บึงผีพราย

บึงผีพราย

โดย : ทรรศิตา

Loading

อ่านเอาขอแบ่งปันเรื่องเล่าจากเงาสนธยา เรื่องลี้ลับจากประสบการณ์ตรงของ ภัทรภร มนุษย์ฟรีแลนซ์ ที่ตระเวนเดินทางทำงานไปทั่วทิศและมักได้ของแถมเป็นการพบปะทักทายจากเหล่าเพื่อนต่างมิติ และ ทรรศิตา มนุษย์ผู้ใช้ชีวิตเป็นจาริกชนคนเดินทางแสวงหาความหมายชีวิตระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และมักผูกพันกับเรื่องลี้ลับบางอย่างเกินคาดเดา

รอบเชิงดอยสุเทวาอันศักดิ์สิทธิ์ทางทิศตะวันออกนั้น มีห้วยหนองคลองบึงอยู่หลายแห่ง บางแห่งคนรู้จักกันดี แต่ก็มีอีกหลายแห่งที่ยังไม่มีใครรู้จักกันนัก และที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังในครั้งนี้เป็นเรื่องราวของบึงร้างแห่งหนึ่งซึ่งเคยเป็นเวียงนครของชนชาวลัวะเก่าในอดีตก่อนที่จะมาเป็นเวียงนครเชียงใหม่ในปัจจุบัน บึงที่ว่ามานี้เกิดเรื่องราวลี้ลับบางประการที่ยังหาคำตอบไม่ได้ ทั้งเป็นที่มาของเรื่องราวเหตุการณ์ระทึกขวัญและเศร้าสลดใจอย่างเป็นที่สุดต่อตัวผู้เล่าเอง!

ประมาณเดือนตุลาคม ปี 2549  โรงเรียนที่ฉันเป็นครูสอนประจำอยู่ได้จัดกิจกรรมเข้าค่ายคุณธรรมพัฒนาทักษะชีวิต ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี หากปีนี้พิเศษกว่าปีที่ผ่านมาคือ เราจะได้ไปจัดกิจกรรมนอกสถานที่ และสถานที่ดังกล่าวนี้กำลังจะถูกพัฒนาให้เป็นวัด หลังจากถูกบันทึกเป็นตำนานเรื่องเล่ามาช้านานว่า เป็นเวียงร้างด้วยมีซากกองอิฐซึ่งเป็นร่องรอยเจดีย์เก่าปรากฏเป็นหลักฐาน

คืนก่อนที่จะไปนั้น ฉัน ฝันว่า เห็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งแต่ดูไม่ออกว่าเป็นใครบ้าง พากันลงเรือเล่นกลางบึงใหญ่ เรือลำนั้นเก่าและผุจวนจะพังแล้ว ที่ท้ายเรือมีชายแก่คนหนึ่งนุ่งผ้าดำไม่สวมเสื้อนั่งถือไม้พายเรืออยู่ ฉันตะโกนบอกให้ทุกคนรีบขึ้นฝั่ง แต่ดูเหมือนชายคนนั้นจะไม่ฟังกลับรีบพายเรือออกไปจนเรือล่มลงกลางน้ำ ฉันพลันสะดุ้งตื่นขึ้นกลางดึก!

วันออกเดินทางไปเข้าค่ายฯ ฉันรู้สึกใจคอไม่ดีหากหาสาเหตุไม่เจอ จึงเล่าให้เพื่อนครูคนอื่นๆ ฟัง รวมไปถึงเรื่องฝันเมื่อคืนด้วย ทุกคนลงความเห็นว่า ฉันคิดมากและวิตกจริตเกินไป

สำนักสงฆ์(สถานที่ที่รอขึ้นทะเบียนให้เป็นวัด) ดังกล่าว ฉันไม่เคยเห็นมาก่อน มีลักษณะเป็นเนินดินสูงและกว้างออกไปจนจดเชิงดอย ซึ่งด้านที่ติดดอยนั้นมีลำห้วยเล็กๆ ไหลลงมาจนกลายเป็นน้ำตกขนาดย่อมและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี กลางเนินนั้นยังมีซากกองอิฐมอญสีดำเก่าคร่ำคร่ากองให้เห็นอยู่ สภาพโดยรอบทั่วไปรกเต็มไปด้วยพงหญ้าและต้นไม้นานาชนิด แม้จะมีการแผ้วถางให้เตี่ยนโล่งลงบ้าง หากก็ยังน่ากลัวอยู่ดี และที่น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งใด ก็คืออีกฟากของเนิ่นอันลาดต่ำลงไปจนลึกชันปรากฏเห็นเป็นบึงน้ำขนาดกว้างใหญ่ให้เห็นอยู่ เมื่อเห็นครั้งแรกใจฉันถึงกับหล่นวูบ! ดึงแขนเพื่อนครูที่สนิทที่สุดมาบอกว่า “นี่ไง…ที่ฝันเห็นเมื่อคืน!”  เพื่อนครูมองหน้าฉันแล้วอุทานเบาๆว่า “บ้าน่า!”

บึงที่ว่านี้ หากกำลังนั่งรถขึ้นดอยหรือลงดอยอยู่ ก็จะสามารถมองเห็นได้บ้างบางช่วงสั้นๆ ถ้าหมู่แมกไม้ไม่ปิดบังไว้เสียก่อน แต่ก็ยังดูไม่น่ากลัวเท่ากับการมายืนดูใกล้ๆ ตรงหน้า  บึงนี้มีขนาดกว้างใหญ่ฝั่งของบึงฟากที่จะพัฒนาเป็นวัดค่อนข้างสูงลาดชันต่ำลึกลงไปจนถึงผืนน้ำ ฝั่งตรงข้ามเป็นป่ารกเชิงดอยมีทางเดินเล็กๆ พาดขนานไปกับฝั่งบึงจนหายลับไปในป่า หากที่เด่นที่สุดคือ ริมทางนั้นมีต้นไทรขนาดใหญ่ยืนต้นตระหง่านทะมึนอยู่  ฉันลองเดินไปดูในวันถัดมาก็ต้องสงสัยและแปลกประหลาดใจยิ่งขึ้น เพราะที่โคนต้นไทรใหญ่นั้นปรากฏมีศาลพระภูมิร้างกองเต็มไปหมด ทั้งผ้าแดงผ้าเขียวผูกมัดโคนเสาและหล่นกองอยู่เกลื่อนกลาด ใจฉันเต้นแรงจนต้องรีบดึงแขนเพื่อนครูให้ถอยออกมา และก็มาเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในภายหลัง หลังจากเกิดเหตุวิกฤตการณ์ในครั้งนั้น!

ท่านเจ้าอาวาสวัดต้อนรับคณะครูและนักเรียนเป็นอย่างดีในวันเปิดโครงการ ท่านขอความร่วมมือเพียงอย่างเดียวคือ ห้ามนักเรียนทุกคนลงเล่นน้ำในบึงอย่างเด็ดขาด! หากใครฝ่าฝืน ท่านจะขอให้ส่งตัวคืนกลับทันทีโดยไม่มีข้อแม้ เอาล่ะสิ! ต่อมสงสัยของฉันถูกกระตุ้นให้ทำงานหนักขึ้น

ในบรรดานักเรียนทั้งหมดจำนวนสองร้อยกว่า ฉันเป็นห่วงนักเรียน มอต้น มากที่สุดเพราะยังเด็กอยู่ ดังนั้นครูทุกคนจึงช่วยกันวางแผนแบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มจัดเวรครูดูแลไม่ให้คลาดสายตาจนกว่าจะถึงเวลาเข้านอนในแต่ละวันจนจบโครงการทั้ง ๕ วัน แต่แล้วเราทุกคนกลับทำพลาดไปจนได้เมื่อถึงวันที่สี่ของกิจกรรม!

ก่อนหน้านั้น แม้จะมีเหตุการณ์แปลกๆ บ้าง เช่น วันแรกๆ นักเรียนเจ็บท้องอย่างไร้สาเหตุจนต้องนำส่งโรงพยาบาล หรือเดินละเมอออกมาจากที่พักจนครูช่วยกันตามหาจนเจอ หรือไม่ก็มีการทะเลาะวิวาทกันจนครูใหญ่ต้องสั่งให้กลับบ้านไปก่อนทั้งคู่ หากก็ไม่ได้ทำให้ฉันระแวงเท่ากับวันที่สี่ของกิจกรรม เมื่อนักเรียนมอต้นคนหนึ่งเดินเข้ามาหาด้วยสีหน้าวิตกกังวล เมื่อถามนักเรียนคนนั้นก็เล่าให้ฟังว่า…

“… เมื่อคืนผมนอนไม่ค่อยหลับเลยจนถึงช่วงเช้ามืด จึงตื่นออกมาล้างหน้าและเดินไปที่ริมบึง กลางหมอกตอนเช้า ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งนุ่งผ้าสีดำนั่งเรืออยู่กลางบึงเหมือนกำลังหาปลาอยู่จึงไม่ได้คิดอะไร แต่พอสักพักหนึ่งที่ผมหันไปมองบนดอยพอหันกลับมาอีกที ชายคนนั้นก็หายไปแล้ว รวดเร็วมากจนผมตกใจ ถ้าเขาพายขึ้นฝั่งก็ไม่น่าจะเร็วขนาดนี้ ผมว่าต้องเป็น ผี แน่นอน!”

คุณพระช่วย! ทั้งที่ใจเต้นโครมคราม ฉันได้แต่พูดปลอบให้นักเรียนสบายใจขึ้นจนกลับไปที่พัก และห้ามพูดให้ใครฟัง  ฉันรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเมื่อนึกถึงความฝันของตนเองในคืนก่อน และแล้วเหตุการณ์ที่หวั่นกลัวอยู่ก็เกิดขึ้นจนได้!

ช่วงประมาณบ่ายสี่โมงของกิจกรรมวันที่สี่ หลังจากกิจกรรมเลิก ฉันและเพื่อนครูคนอื่นๆ ออกไปนั่งพักคลายเหนื่อยใต้ร่มไม้ นั่งพักยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงดีก็มีเด็กนักเรียนวิ่งกระหืดกระหอบหน้าตาตื่นมาหลายคนพร้อมตะโกนว่า

“ครูครับ! พี่มอห้าจมน้ำ ไปช่วยด้วยครับ!” เท่านั้นเอง ครูทุกคนที่อยู่ตรงนั้นก็ทะลึ่งตัวพรวดลุกขึ้นทันที พากันกระโจนวิ่งไปตามทางที่นักเรียนคนนั้นชี้บอก เมื่อฉันวิ่งตามออกมาถึงริมบึงมองไปที่ฝั่งตรงข้ามก็ถึงกับเข่าอ่อน ภาพที่เห็นใต้ร่มไทรใหญ่ต้นนั้น ฉันเห็นนักเรียนสี่ห้าคนกำลังลากร่างของนักเรียนคนหนึ่งขึ้นไปบนฝั่ง โดยมีครูผู้ชายอีกคนซึ่งวิ่งไปถึงก่อนแล้วช่วยกันแก้ไขสุดชีวิตเพื่อทำให้เด็กนักเรียนฟื้นขึ้นมาให้ได้

ฉันตะโกนบอกให้ครูอีกคนรีบเอารถออกไปและวิ่งสุดแรงเกิดเท่าที่จะวิ่งได้ จำได้ดีว่าฉันตกใจมาก น้ำตาไหลออกมาเต็มหน้าทั้งสั่นทั้งกลัวไปหมด วิ่งลัดพงป่าริมบึงไปจนถึงก็พบกับสภาพนักเรียนที่จมน้ำเนื้อตัวขาวซีด และมีโคลนตมติดอยู่ตามร่างกาย ครูที่กำลังผายปอดช่วยชีวิตอยู่ตะโกนว่า “ไม่หายใจ ไม่หายใจแล้ว…รถมาถึงหรือยัง!“

กว่ารถครูจะวิ่งอ้อมมาถึง จนกระทั่งขับบึ่งออกไปถึงโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดก็สายเกินไปเสียแล้ว! เราได้สูญเสียชีวิตของนักเรียนคนหนึ่งให้แก่บึงร้างแห่งนั้นไปจนได้!

ระหว่างที่รอฟังข่าวความเป็นความตายอยู่นั้น ฉัน ถือธูปเก้าดอกไปจุดและปักลงริมบึงตามความเชื่อของตน กล่าวขอชีวิตนักเรียนคืนกลับมาและบนไว้ว่า… .

“ถ้าได้ปล่อยชีวิตเด็กกลับคืนมาให้จริงๆ ลูกจะทำบุญเลี้ยงพระอุทิศส่วนกุศลไปให้ จะถวายมาลัยร้อยพวง ธูปเทียนของหอมอย่างละร้อยชุด! ” หากทว่า คำขอของฉันไร้ผลจึงมองเห็นเพียงผืนน้ำสีขุ่นอันกว้างใหญ่และสงบนิ่ง สะท้อนภาพดอยสูงและต้นไทรใหญ่อันมืดครึ้มริมบึงฝั่งโน้นท่ามกลางแสงสนธยาอันเริ่มสลัวลาง!

หนึ่งเดือนผ่านไปหลังจากจัดงานฌาปนกิจศพนักเรียนเสร็จ ฉันได้กลับไปที่นั้นอีกครั้ง เพื่อไปถวายของแก้บนตามที่ได้ปักธูปบนไว้ และก็ได้ทราบเหตุการณ์ระทึกขวัญก่อนหน้านั้นจากปากหลวงตาและจากผู้คนที่อยู่แถบนั้นว่า…

“ดินแดนแถบนี้เคยเป็นเวียงลัวะเก่า แนวสันกำแพงยังปรากฏเป็นคันคูอยู่โดยรอบ  และบึงอยู่คู่เวียงนี้มานับนานหลายร้อยปี เจ้าของเวียงร้างน่าจะยังคงหวงแหนสถานที่แห่งนี้อยู่  จึงปรากฏว่ามีคนเอาชีวิตมาตายทิ้งที่นี่เรื่อยมา บางคนลงมาหาปลาแล้วจมน้ำตายพบศพบ้างไม่พบศพบ้าง หรือบางปีมีเด็กๆ แอบพากันมาเล่นน้ำจนจมตายไปก็มี และศาลพระภูมิที่เห็นใต้ต้นไทรใหญ่นั้น ก็เกิดจากญาติผู้ตายนำมาตั้งไว้เพื่ออุทิศให้ผู้ที่สังเวยชีวิตให้บึงแห่งนี้นั่นเอง!”

ฉันถามนักเรียนที่พากันแอบหนีไปเล่นน้ำกับผู้ตายในวันนั้น ทุกคนต่างตอบว่า… รู้สึกเหมือนฝันไป ราวกับว่ามีอะไรบางอย่างมาดลใจให้กล้าแอบชวนกันออกไปเล่นน้ำโดยไม่กลัวครูลงโทษเลย และในขณะที่เล่นน้ำอยู่นั้น เหมือนมีมือมาดึงกระชากขาให้ลงไปใต้น้ำจึงตะโกนบอกกันให้รีบขึ้นฝั่ง ต่างคนต่างว่ายน้ำตะเกียกตะกายขึ้นฝั่ง แล้วพบว่าเพื่อนหายไปหนึ่งคน นักเรียนคนที่ได้สติที่สุดวิ่งไปคว้าเอาลำไม้ไผ่ที่มีคนนำมาปักไว้ตรงนั้น แล้วพุ่งมันลงไปในน้ำตรงที่เพื่อนอีกคนบอกว่าเขาเตะขาไปถูกตัวเพื่อนคนนั้นขณะที่ว่ายขึ้นมา แล้วกระโจนลงน้ำเกาะลำไม้ไผ่มุดลงไปจนคว้าถูกขาคนจึงลากขึ้นมาเหนือน้ำจังหวะพอดีกับเพื่อนและครูที่ลงมาช่วยรับขึ้นฝั่งไป

แต่ที่ทำให้ช็อกมากที่สุดก็คือ มีคนไปหาร่างทรงเพื่อถามหาเหตุที่เอาชีวิตเด็กไป ผีที่มาสิงร่างทรงนั้นบอกว่า “คนพวกนี้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง พูดจาลบหลู่มัน มันจะให้อภัยก็ต่อเมื่อได้กินไก่เหลืองคู่หนึ่ง!”

“ไก่เหลืองคู่หนึ่ง! คุณพระช่วย!” ฉันอุทาน ขนหัวลุกจนถึงบัดนี้ เพราะโรงเรียนที่ฉันสอนอยู่มีนักเรียนทั้งหมดเป็นสามเณร “ไก่เหลืองคู่หนึ่ง” ถูกมันกินไปแล้วหนึ่งตัว!

แล้วที่เหลืออีกตัวล่ะ? จะเป็นใคร!

 

Don`t copy text!