประมาณ 5-6 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นเมืองที่มีธรรมชาติหลากหลาย ทั้งชายฝั่งทะเล แกรนด์แคนยอน และทะเลทราย มุยเน่จึงกลายเป็นเมืองพักตากอากาศยอดนิยมสำหรับชาวเวียดนามและชาวต่างชาติ

ส่วนทะเลทรายมุยเน่นั้น มีทะเลทราย 2 สี เรียกตามสีของทรายที่แตกต่างกันคือสีขาวและสีแดง ทะเลทรายแดงเกิดจากสนิมเหล็กทำให้ทรายเป็นสีแดง ส่วนทะเลทรายขาวที่อยู่ไม่ไกลกันมาก มีสีขาวนวล ความพิเศษของทะเลทรายขาวนั้นคือสีจะเปลี่ยนไปตามช่วงเวลาของวัน ยามรุ่งเช้าตอนพระอาทิตย์ขึ้นมองเห็นทะเลทรายเป็นสีทองอร่ามทั้งผืนสุดลูกหูลูกตา ยามสายก็เห็นเป็นสีขาว ตอนเย็นพอตะวันจะลับฟ้า แสงตะวันก็จะฉาบย้อมทะเลทรายทั้งผืนอีกครั้ง ทั้งยังมีบึงน้ำจืดเหมือนโอเอซิสขนาดใหญ่อยู่กลางทะเลทรายอีกต่างหาก

ฉันจะไปเยือนทะเลทรายขาวแห่งนี้นี่ละ จะไปชมพระอาทิตย์ขึ้นช่วงเช้า จะได้ไม่ร้อนเกินไป ฉันคงสู้แดดทะเลทรายยามสายไม่ไหว พวกเราสี่คนดีลกับทัวร์ท้องถิ่นไว้สำหรับการพาเข้าทะเลทราย โดยบริษัททัวร์จะส่งคนขับรถจี๊ปมารับคณะเราที่โรงแรมตอน 4.30 น. เพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้น

นั่นหมายความว่าฉันต้องตื่นตีสามครึ่ง หรือจะว่าไปก็เกือบสี่ เพราะตัดขั้นตอนแต่งหน้าทำผม เหลือแค่ล้างหน้าแปรงฟัน ทาครีมกันแดด (สำคัญมากลืมไม่ได้) กะว่าเวลาถ่ายรูปก็ใส่แว่นกันแดดอยู่แล้ว ปากก็ทาลิปเอา ผมไม่ต้องทำเพราะรวบมัดและใส่หมวก ไม่ต้องแต่งอะไรเยอะ

นั่งรถจี๊ปไปราวสี่สิบนาที คนขับชื่อคิมก็ให้บัตรเข้าทะเลทรายกับพวกเรา จากตรงนี้ต้องเปลี่ยนเป็นรถ ATV (1)  เพื่อเข้าเขตทะเลทราย คิมจะไม่ได้เข้าไปด้วยแต่จะไปรอรับเราทรงทะเลสาบเพื่อจะถ่ายรูปให้ตอนหกโมงเช้า พื้นที่ตรงทะเลสาบตัดทะเลทรายก็เป็นอีกไฮไลต์สำคัญที่คนต้องมาถ่ายรูป

เราสี่คนแบ่งไปนั่งรถ ATV คันละสองคน นั่งหัวสั่นหัวคลอนไปจนถึงเขตเนินทรายที่ซ้อนกันเหมือนคลื่นเป็นชั้น ๆ เอาเข้าจริงการเดินบนทะเลทรายที่พื้นไม่เรียบ มีทั้งทางลาด ทางชัน เป็นคลื่นเป็นเนินนั้นไม่ง่าย ผืนทรายทั้งละเอียดและหนาแน่นมาก หากทรงตัวไม่ดี จะล้มจมกองทรายไปได้ง่าย ๆ

เมื่อพระอาทิตย์กำลังจะขึ้น นักท่องเที่ยวจำนวนมหาศาลก็พร้อมใจกันหยุดให้ดื่มด่ำกับโมงยามแห่งความประทับใจ อาทิตย์ดวงโตสีส้มทองค่อย ๆ โผล่พ้นเนินทรายมาทีละน้อย ๆ ฉันพยายามถ่ายภาพเท่าไรก็ไม่สวยเหมือนภาพที่เห็น มิหนำซ้ำยังถูกนักท่องเที่ยวเบียดแทรกไปมาจนไม่ได้ภาพที่ต้องการ ก็เลยถอดใจ หยุดถ่าย แต่หันไปซึมซับภาพผืนฟ้าทีสว่างขึ้นเรื่อย ๆ ตัดกับสีทรายขาวที่ค่อย ๆ ถูกย้อมเป็นสีส้มทองทีละน้อย เมื่อฟ้าเริ่มสว่าง ก็เลยค่อยเดินเล่นเก็บบรรยากาศไปเรื่อย ๆ

อากาศทะเลทรายยามเช้าตรู่ ห่างไกลจากคำว่าเย็นสบาย ค่อนไปทางร้อนอบอ้าวเสียด้วยซ้ำ แดดอ่อน ๆ เริ่มแผดแรงขึ้นทีละนิด ประกอบกับทรายมีแรงดูดยวบ ทำให้ต้องใช้แรงและสติในการเดินทรงตัวค่อนข้างมาก

และฉันก็เรียกได้ว่า “หาทำ” หน่อย ๆ เพราะตั้งใจเอาเสื้อกันฝนสีส้มสดมาถ่ายในทะเลทรายด้วย ก็เลยจำใจสวมทับเพราะเตรียมมาแล้ว ผลคือได้ภาพสวยมากสมความตั้งใจ แต่แลกมากับความร้อนระอุชนิดที่หายใจแทบไม่ออก เพราะผ้าของเสื้อกันฝนเป็นผ้าหนากันลมกันฝน จึงไม่ระบายอากาศ ความร้อนทั้งหมดเลยอบอยู่ในตัว

ทนได้ไม่เท่าไรฉันก็รีบถอดออกทันที อดทนเพื่อความสวยได้แค่ไม่เกินสิบนาทีเท่านั้น

จากนั้นพวกเราก็ต้องกลับด้วยรถ ATV ซึ่งขากลับนี้เราเลือกรถคันไหนก็ได้เพียงแค่แสดงบัตรที่ได้มาตอนแรก รถจะพาพวกเราไปจอดตรงโซนทะเลสาบที่นัดคิมไว้ แต่สงสัยพวกเราจะไปถึงช้ากว่าหกโมง มองหาคนขับคิมไม่เจอก็เลยถ่ายรูปกันเอง จากนั้นกลับไปที่จุดนัดพบก็ปรากฏว่าเจอคิม เขาบอกมารอตั้งนานแล้ว แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้ว ก็เลยจะพาพวกเราไปถ่ายรูปที่อื่นแทน แต่จะได้บรรยากาศทะเลทรายอยู่ข้างหลัง จะได้บรรยากาศไปอีกแบบ

ฉันถ่ายได้พักหนึ่งก็เริ่มไม่ไหวแล้ว เพราะนอนดึก ตื่นเช้า ทั้งง่วง ทั้งร้อน แดดก็แผดแรงขึ้นเรื่อย ๆ

ฉันหมดอารมณ์ถ่ายรูปและเริ่มงอแง เข้าไปหลบในรถแล้วก็บอกตัวเองว่า พอแล้ว… ต่อไปนี้จะไม่มาเที่ยวร้อน ๆ อีกแล้ว ทรมาน

แต่พอได้เปิดแอร์ให้ความเย็นทำงาน อารมณ์ก็เย็นลงหน่อย ฉันก็ขำตัวเองที่ก็พูดอย่างนี้ทุกที แต่เอาเป็นว่า สิ่งหนึ่งที่ตอบตัวเองได้คือ เที่ยวร้อน ๆ ก็สามารถดื่มด่ำบรรยากาศได้ แค่อย่าอยู่นานเท่านั้นเอง มิเช่นนั้นแล้ว จากความสวยงามประทับใจ จะกลายเป็นประสบการณ์แย่ๆ ได้

ถึงฉันจะขี้บ่นเรื่องแดดและความร้อน แต่สุดท้ายฉันก็เลือกเดินทางอยู่ดี เพราะได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น รู้สึกอย่างที่ไม่เคยรู้สึก ทำในสิ่งที่อาจจะไม่เคยทำ

อากาศร้อนละลายที่หุบเขาทาคาชิโฮะกับทะเลทรายขาวมุยเน่ ก็ร้อนไม่เหมือนกันอยู่ดี

แปลง่ายๆ ว่า ฉันก็คงไม่เข็ดอยู่ดี

 

เชิงอรรถ : 

(1) เอทีวี (ATV ย่อจาก all-terrain vehicle) หรือ ควอดไบค์ เป็นรถที่มีเครื่องมอเตอร์ไซค์ออกแบบมาให้มีขนาดเล็ก และมีสี่ล้อสำหรับใช้ในทางวิบาก ที่นั่งมีลักษณะที่ต้องถ่างขาหรือขึ้นคร่อมเวลาใช้งานโดยผู้ขับขี่

Don`t copy text!