เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1

เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1

โดย : ภัทรภร

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

นอกจากอำเภอสังขละบุรีแล้ว ที่อีกแห่งที่ฉันไปทีไร ก็เจอแต่เรื่องประหลาดตลอดก็คือที่อำเภอทองผาภูมิ

ใครเคยไปจะรู้สึกได้ว่าที่อำเภอนี้จะมีบรรยากาศกลิ่นอายความเก่าแก่ หรือมีร่องรอยของอะไรสักอย่างที่ทำให้ขนลุกแบบสันหลังเย็นยะเยือก

พื้นที่ทำงานที่หนึ่งของฉันอยู่ที่อำเภอนี้แหละ แต่ลึกเข้าไปในป่า ขออนุญาตไม่ระบุชื่อสถานที่แล้วกัน

เพราะอาจจะโดนเจ้าของพื้นที่เขกหัวเอาได้ ว่าทำให้คนกลัวไม่กล้ามาเที่ยว ฮ่าๆๆ

 

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นี่มีหลายเรื่องมาก ขอเริ่มด้วยเรื่องแรกที่เจอให้ฟังก่อน ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็คือเกิดเหตุตั้งแต่คืนแรกของการเดินทางไปถึงที่นี่เลยน่ะแหละ

งานที่ฉันต้องทำ จะมีเป็นการไปสำรวจพื้นที่เตรียมงานก่อนจะเริ่มโครงการ นับเป็นครั้งแรกที่ฉันจะได้ไปเห็นสถานที่ทำงาน จากที่รู้มาคร่าวๆ แค่ว่า อยู่ที่ไหน ตำบล อำเภออะไร

ในคณะเดินทางจากกรุงเทพฯ ก็จะประกอบไปด้วย ทีมงานผู้ชายสามคน ฉันเป็นผู้หญิงหนึ่งคน และไปแวะรับคุณป้าอีกคนที่ตัวเมืองกาญจนบุรี ซึ่งคุณป้าท่านนี้ เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านงานสิ่งแวดล้อม แต่ในอีกด้านก็เป็นครูผู้สอนการปฏิบัติธรรมที่มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่มากมาย ฉันเองก็เป็นหนึ่งในลูกศิษย์ที่เคารพท่านเช่นกัน และจะเรียกท่านตามคนอื่นๆ ว่า “แม่”

 

เราเดินทางไปถึงที่ทำงานตอนประมาณบ่ายๆ ก็พากันไปประชุม ไปพบปะชาวบ้าน แล้วก็เตรียมกลับเข้าที่พักตอนเย็น

ที่ที่เราพัก เป็นศาลาเปิดโล่งสามด้าน มีผนังปูนที่ก่อสูงขึ้นมาประมาณหนึ่งเมตร อีกด้านหนึ่งกั้นห้องไว้ เหมือนเป็นห้องพัก แต่มีโต๊ะหมู่บูชาและพระพุทธรูปตั้งอยู่ด้านใน

ตอนแรกแม่ก็เรียกให้ฉันไปนอนด้านในด้วย แต่ฉันเห็นว่า ห้องค่อนข้างแคบ และเกรงใจว่าจะนอนเบียดท่าน ก็เลยขอนอนในเต็นท์ที่เพื่อนกางไว้ให้ตรงกลางศาลาแทน ส่วนพวกผู้ชายก็นอนในเปลที่ผูกกับเสารอบๆ ศาลา ระยะห่างจากเต็นท์ประมาณสี่ห้าก้าว

 

ตอนก่อนนอน เหตุการณ์ปกติทุกอย่าง พวกเราก็นั่งสังสรรค์กันสรวลเสเฮฮาดี แต่พอจะแยกย้ายเข้านอนเท่านั้นแหละ

บรรยากาศรอบๆ ข้างก็เงียบวังเวงลงฉับพลัน  ด้วยความที่เป็นหมู่บ้านกลางป่า มองไปรอบๆ ก็เห็นแต่ทิวเขา ยอดไม้

ถามว่ากลัวมั้ย ก็กลัวนะ แต่เพื่อนๆ ก็นอนอยู่ในเปลตรงหัวนอนนี่เอง มองไปก็เห็น ก็เอาละ อุ่นใจ แต่เพื่อกันเหนียวไว้

ฉันขอวางไฟฉายและพระไว้ที่หัวนอนก่อน

ปกติฉันเป็นคนหลับยาก ตื่นง่าย แต่ด้วยอากาศเย็นสบาย และกรึ่มๆ เบียร์นิดหน่อย ก็เลยหลับได้เร็วกว่าปกติ

ตอนเข้านอน เวลาน่าจะประมาณเที่ยงคืน หลับไปได้สักพักก็เริ่มรู้สึกแปลกๆ มันมีความเย็นวาบๆ

เหมือนผ้าห่มค่อยๆ เลื่อนออกไปจากตัว

ตอนนั้นฉันตื่นแล้วแต่ยังไม่ลืมตาเต็มที่ เพราะคิดว่าคงจะฝันไป แต่ก็ลองนอนอยู่นิ่งๆ มือคว้าไฟฉายกับพระมาเตรียมไว้ในมือ

และรู้สึกได้ชัดเจนเลยว่า ผ้าห่มกำลังค่อยๆ เลื่อนออกไปเหมือนมีคนมาลากมันออก ก็เลยยกไฟฉายมาเปิด ส่องไปที่ปลายเท้า

โอเค ไม่มีอะไร ไม่มีมือ ไม่มีคน แต่……ผ้าห่มมันไหงไปกองอยู่ด้านข้างเต็นท์

ใจคอเริ่มไม่ดีละ แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่า อาจจะฝัน หรือละเมอไปเอง

เลยตัดสินใจลุกออกไปหาเพื่อนที่เปล เขย่าๆ เรียกเพื่อน แล้วบอกว่า “แกๆ เมื่อกี๊ฝันแปลกๆว่ะ” เพื่อนก็ยกหัวขึ้นมาจากเปลแล้วบอกแค่ว่า “แกฝันแหละ ไปนอนไป พวกชั้นอยู่ตรงนี้ มีอะไรก็มาเรียก”

ตอนนั้นดูนาฬิกา น่าจะประมาณตีสามเศษๆ อ่ะ ก็ได้ นอนต่อๆ …

กลิ้งไปกลิ้งมาซักพัก พอกำลังจะเคลิ้มๆ ยังไม่ทันหลับสนิท ก็เหมือนมีมวลอากาศแปลกๆ ก่อตัวขึ้นในเต็นท์

วินาทีนั้นคือหนังตาหนักอึ้งมากจนลืมแทบไม่ขึ้น ฉันพยายามเผยอเปลือกตาขึ้น ส่วนมือยังกำไฟฉายและพระแน่นมากๆ

เพื่อให้รู้สึกตัวว่านี่ไม่ได้กำลังฝัน

สิ่งที่เห็นคือ ภาพรางๆ ของผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในเต็นท์ทางหัวนอนด้านซ้าย และผู้หญิงอีกคนนั่งอยู่ทางปลายเท้าด้านขวา

ทั้งสองคนแต่งกายด้วยชุดแปลกๆ เห็นไม่ถนัด รู้แต่ว่าน่าจะเป็นแบบโบราณ และกำลังคุยด้วยภาษาอะไรซักอย่างที่ฟังไม่ออก เสียงเบาๆ ลอยๆ มาแว่วๆ ภาพที่เห็นดูไหวๆ เล็กน้อย เหมือนใช้เครื่องฉายภาพยนตร์ยิงไปบนม่านแสงจางๆ

คล้ายกับว่า เราเห็นอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนอยู่ด้านหน้า แต่ก็บางใสจนสามารถมองทะลุไปเห็นประตูเต็นท์ที่อยู่ปลายเท้า

อากัปกิริยาผู้หญิงเหมือนจะเขินอายหน่อยๆ ส่วนผู้ชายก็ดูยิ้มแย้ม และเหมือนเค้าคุยกันโดยไม่รู้ว่าเราอยู่ตรงนั้นเลย

บอกตัวเองได้ชัดๆ เลยว่า ไม่ได้ฝัน แต่ลืมตาขึ้นมาได้แค่ครึ่งเดียว พยายามจะยกหัวขึ้นมามอง แต่ก็ทำไม่ได้

ได้แต่หรี่ตามองเค้าสองคนนั่งคุยกันเบาๆ ไปซักพัก ในใจก็พยายามท่องบทสวดมนต์ ตั้งแต่อะระหังสัมมา นะโมตัสสะไปเรื่อยๆ

จนพอเริ่มขึ้นบทอิติปิโส อยู่ดีๆ ก็เหมือนมีแรงที่จะฝืนตัวเองลุกขึ้นมาได้ เลยพุ่งตัวออกนอกเต็นท์ วิ่งไปเขย่าเปลเพื่อน

ซึ่งก็ตกใจตามไปด้วยว่าเกิดอะไรขึ้น “แก ชั้นนอนไม่ไหวแล้วว่ะ เค้ามานั่งคุยกันในเต็นท์เลย”

เพื่อนก็เลยลุกออกมานั่งหน้าเต็นท์เป็นเพื่อน แต่ก็ไม่กล้าเล่าอะไรมาก คิดว่าน่าจะรอให้เช้าก่อนน่าจะดีกว่า

หันมาดูนาฬิกา ตีห้ากว่าแล้ว ใกล้สว่าง ตีนฟ้าเริ่มเปิด มีแสงทองแทรกมาจางๆ ก็เลยบอกเพื่อนว่า น่าจะนอนได้แล้ว

ใกล้เช้าแล้ว เค้าไม่น่าจะมาอีก ก็เลยแยกย้ายกันนอนเอาแรงอีกซักหน่อย

พอประมาณ 6 โมงครึ่ง ได้ยินเสียงแม่เปิดประตูห้องพระออกมา ฉันที่ตื่นไวอยู่แล้ว

เลยรีบมุดออกจากเต็นท์ไปเล่าให้แม่ฟัง แม่ก็หลับตานิ่งๆ อยู่ซักประมาณนาทีนึง แล้วก็ลืมตาขึ้นมามองหน้า

“เค้าไมได้มาทำอะไร เค้ามาทักทาย เราเคยเป็นญาติเค้าในอดีตน่ะ เค้าดีใจที่เรากลับมาที่นี่อีก แล้วรู้ตัวมั้ย เราน่ะมีพลังแห่งกาลนะ พลังแบบที่สามารถเชื่อมมิติได้ ถ้าไปอยู่ในจุดที่มิติเวลาซ้อนทับกันเหมือนเมื่อคืนนี้ เค้าก็เลยมาหาเราได้ ไม่ต้องกลัวเค้านะ ทำบุญให้พี่เค้าด้วย บอกเค้าว่าเรากลับมาเยี่ยม”

…อ่ะ อยู่ดีๆ มีอิทธิฤทธ์เฉยค่ะอิชั้น..

วันนั้น…ตอนสายๆ ทุกคนออกไปทำงานที่อื่นกันหมด มีนี่เหลือปั่นเอกสารเฝ้าศูนย์ฯ อยู่คนเดียว

เย็นนี้ก็จะต้องเดินทางกลับกรุงเทพฯ แล้ว นั่งๆ ไปนึกถึงคำแม่ขึ้นมาได้ เลยลองยกมือขึ้นบอกกล่าว

“ถ้าเราเคยเป็นพี่น้องกันจริงในอดีตชาติ ขอส่งผลบุญที่ได้เคยทำไว้ดีแล้วให้พี่ ขอให้พี่รับรู้ว่าได้กลับมาเยือนแล้ว และจะหมั่นทำบุญส่งกุศลให้พี่เรื่อยๆ นะ”

….พูดจบปุ๊บ อยู่ดีๆ ก็มีลมหมุนเล็กๆ ขึ้นมาจากผิวดิน ก่อตัวขึ้นมาจนสูงถึงขอบโต๊ะที่นั่งทำงานอยู่

หมุนๆๆ อยู่ประมาณ 30 วินาทีแล้วก็สลายตัวไปต่อหน้าต่อตาเลย

…นี่แค่มาเยือนรอบแรก…ยังต้อนรับกันฉ่ำขนาดนี้…

ต้องมาอีกหลายรอบ จะบันเทิงขนาดไหนกันนะ…

 

Don`t copy text!