
ผีลำน้ำสามแพร่ง
โดย : ทรรศิตา
![]()
อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา
“ลำน้ำสามแพร่ง” หมายถึง ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ เป็นที่ที่มีลำน้ำสามสายไหลมาบรรจบกันทำให้บริเวณนั้นมีน้ำไหลเชี่ยวในฤดูน้ำหลาก แต่ก็เป็นบริเวณที่มีความอุดมสมบูรณ์ของสัตว์น้ำถือว่าเป็นสวนสวรรค์ของนักหาหอยปูปลาเป็นอย่างยิ่ง
ลำพลับพลา เป็นลำห้วยไหลผ่าดินแดนทุ่งกุลาร้องไห้จากทิศตะวันตกลงไปทิศตะวันออกมีความยาวถึง 25 กิโลเมตรจากอำเภอพยัคฆภูมิพิสัย มหาสารคาม ไปบรรจบกับลำน้ำมูลที่อำเภอท่าตูม จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งบริเวณท้ายตำบลเมืองเก่าถิ่นกำเนิดของผู้เล่าตรงบริเวณที่ห้วยลำพลับพลาไหลผ่านมาบรรจบกับหนองน้ำแนวกำแพงรอบเมืองเก่าสองสายเรียกชื่อว่า “หนองน้ำลุง”และ“หนองเกลือ”นั้น เกิดเป็นดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำที่ชาวบ้านแถบนั้นนิยมไปทำมาหากินกันเสมอเพราะสัตว์น้ำชุกชุมยิ่งนัก ผู้เล่าเองในวัยเด็กยังเคยตามผู้ใหญ่ลงเรือไปงมหาหอยกาบหลายครั้งและก็ได้เต็มถังเต็มกระซังไผ่ทุกครั้งไป แต่ก็เป็นที่ที่ผู้ใหญ่มักห้ามเด็กๆ ไม่ให้ไปลงเล่นน้ำตรงบริเวณนั้นโดยเด็ดขาด เพราะกลางลำน้ำมีร่องลึกมากทั้งมีกระแสน้ำไหลวนอยู่ด้านล่างค่อนข้างแรงอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ง่าย พวกเด็กๆ จึงได้แต่เพียงยืนดูผู้ใหญ่หว่านแหหาปลาหรือใส่ตาข่ายดักปลา หากอยากลงเล่นน้ำบ้างต้องไปเล่นที่หนองน้ำลุงหรือหนองเกลือแทนเพราะมีหาดทรายริมฝั่งทั้งไม่ค่อยลึกมากนัก
ประมาณปี ๒๕๓๐ มีเหตุการณ์ที่ทำให้ผู้เล่าและเหล่าเด็กๆ ในหมู่บ้านไม่ไปกล้าไปเล่นบริเวณลำน้ำนั้นอีกเลยหลายปี เพราะมีข่าวลือมาว่ามี“ผีตายน้ำเหี้ยนมาก” และผีตายน้ำที่ว่านี้เป็นเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันกับผู้เล่านี่เอง! ชื่อว่า“ทุง” แต่เพื่อนๆ มักเรียกมันว่า“ไอ้ทุงผีบ้า”หรือ“ทุงบ้าหมู” เหตุที่เรียกกันแบบนี้เพราะ ทุงเป็นคนบ้าๆ บอๆ มีสติไม่ค่อยจะเต็มบาทสักเท่าไหร่อีกทั้งเป็นโรคลมชักหรือโรคลมบ้าหมูด้วยนั่นเอง
ในสมัยนั้นใครที่เป็นโรคลมบ้าหมู ถือว่าเป็นโรคเวรโรคกรรม เพราะจะต้องกินยาตลอดชีวิตห้ามขาดยาเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะเกิดอาการลมชักซึ่งเป็นอาการที่น่าตกใจและน่ากลัวมาก นั้นคือล้มลงกับพื้นดิ้นตัวงอไปมา ตาเหลือก ตัวเกร็ง นิ้วมืองอหงิก น้ำลายฟูมปาก กว่าจะหายก็ใช้เวลาหลายนาที คนที่เป็นโรคนี้จึงมักถูกห้ามไม่ให้อยู่ใกล้น้ำหรืออยู่บนที่สูงเพราะอาจจะเกิดอันตรายถึงชีวิตได้ ซึ่งทุกครั้งที่ทุงเกิดอาการลมบ้าหมูขึ้นดังกล่าวเมื่อหายจากอาการแล้วก็มักถูกแม่ คือ ป้าวันดี เฆี่ยนตีด้วยไม้เรียวเสมอ ซึ่งในเวลานั้นผู้เล่ายังคิดว่ามากเกินไปด้วยซ้ำ เหมือนเป็นการซ้ำเติมไม่สงสารลูกตัวเองเลย ครั้งหนึ่งเคยมีคนต่อว่าป้าวันดีเกี่ยวกับเรื่องนี้ แกตอบว่า
“ต้องตีมัน…เพื่อให้มันเจ็บแล้วจำจะได้ไม่ลืมกินยาอีก!”
ป้าวันดี ไม่ใช่คนที่นี่แกพูดไทยชัดเจน ชอบแต่งหน้าปากแต่งเนื้อแต่งตัวทำทรงผมให้สวยเนี้ยบทันสมัยอยู่เสมอผิดแผกจากชาวบ้านทั่วไป มีคนเล่าให้ฟังว่า ป้าแกเป็นคนเมืองนนท์แต่มาได้แต่งงานกับลุงสิงซึ่งในอดีตเคยเป็นพระระดับเจ้าอาวาสวัดมาก่อน เรียกว่า บุพเพสันนิวาส ดึงมาให้เจอกันที่ลานวัดจนลุงสิงอดรนทนไม่ไหวด้วยไฟเสน่หาสาววันดีถึงกับสึกจากพระออกมาตกแต่งกันในที่สุด และก็มีคนบอกอีกว่าเพราะเหตุนี้นี่เองแกจึงได้ลูกชายที่ไม่ค่อยเต็มบาท เป็นผลกรรมที่ไปทำให้พระผ้าเหลืองร้อน ซึ่งผู้เล่าในวัยเด็กนั้นได้แต่นั่งนิ่งฟังชาวบ้านเขาแอบพูดกันแต่ก็ไม่ค่อยจะเชื่อสักเท่าไร เพราะป้าวันดีที่รู้จักคือผู้หญิงที่ขยันทำการงานมากและแต่งตัวสวยจัดอยู่เสมอ ส่วนลุงสิงนั้นเป็นคนพูดเก่งและเป็นนักดื่มสุราขาประจำ แต่เมื่อเมาแล้วก็ไม่เคยทำให้ญาติพี่น้องหรือใครเดือดร้อนนอกจากไปนั่งคอพับคออ่อนคุยอยู่คนเดียวจนฟุบหลับไป
ฤดูฝนปีนั้น น้ำไหลหลากมากกว่าทุกปีห้วยพลับพลาและหนองน้ำรอบหมู่บ้านน้ำขึ้นเต็มจนล้นตลิ่ง ผู้ใหญ่จึงห้ามเด็กๆ ไม่ให้ออกลงไปลงเล่นน้ำเป็นอันขาดเพราะอาจเกิดอันตรายจมน้ำตายได้ แต่สิ่งที่มากับน้ำหลากปีนั้นก็คือ มีปลาชุกชุมมากจนชาวบ้านแถวนั้นร่ำรวยกันไปหลายคนเพราะอานิสงส์จากการหาปลาไปขายนั่นเอง
แต่แล้วเหตุการณ์ที่ชาวบ้านหวั่นกลัวไม่อยากให้เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อพลบค่ำวันหนึ่งป้าวันดีวิ่งไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่า ลูกชายคือ ไอ้ทุง หายไปตั้งแต่บ่ายจนป่านนี้แล้วยังไม่กลับคืนมาบ้านมีคนบอกว่า…
“เห็นมันแบกแหออกไปที่ลำห้วยตั้งแต่บ่าย”
ป้าวันดีตกใจรีบเข้าไปดูในห้องเห็นถุงยายังวางอยู่บนที่นอนแกและลุงสิงจึงรีบพากันออกจากหมู่บ้านไปดูที่ลำห้วยแต่ก็ไม่พบแม้เงาของลูก เห็นแต่เรือลำหนึ่งลอยไปติดริมตลิ่งอยู่อีกฟากจึงรีบกลับมาแจ้งผู้ใหญ่บ้านให้ไปช่วยค้นหา ผู้ใหญ่บ้านจึงตีเกราะระดมชาวบ้านที่เป็นผู้ชายออกไปค้นหาที่ลำห้วยตรงลำน้ำสามแพร่งจนดึกก็ไร้วี่แวว เสียงป้าวันดีแกร้องไห้จนแทบจะขาดใจเมื่อผู้ใหญ่บ้านมาบอกว่า
“รอวันพรุ่งนี้ค่อยมาค้นหาอีกที”
จนกระทั่งรุ่งเช้ามืดมีชาวบ้านคนหนึ่งรีบมาบอกป้าวันดีว่า…เมื่อคืนขณะที่กลับมาจากนาทุ่งซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้านไปไกลพอสมควร ช่วงขณะที่เดินผ่านลำห้วยแกเห็นเหมือนมีคนนั่งอยู่บนเรือคล้ายกำลังเก็บตาข่ายดักปลาหรือไม่ก็รอหว่านแห ชาวบ้านคนนั้นบอกว่า
“ดูรูปร่างเป็นเงาดำคล้ายๆ จะเป็นไอ้ทุง แต่ก็ยังไม่แน่ใจเพราะค่อนข้างมืดด้วยเป็นเวลาดึกมากจนจะเกือบเที่ยงคืนแล้ว” ป้าวันดีจึงถามว่า
“เห็นตรงไหน? ”แกบอกว่า
“เห็นตรงบริเวณดงไผ่!”
ดงไผ่ที่ว่านี้อยู่ห่างจากลำน้ำสามแพร่งออกไปไกลพอควร เมื่อผู้ใหญ่บ้านพาชาวบ้านออกไปค้นหาบริเวณนั้นก็พบศพไอ้ทุงจริงๆ ทุกคนลงความเห็นว่า ไอ้ทุงคงออกไปหาปลาแล้วเกิดอาการลมชักขึ้นมาจนพลัดตกเรือลงไปในลำห้วยจมน้ำตาย กลายเป็นผีตายน้ำที่น่ากลัวและน่าอนาถใจอย่างที่สุด
นับตั้งแต่นั้นมาก็มักมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีไอ้ทุงผีบ้ามาหลายปี บางคนไปหาหอยกาบแล้วงมลงไปเจอร่างศพคนบ้าง บางคนเจอผีไอ้ทุงนั่งถือแหหาปลาบนเรือบ้าง บางคนเจอนั่งอยู่ริมฝั่งบ้าง จนไม่ค่อยมีใครกล้าออกไปหาปลาบริเวณแถวนั้นอีกต่างพากันเลี่ยงออกไปหาที่อื่น จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปเรื่องผีไอ้ทุงผีบ้าก็ค่อยๆ จางหายไปในที่สุด

- READ ผีลำน้ำสามแพร่ง
- READ เปรตดงตาลสามต้น
- READ ผีนัดหลังเที่ยงคืน
- READ หลวงพระบางรำลึก ตอน "เงามืดปริศนา"
- READ จิตสังหรณ์
- READ ปอบซูดหมู
- READ ผีกลิ้งไห
- READ หนองบัวแดง
- READ อย่าลืมฉัน
- READ ทุ่งกุลากับเสียงเรียกในยามวิกาล
- READ ดอนปู่ตา
- READ พรายหนองโหง
- READ วิญญาณออนไลน์
- READ ผีไล่ควาย
- READ ร่างวิญญาณ
- READ ผีต้นบากใหญ่
- READ ปอบผีสาว
- READ เปรตหนองขี้ทูด
- READ ดงหนองแสง
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 2)
- READ ถนนสายนี้...ผีดุ (ภาค 1)
- READ บึงผีพราย
- READ คืนไล่ผีปอบ
- READ โรงแรมเด็กหัวโต
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 2)
- READ สังขละบุรีในตำนาน (ตอนที่ 1)
- READ หาดใหญ่ทัก...(แบบเบาๆ)
- READ สาวน้อยในห้องน้ำ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #3
- READ โรงเรียนวิญญาณหลอน
- READ ผีสางนางน้ำบ่อ
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #2
- READ เหตุเกิดที่ทองผาภูมิ #1
- READ ว่านผีโพง






