โรงแรมเด็กหัวโต

โรงแรมเด็กหัวโต

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

เดือนกันยายนปีที่ผ่านมา ฉันต้องเดินทางร่วมกับคณะครูทั้งหมดในโรงเรียนไปลงทะเบียนรายงานตัวเป็นเจ้าหน้าที่การศึกษาพระปริยัติธรรม (จศป.) ที่พุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม สองวันหนึ่งคืน สองวันนั้นไม่เป็นปัญหา แต่ปัญหามันอยู่ตรงที่ ‘หนึ่งคืน’ นี่เอง!

เมื่อผู้อำนวยการแจ้งว่า ปีนี้จะได้พักที่โรงแรมริมแม่น้ำเจ้าพระยาท้ายเมืองนนท์ ครูทุกคนต่างดีใจปรบมือกันเกรียวกราว มีฉันคนเดียวเท่านั้นที่รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ อยู่ โรงแรมที่ว่านี้ฉันรู้จักเพราะเคยนั่งรถผ่านมาแล้วสองครั้งเมื่อสิบปีก่อนโน้น ซึ่งปีนั้นฉันได้ไปสัมมนาครูวิชาการที่กรุงเทพฯ แล้วท่านผู้อำนวยการคนเดิมพาเข้าไปพักที่วัดท้ายเมืองนนท์ เพราะท่านรู้จักกับเจ้าอาวาสมาก่อน ศาลาที่พักในวัดสะดวกสบายทุกอย่าง ได้นั่งชมวิวริมแม่น้ำเจ้าพระยาดูนกดูปลาดูเรือสัญจรไปมาที่ท่าน้ำของวัดเป็นที่สำราญใจ หากปีนี้เห็นว่าทางวัดมีการรื้อถอนปรับปรุงพัฒนาวัดใหม่เลยไม่สะดวก ครูบ้านนอกอย่างฉันจึงต้องหอบกระเป๋าเข้าโรงแรม เพราะโรงแรมอยู่ติดกับวัด เจ้าอาวาสท่านรู้จักกับเจ้าของโรงแรมเป็นการส่วนตัวจึงจัดจองไว้ให้

โรงแรมดังกล่าวสูงหลายสิบชั้น หน้าโรงแรมมีลานจอดรถกว้างขวาง เมื่อเดินขึ้นบันไดเข้าไปภายในชั้นล่างสุดจะมีห้องอาหารและห้องรับรองแขกดูหรูหรา หากที่เริ่มไม่หรูหราก็คือตรงทางเข้าลิฟต์ที่จะขึ้นชั้นบน เพราะมีกระดานไม้อัดแผ่นใหญ่ปิดทางอีกฟากไว้พร้อมข้อความ ‘กำลังปรับปรุง ขออภัยในความไม่สะดวก’ ความแปลกมันเริ่มจากตรงนี้แหละ!

ฉันกับเพื่อนครูอีกคนได้พักห้องเดียวกันในชั้นที่สิบ เมื่อจะเข้าลิฟต์ฉันรู้สึกเหมือนมีใครเข้ามาด้วย มันเหมือนมีลมพัดเย็นๆ อยู่ด้านหลังหากก็ไม่พูดอะไร จนกระทั่งประตูลิฟต์เปิดอีกครั้งเมื่อถึงชั้นสิบ ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้รู้สึกอึดอัดอย่างบอกไม่ถูก เพราะห้องทอดเป็นทางยาวไปจรดอีกฟากที่มีผนังกระจกหนากั้นไว้ ระหว่างสองฟากทางเดินนั้น เรียงไปด้วยประตูห้องพักหลายสิบห้อง ฉันกับเพื่อนครูได้พักห้องท้ายสุดที่สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้เต็มตา

ห้องที่ฉันเข้าพักกว้างพอสมควร มีเตียงคู่พร้อมแอร์เย็นฉ่ำ มีทีวีพร้อมเครื่องอำนวยความสะดวกอื่นๆ สมราคา หลังเปิดม่านชมวิวริมแม่น้ำจนเต็มอิ่มปริ่มใจแล้ว ต่างก็เตรียมตัวจะปิดไฟเข้านอน แต่เพื่อนครูร่วมห้องกลับพูดขึ้นว่า…

“พี่สังเกตเห็นอะไรไหม?” ฉันลุกขึ้นนั่งทันที เมื่อถามกลับเจ้าตัวก็บอกว่า ชั้นนี้ทั้งชั้น โซนห้องที่กำลังพักอยู่ในจำนวนนับสิบๆ ห้องนั้น มีคนเข้าพักแค่ห้องเดียว คือห้องฉันกับเพื่อนเท่านั้น อะไรนะ! มีแค่ฉันกับเพื่อนเท่านั้น! นั่นไง ว่าแล้ว! ไม่อยากคิดมากไปกว่านั้น ฉันรีบล้มตัวลงนอนทันทีจะได้รีบหลับและรีบตื่น และก็หลับไปด้วยความเหนื่อยล้าจริงๆ เพราะเดินทางและทำกิจกรรมมาทั้งวัน แต่แล้วคืนนั้น…

ฉันเหมือนสะดุ้งตื่นลืมตาขึ้นกลางดึก จำได้ว่ามองไปที่นาฬิกาติดฝาผนังห้องตัวเลขบอกเวลาเที่ยงคืนกว่าๆ คิดจะพลิกตัวแต่พลิกไม่ได้ มันเหมือนทั้งเนื้อทั้งตัวถูกตรึงด้วยเชือกที่มองไม่เห็น ความคิดแรกที่วาบเข้ามาในหัวคือ ถูกผีอำเข้าแล้วกรู! กระเสือกกระสนพยายามชำเลืองตาหันไปทางเพื่อนครูที่นอนเตียงถัดไป ตะโกนเรียกปลุกเพื่อนสุดเสียง “ช่วยด้วยโว้ย!” ปากก็กลับไม่เสียงอีก ใจสั่นระรัวขนลุกวาบตั้งแต่เท้ายันศีรษะ เอาไงดีวะกรู! นึกบทสวดมนต์บทใดได้ตอนนั้นก็ท่องผิดท่องถูกไปหมด แต่แล้วสิ่งที่พยายามจะไม่คิดก็มาปรากฏจนได้!

ในท่ามกลางแสงสลัว ฉันเห็นหัวโตๆ ของเด็กเล็กๆ คนหนึ่งโผล่ขึ้นริมหน้าต่างทางด้านแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเหมือนค่อยๆ ปีนลอยเข้ามาจนติดปลายเตียงที่ฉันนอนอยู่ เป็นร่างของเด็กผู้ชายหัวโตผิดปกติไม่มีผมสักเส้น ตากลมโตทั้งคู่เป็นหลุมดำเหมือนกับรูจมูกและปากที่กำลังพูดอะไรสักอย่าง เสียงแผ่วเบาเหมือนดังมาจากที่ไกล ฉันจำได้ว่าตนเองบอกออกไปว่า “อย่ามารบกวนกันเลยนะลูก ออกไปเถอะ!” แต่เหมือนร่างนั้นจะไม่ฟัง กลับลอยเข้ามาจนถึงตรงหน้าฉัน แล้วพลันผลักอกฉันให้เซถอยหลังทะลุเข้าไปในห้องน้ำ ระหว่างที่เสียหลักเซถอยหลังอยู่นั้น ฉันต้องตกใจสุดขีดเพราะมองเห็นร่างตนเองยังนอนอยู่บนเตียง คุณพระช่วย! กรูตายแน่! ความรู้สึกตอนนั้นทั้งกลัวทั้งโกรธ จนคิดได้ว่าเป็นไงเป็นกันเราก็ศิษย์มีครู จึงใช้มือซ้ายจับคอเด็กไว้ มือขวากำหมัดจะซัดซักเปรี้ยง แต่พลันกลับไปมองเห็นหน้าตาเด็กหัวโตนั้นชัดเจนมากขึ้น ผิวทั้งตัวเป็นสีขาวออกม่วงๆ หากที่ยังจำได้ติดตาจนเดี๋ยวนี้ คือ ดวงตาซื่อใสทั้งคู่ที่จ้องมองฉันอยู่ ฉันใจอ่อนวูบลงหายโกรธทันที เลยใช้นิ้วชี้จิ้มไปที่หัวโตๆ นิ่มๆ เหมือนลูกโป่งนั้นจนยุบลงไปแล้วบอกว่า “อย่ามากวนเลยกันนะลูก เดี๋ยวจะหยาดน้ำอุทิศส่วนบุญให้ กลับไปนะ อย่าดื้อเลย” ฉันพูดอะไรอีกหลายอย่าง จนเด็กหัวโตนั้นถอยออกไปและพูดว่า “กลับไปดีกว่า” แล้วก็หันกลับไปที่หน้าต่างก่อนจะปีนขึ้นแล้วกระโดดลงหายลับไป

ฉันสะดุ้งตื่นขึ้นใจสั่นเหงื่อทะลักท่วมตัว หันไปมองนาฬิกาที่ผนังห้องเวลาตีหนึ่งกว่าๆ จึงลุกขึ้นไปล้างหน้าแล้วกลับมาว่าบทสวดมนต์ หยาดน้ำส่งไปให้ดวงวิญญาณเด็กนั้น แล้วจึงล้มตัวลงนอนต่อและหลับลึกยาวจนตื่นอีกทีตอนรุ่งเช้า

ระหว่างที่รับประทานอาหารเช้าอยู่นั้น เพื่อนครูถามว่า เมื่อคืนรู้สึกคล้ายๆ เหมือนเห็นฉันลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างคนเดียวที่หน้าต่างด้านแม่น้ำเจ้าพระยา ฉันเลยเล่าเรื่องที่เจอเมื่อคืนให้ฟัง เท่านั้นเองก็กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยล่ะที่นี้ ครูทุกคนมารุมถามฉันจนเบื่อที่จะเล่าและที่สำคัญทุกคนต่างบอกว่า “ถ้าเจออีกครั้งขอให้ขอหวยเผื่อด้วยสักงวด”

ดูเถอะ! ชีวิตคนดีๆ ไม่ห่วงไปห่วงเรื่องหวยไปโน่น เลยบอกว่ “ถ้าเจออีกทีจะบอกให้ไปหานะ จะได้ขอกันเอาเองเลย!” คราวนี้ทุกคนพากันร้อง หนูไม่เอาๆ แล้วปิดปากเงียบกริบ

ตอนขากลับขณะที่รถตู้กำลังเคลื่อนออกจากโรงแรม ฉันแหงนมองผ่านหน้าต่างรถขึ้นไปบนชั้นสิบตรงหน้าต่างห้องที่ฉันกับเพื่อนครูพักอยู่ ฉันพบอะไรบางอย่าง… ให้ลองทายดู ฉันว่า ร้อยทั้งร้อยทุกคนต้องทายถูก!

 

Don`t copy text!