แสงสุดท้ายที่ตาพรหม “ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร”

แสงสุดท้ายที่ตาพรหม “ปราสาทรากไม้ลึกลับกลางพงไพร”

โดย : พิมพ์อักษรา

Loading

คอลัมน์ที่บอกเล่าเรื่องราว อารมณ์ ความรู้สึก ประสบการณ์ และเกร็ดความรู้ประวัติศาสตร์บ้าง ไม่ประวัติศาสตร์บ้าง วิถีชีวิตของผู้คนในแต่ละเมือง แต่ละดินแดนที่ได้ประสบพบเจอ เสมือนให้ผู้อ่านได้ท่องเที่ยวดื่มด่ำไปด้วยกัน ผ่อนคลายจากวันที่เหนื่อยล้า เปิดโลก เปิดตา และเปิดใจ และที่สำคัญคือเพลิดเพลิน เหมือนชื่อของผู้เขียนนั่นเอง

พวกเราสามคน ฉัน พี่สาว และคุณป้ามาเที่ยวกัมพูชาในหน้าฝน ฝนตกปรอย ๆ จนไปถึงฟ้ารั่วถล่มทลายเกิดขึ้นรายชั่วโมง ปัญหาติดฝนจนโปรแกรมล่าช้าคลาดเคลื่อนจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เกือบทุกโบราณสถานที่พวกเราไปมาทั้งวันล้วนอยู่กลางแจ้ง ทำให้ต้องคอยหลบฝนครั้งละนาน ๆ เนื้อตัวเปียกปอนจนแห้ง แห้งจนเปียกแล้วกลับแห้งใหม่จนหมดวัน

นั่นทำให้พวกเราสามคนมาถึงโบราณสถานสุดท้ายของวันคือปราสาทตาพรหมในเวลาพลบค่ำ จำได้ว่าดูนาฬิกาข้อมือ บอกเวลาว่าอีกครึ่งชั่วโมงจะหกโมงเย็น

ละอองฝนโปรยปรายอยู่หน่อย ๆ นักท่องเที่ยวเริ่มบางตา จากจุดจอดรถจนถึงปราสาทต้องเดินกันพอสมควรแต่ทั้งสามคนก็สู้ตาย ตื่นเต้นหน่อย ๆ ที่จะได้เห็นปราสาทโบราณชื่อดังของกัมพูชา

อันที่จริงพวกเรามาด้วยความรู้แค่ว่าเป็นสถานที่ถ่ายภาพยนตร์ Tomb Raider และมีรากไม้ใหญ่ยักษ์ในตำนานเป็นจุดสำคัญที่ทุกคนต้องมาถ่ายรูป ส่วนตัวฉันทราบแค่นี้ และไม่ได้ตื่นเต้นว่าอยากจะมาเห็นสถานที่ถ่ายทำ แต่อยากเห็นลวดลายศิลปะและรากไม้ชอนไชเลื้อยพันปราสาทมากกว่า

ภาพที่เห็นกลับยิ่งทำให้ฉันประทับใจกว่าที่คาดหวังไว้หลายเท่า อาจเพราะเป็นเวลาเย็นใกล้ปิดแล้ว ไม่มีนักท่องเที่ยวจอแจพลุกพล่าน หรืออาจเพราะตาพรหมอยู่ลึกจากถนนเข้ามามาก เลยดูคล้ายเสมือนกำลังมาเยือนปราสาทหรือเทวาลัยลึกลับกลางพงไพรอย่างไรอย่างนั้น

แต่ใช่ว่าเข้ามาแล้วจะเห็นตัวปราสาทเลย ต้องผ่านประตู ระเบียงคดเข้าไปอีกหลายชั้นตามลักษณะวังโบราณ ดังนั้น สิ่งที่ตั้งตระหง่านตรงหน้าเราเป็นภาพแรกในความทรงจำของตาพรหม คือแนวอาคารหินสร้างแผ่เป็นแนวกว้างเหมือนระเบียงคดเป็นด่านแรก ปกคลุมด้วยตะไคร่สีเขียวสด มีต้นไม้ใหญ่เขียวครึ้มสูงชะลูดแผ่กิ่งก้านใบให้ร่มเงาแผ่ปกไปทั่ว ชวนให้นึกถึงต้นไม้ในป่าดึกดำบรรพ์อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อผ่านด้านอาคารระเบียงชั้นนอกเข้ามา จะพบต้นไม้ต้นหนึ่งที่มีลำต้นเดี่ยวสูงชะลูดกว่าเพื่อน มีกิ่งใบอยู่แค่ปลายยอด จึงเห็นแต่ลำต้นที่มีโพรงสามเหลี่ยมด้านล่างเหมือนปล่องไฟไม่มีผิด เป็นมุมสำคัญที่น่าเก็บภาพไว้มาก ๆ เหลียวมองไปรอบ ๆ ก็ให้ความรู้สึกอยู่ในป่าดึกดำบรรพ์จริง ๆ

หินที่กองซ้อนทับเป็นชั้น ๆ ตามทางนั้นว่ากันว่าเกิดจากการตัดต้นไม้และรากไม้ ทำให้ปราสาทถล่มลงมากองอย่างที่เห็น เราสามคนค่อย ๆ เดินสำรวจไปเรื่อย ๆ เห็นกลุ่มอาคารปราสาทโบราณที่สร้างในแนวกว้างไปตลอดทางซึ่งล้วนถูกตะไคร่จับแน่นไปแทบทุกอณูราวกับถูกทาด้วยสีเขียว

เราจะเริ่มเห็นต้นไม้โบราณที่ผุดแทรกขึ้นเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของปราสาทหิน ลำต้นและรากใหญ่มหึมาโอบเกี่ยวละม้ายงูเลื้อยพันปราสาทศิลา หากก็เหมือนเป็นส่วนเกิน เพราะลำต้นใหญ่ที่เติบโตกับรากแข็งแรงจำนวนมากได้ดันอาคารบางส่วนที่ก็แข็งแรงมากแล้วให้ปริแยกออกจากกัน

นั่นละรากไม้คลุมวังศิลาในตำนาน

มองจากมุมไกล จะเห็นเป็นภาพเหมือนอสุรกายตัวสูงใหญ่กำลังแผ่กางอุ้งเท้าและกงเล็บของมันจิกยึดปราสาทศิลาเอาไว้เหนียวแน่น

เหมือนอ้อมกอดมัจจุราช ทั้งน่ากลัวและน่าเกรงขาม ขณะเดียวกันก็น่าทึ่งมาก

ฉันทำการบ้านเกี่ยวกับปราสาทตาพรหมมาเล็กน้อย จึงพออธิบายให้ลูกทัวร์จำเป็นอีกสองคนได้นิดหน่อย เมื่อเห็นของจริงเราจึงดื่มด่ำกันได้มากเป็นพิเศษ

ปราสาทตาพรหม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1729 โดยสร้างตามคติพุทธมหายาน เป็นศิลปะแบบบายน ตัวปราสาทกว้างใหญ่และกินพื้นที่มาก สมัยโบราณมีลักษณะประหนึ่งเมืองย่อม ๆ ตาพรหมโด่งดังจากเจ้ารากไม้ใหญ่ยักษ์ที่ขึ้นชอนไชโอบล้อมปราสาทไว้ กัมพูชาอยู่ในเขตร้อนชื้นมรสุม เมื่อปราสาทถูกทิ้งร้างนาน ก็เป็นโอกาสให้วัชพืชหรือต้นไม้เข้าปกคลุม เมื่อมันเติบโตขึ้น รากไม้ก็จะดันหินขึ้นจากตำแหน่งเดิม

นอกจากนี้การที่ต้นไม้จะเติบโตจนถึงชอนไชปกคลุมปราสาทได้ ส่วนหนึ่งเพราะนกนำพาเมล็ดของพืชไปยังปราสาทหินร้างต่าง ๆ พอมาเกาะพักตามหลังคาปราสาท หรือกำแพง ถ่ายมูลไว้ เมล็ดก็จะงอก ทะลุทะลวงลงไปตามรอยต่อ หรือ งอกงามปิดห้อมล้อมคลุมสิ่งก่อสร้างส่วนนั้น เมื่อต้นไม้ค่อย ๆ เติบโต รากหนาใหญ่ขึ้น หินก็ถูกดันให้เคลื่อนออกจากจุดเดิม หรือเมื่อต้นไม้ตาย รากก็จะเน่า หินไม่มีอะไรยึด ก็พังทลายลง

เนื่องจากเรามาถึงช่วงเย็นใกล้ปิด ฝนเพิ่งหยุดตก คนจึงเริ่มซาลง  มีนักท่องเที่ยวอินเดียกลุ่มเดียวมารอต่อคิวพวกเราถ่ายกับรากไม้กรงเล็บปีศาจที่เป็นมุมมหาชน พอถ่ายเสร็จพวกเขาก็กลับไปเลย

หลือแค่พวกเราสามคนในปราสาทตาพรหม 

อีกแล้ว… ไปเมืองโบราณที่ไหนก็ชอบเหลืออยู่กลุ่มสุดท้าย

แต่ฉันก็ยังทำซ่า พูดว่า “ดีเสียอีก ไม่มีคน จะถ่ายมุมไหนกับปราสาทและรากไม้ก็ได้”

ถึงตอนนี้ทั้งปราสาทเงียบ ไม่มีคนเหลืออยู่นอกจากพวกเรา บรรยากาศเริ่มวังเวง สักพักเริ่มมีเสียงสัตว์ป่ากู่ร้อง น่าจะเป็นเสียงพวกลิงค่างกับนกกลางคืน เหมือนอยู่ในแดนสนธยา นึกสภาพว่าพวกเราสามสาวยืนเด๋อด๋าอยู่กลางปราสาทหินอายุร่วมพันปี มีแต่เสียงสัตว์และเสียงหยดน้ำเป็นเพื่อน รอบด้านเป็นปราสาทหินตั้งตระหง่านที่มีแต่ตะไคร่น้ำเกาะเต็มกับรากไม้ใหญ่ยักษ์แผ่คลุมทั้งปราสาทดูข่มขวัญ

คุณป้าเริ่มกลัว สะกิดให้กลับท่าเดียว “หนูๆ ไม่มีใครแล้ว เรากลับกันเถอะ”

แต่ฉันกลับกำลังตื่นเต้นและตื้นตันที่มีโอกาสดื่มด่ำกับปราสาทโบราณโดยไม่มีนักท่องเที่ยวรุมล้อม ไม่มีเสียงเอะอะโวยวาย มีแต่เสียงธรรมชาติ โอบล้อมด้วยความยิ่งใหญ่ของโบราณสถานแห่งนี้จนไม่นึกกลัว พอไม่มีคนเยอะ ทำให้ได้พิจารณารายละเอียดในปราสาทได้ถ้วนถี่ เลยนึกถึงคำที่เคยอ่านมาว่า คนมัวแต่โฟกัสรากไม้จนละเลยรายละเอียดศิลปะในปราสาทตาพรหมไปอย่างน่าเสียดายทั้งที่หินทุกก้อนจารึกเรื่องราวอันยาวนาน

ความเงียบวังเวงเข้าครอบงำอีกครั้งจนคุณป้าทนไม่ไหว ฉันก็เลยจำใจกลับ ก็ไม่มีนักท่องเที่ยวเหลืออยู่แล้วนี่นะ แล้วด้วยความที่เหมือนแดนสนธยาอย่างนี้ทำให้ต่อให้ไม่กลัวก็ต้องหวั่นใจบ้าง

ขากลับก็หันไปมองปราสาทน้อยในแสงสลัวยามเย็นอีกหน นึกในใจว่าแล้วตาพรหมก็กลับคืนสู่ความสงบอีกครั้ง สรรพสิ่งได้พักผ่อนกลับสู่ความเงียบงัน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะต้องต้อนรับคลื่นมหาชนที่แห่แหนมาจากทุกสารทิศเพื่อชมความยิ่งใหญ่ยาวนานนี้

แล้ววันหนึ่งฉันจะกลับมาใหม่นะ ตาพรหม

 

Don`t copy text!