โรงเรียนวิญญาณหลอน

โรงเรียนวิญญาณหลอน

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.2562 ได้เกิดเหตุการณ์อันชวนตระหนกและน่าสลดใจขึ้นในโรงเรียนที่ฉันสอนอยู่ ซึ่งเป็นโรงเรียนภายในวัดที่มีนักเรียนเป็นสามเณรทั้งหมด เหตุการณ์ดังกล่าวได้กลายเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์อยู่หลายวันทีเดียวและยังเป็นภาพติดตาในความรู้สึกมาจนถึงทุกวันนี้

เช้าวันนั้นขณะที่ฉันกำลังเลื่อนประตูหน้าโรงเรียนเพื่อจะเข้าไปในโรงเรียน ครูฝ่ายปกครองท่านหนึ่งได้วิ่งเข้ามาหาพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตกใจ พลางบอกว่า

“อาจารย์ อย่าเพิ่งเข้าไปมีเณรผูกคอตายที่ราวบันได!” ฉันตกตะลึงและมองตรงไปที่บันไดอาคารเรียนทันที ตรงบันไดระหว่างชั้นสามขึ้นไปชั้นสี่เมื่อเพ่งมองผ่านบานกระจกใสเข้าไป ก็เห็นร่างๆ หนึ่งห้อยลงมาจากระเบียงชั้นสี่มาขวางอยู่ตรงกลางเหนือบันไดชั้นสามพอดี

“อาจารย์ ช่วยพานักเรียนไปเข้าแถวทำวัตรเช้าที่หน้าโบสถ์ก่อนได้ไหม รอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและมูลนิธิมาจัดการศพก่อน”

ฉันรีบเลื่อนปิดประตูหน้าโรงเรียนทันที และปฏิบัติตามที่ครูฝ่ายปกครองบอก จนกระทั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจและมูลนิธิมาจัดการศพเรียบร้อยแล้ว ผู้อำนวยการได้สั่งปิดโรงเรียนในวันนั้นทั้งวัน จึงทราบเรื่องราวเหตุการณ์จากเพื่อนครูและนักเรียนที่พบศพเป็นคนแรกเล่าให้ฟังว่า

สามเณรที่ผูกคอตายนั้นไม่ใช่นักเรียนที่ฉันสอนอยู่ แต่เป็นนักเรียนจากโรงเรียนอื่น อาศัยอยู่กับยายซึ่งมีบ้านอยู่ติดกับกำแพงหลังโรงเรียน  สามเณรดังกล่าวเป็นโรคซึมเศร้ามานานแล้ว สาเหตุเกิดจากปัญหาครอบครัว พ่อแม่แยกทางกัน พ่อเป็นโรคติดสุราและเมื่อเมามายมาก็มักทะเลาะกับยายเป็นประจำ เมื่อสามเณรเข้าไปห้ามก็มักจะถูกพ่อด่าว่าทุบตีเรื่อยมา จนกระทั่งครั้งสุดท้าย สามเณรรูปนั้นทนไม่ไหวจึงได้ตัดสินใจปีนข้ามกำแพงโรงเรียนเข้ามาในตอนดึกและขึ้นไปบนอาคารเรียนชั้นสี่ก่อนจะใช้เชือกที่นำมาด้วยผูกคอตายจบชีวิตตรงราวระเบียงบันได

เมื่อญาติมารับศพและจัดการฌาปนกิจศพตามประเพณีเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งที่เป็นข่าวในหนังสือพิมพ์ก็เริ่มเงียบหายไปดูเหมือนว่าจะจบลงแล้ว แต่ความจริงเหตุการณ์ต่อจากนั้นมันกลับยังไม่จบ เพราะวิญญาณผีตายโหงของสามเณรรูปนั้นยังคงสิงอยู่ที่ราวระเบียงโรงเรียนไม่ยอมไปไหน!

ผู้ที่ได้ผจญกับวิญญาณเฮี้ยนของสามเณรรายแรกก็คือ ลุง รปภ.ประจำหมู่บ้าน แกได้เล่าให้ฟังว่า คืนวันก่อนลุงได้มาเดินสายตรวจภายในหมู่บ้านและผ่านเข้ามาในวัด ขณะที่เดินผ่านหน้าโรงเรียนอยู่นั้นได้ยินเสียงคนร้องไห้อยู่บนอาคารเรียนจึงได้หยุดหันมองขึ้นไปดู ก็พบร่างสามเณรรูปหนึ่งยืนอยู่บนชั้นสี่จึงตะโกนขึ้นไปถามว่า “สามเณรมาทำอะไรที่นี่…ทำไมไม่กลับกุฏิ” แต่ร่างนั้นก็ดูเหมือนไม่สนใจยังคงยืนหันหลังให้อยู่ จนรุ่งเช้าวันต่อมาจึงได้มาเล่าให้ครูที่โรงเรียนฟัง ครูฝ่ายอาคารสถานที่ได้บอกว่าตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ครั้งนั้น ตนเองก็ได้ล็อกกุญแจอาคารเรียนหลังเลิกเรียนทุกครั้งเพราะกลัวเหตุการณ์จะซ้ำรอยนั่นเอง ทุกคนจึงได้รู้ว่า ร่างนั้นไม่ใช่คน แต่เป็นผี!

วิญญาณสามเณรยังคงปรากฏให้หลายคนเห็นเรื่อยมา สร้างความหวาดกลัวแก่ครูและนักเรียนทั้งโรงเรียน แม้ว่าจะนิมนต์พระสงฆ์มาสวดมนต์และรดน้ำมนต์แล้วก็ตาม ฉันเดินขึ้นบันไดไปสอนชั้นสี่ครั้งใดเป็นต้องปิดตาไม่กล้ามองดูที่ราวระเบียงชั้นสี่ มันรู้สึกใจหวิวๆ เหมือนมีใครมองมาอยู่ตลอดเวลาจนต้องรีบเดินให้พ้นไปจากตรงนั้น

ครั้งหนึ่ง ครูนิด ครูสอนภาษาอังกฤษได้มาโรงเรียนแต่เช้าและมองขึ้นไปบนชั้นสองตรงห้องที่ฉันนั่งทำงานประจำอยู่ แล้วก็พบว่ามีร่างใครคนหนึ่งยืนหันหลังให้อยู่ตรงหน้าต่าง ครูนิดเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฉันที่มาทำงานแต่เช้า จึงไม่ได้เอะใจอะไร จนกระทั่งฉันมาถึงครูนิดได้ทักว่า  “วันนี้ทำไมอาจารย์มาทำงานแต่เช้าจังเลย” แต่ฉันตอบว่า

“กำลังเข้ามาเมื่อสักครู่นี่เอง ยังไม่ได้ขึ้นห้องเลย” ครูนิดก็ถึงกับอุทานว่า “อ้าว..แล้วใครล่ะ ที่หนูเห็นอยู่บนห้องอาจารย์เมื่อเช้า!” เท่านั้นเองทุกคนก็ถึงกับขนลุกซู่ เพราะเจอดีเข้าอีกแล้ว

แต่เหตุการณ์ที่เฮี้ยนหนักสุดคือ ช่วงที่โรงเรียนจัดกิจกรรมการบวชสามเณรเพื่อศึกษาต่อในปีถัดมา ซึ่งในปีนั้นได้มีนักเรียนที่จบ ป. 6 แล้วมาสมัครบวชเรียนเพื่อศึกษาต่อเกือบ 100 คน ซึ่งจะต้องพักอาศัยที่อาคารเรียนเพื่อเตรียมฝึกซ้อมการบวชให้ชำนาญก่อนที่ทางโรงเรียนจะจัดแยกย้ายให้ไปอยู่ตามวัดต่างๆ เมื่อบวชเสร็จแล้ว และคืนวันหนึ่งก่อนบวช ได้มีเด็กชาวเขาคนหนึ่งได้วีดีโอคอลไปหาพ่อแม่ซึ่งอยู่บนดอย ในขณะที่คุยกันอยู่นั้นพ่อแม่ของเด็กชายได้สังเกตว่า บนหน้าจอมือถือไม่ได้มีเฉพาะหน้าลูกของตนเองเท่านั้น หากมีใบหน้าของใครคนหนึ่งยืนปรากฏอยู่ด้านหลังลูกด้วย จึงถาม “ลูกว่ายืนอยู่กับใคร?” ลูกก็ตอบว่า “อยู่คนเดียว” จึงบอกให้รีบปิดมือถือแล้วให้ไปหาพระอาจารย์ผู้ดูแลทันที

เมื่อถึงเช้าวันต่อมาพ่อแม่ของเด็กนักเรียนคนนั้นได้ลงดอยมาเพื่อนำลูกของตนเองกลับคืนไม่ยอมให้บวชเรียนต่อ เมื่อถามถึงสาเหตุก็เล่าให้ฟังและขออนุญาตนำลูกกลับคืน

เพราะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ฉันและเพื่อนครูจึงได้ชวนกันทำบุญตักบาตรที่โรงเรียนเพื่ออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลไปให้ดวงวิญญาณของสามเณรรูปนั้นเป็นประจำทุกปี จนถึงปีนี้ก็เป็นปีที่หกแล้วแต่ก็ดูเหมือนว่าวิญญาณของสามเณรรูปนั้นจะยังวนเวียนอยู่ไม่ไปไหน เพียงแต่ค่อยๆ จางหายไปไม่ปรากฏมาให้เห็นบ่อยเหมือนแต่ก่อน จึงไม่อาจรู้ได้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่จะได้พบกับวิญญาณของสามเณรรูปนั้นในครั้งต่อไป

Don`t copy text!