กำแพงขาวดำในเมืองสนธยา

กำแพงขาวดำในเมืองสนธยา

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

หากจะสืบค้นว่าความเกลียดชังระหว่างสีผิวในอเมริกาเกิดขึ้นเมื่อไหร่ คงต้องวกกลับไปสู่จุดที่มีการจับทาสผิวดำจากแอฟริกามาเป็นทาสโน่นเลยนั่นแหละ

ทาสผิวดำถูกจับล่ามโซ่ลงเรือเดินทางจนถึงศูนย์กลางการค้าทาสเพื่อนำออกประมูล เมื่อมีคนซื้อ ก็ ประทับตราตามเนื้อตัวของทาสเหล่านั้นเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ แล้วนำตัวไปทำงานในไร่ขนาดใหญ่ ส่วนมากไร่เหล่านี้กระจายตัวอยู่ในรัฐทางใต้ของอเมริกา

สมัยนั้นชาวอเมริกันในรัฐทางใต้มองว่าการค้าทาสเป็นเรื่องธรรมดา เนื่องจากเป็นยุคขยายอาณานิคม ทาสเป็นแรงงานสำคัญในการสร้างผลผลิต จึงไม่ได้ถูกมองอย่างให้ค่าในฐานะ ‘มนุษย์’ แต่เป็นสิ่งที่สามารถซื้อขายหรือยกให้ใครก็ได้  จึงถูกกดขี่จากเจ้าของไร่อย่างทารุณเรื่อยมา

ต่อมารัฐทางตอนเหนือกับรัฐทางตอนใต้ทำสงครามกลางเมือง สิ้นสุดลงด้วยการที่รัฐทางเหนือเป็นฝ่ายชนะ ทำให้ทาสผิวดำได้รับการปลดปล่อย เกิดการยอมรับในสิทธิประชาชนของคนผิวดำว่าเท่าเทียมกับคนผิวขาวเป็นหนแรก แต่คิดหรือว่าคนในรัฐฝ่ายใต้ซึ่งก่อนสงครามมีสถานภาพเป็นเจ้านายใช้งานทาสผิวดำมานาน จะยอมรับความพ่ายแพ้

หลังสงครามกลางเมือง รัฐบาลกลางพยายามฟื้นฟูประเทศ โดยนำรัฐทางใต้ผนวกเข้าเป็นสหรัฐอเมริกาอีกครั้งด้วยความมุ่งหวังให้กลมเกลียว มีการออกกฎหมายเพื่อให้สิทธิเสรีภาพแก่ทาสผิวดำในฐานะพลเมืองอเมริกันเท่าเทียมกับคนผิวขาว

สภาคองเกรสผ่านร่างกฎหมายออกมาเป็นบทบัญญัติรัฐธรรมนูญข้อที่ 14 (Fourteenth Amendment) ในปี ค.ศ. 1868 ใจความสำคัญคือการให้สิทธิเสรีภาพแก่ชาวผิวดำเป็นพลเมืองอเมริกัน บังคับให้รัฐทางใต้ยอมรับบทบัญญัติข้อนี้เข้าไปในธรรมนูญ   ถ้าไม่ทำตามจะไม่รับกลับเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับสหรัฐอเมริกา

แต่รัฐทางใต้นั้นกลับใช้กฎหมายฉบับหนึ่งในการลิดรอนสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำ กฎหมายฉบับนี้เรียกว่ากฎหมายคนผิวดำ (Black Codes)  ในปี ค.ศ. 1860 คนผิวขาวทั้งหมดในรัฐที่มีทาสมีประมาณแปดล้านคน และมีทาสผิวดำถึงสี่ล้านคน  สำหรับเจ้าของที่ดินและนายทาสแล้ว ทาสถือเป็นทรัพย์สมบัติอย่างหนึ่ง นายทาสทำทุกอย่างกับทาสของตนได้ทั้งสิ้นโดยไม่ผิดกฎหมาย ห้ามพวกทาสเรียนหนังสือ เมื่อแต่งงานก็ไม่มีการรับรองทางกฎหมายใดๆ อีกทั้งห้ามคนผิวขาวแต่งงานกับคนผิวดำด้วย

ผลของการให้สิทธิเสรีภาพแก่คนผิวดำมีสิทธิเท่าเทียมคนผิวขาวสร้างความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวงแก่ชาวอเมริกันรัฐทางใต้ ต่อมาพรรคเดโมแครตยุคนั้นมีอำนาจอีกครั้งในรัฐภาคใต้ จึงออกกฎหมายริดรอนสิทธิเสรีภาพของคนผิวดำอีกครั้งในชื่อกฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws)

หลักของกฎหมายจิมโครว์ (Jim Crow Laws) คือการแบ่งแยกคนผิวขาวและคนผิวดำอย่างชัดเจนเรื่องการใช้บริการสาธารณะและสาธารณูปโภค เช่น การโดยสารรถประจำทาง คนผิวดำต้องไปนั่งข้างหลัง ส่วนคนผิวขาวได้นั่งข้างหน้า หากคนผิวดำได้ที่นั่งแล้วคนผิวขาวขึ้นมาบนรถโดยสาร คนผิวดำจะต้องลุกให้คนผิวขาวนั่ง หรือการใช้ห้องน้ำสาธารณะห้ามใช้ปะปนกัน ก๊อกน้ำดื่มสาธารณะแยกออกจากกันโดยชัดเจน แม้แต่ประตูทางเข้า-ออกของอาคารแต่ละแห่ง

นอกจากนี้ยังมีการออกกฎหมายแบ่งแยกโรงเรียนระหว่างเด็กผิวขาวและผิวดำอีกด้วย ที่สำคัญคือห้ามแต่งงานข้ามสีผิวอย่างเด็ดขาด  กฎหมายจิมโครว์มีผลบังคับใช้มานานหลายสิบปี

รัฐทางใต้มีการแตกหน่อกฎหมายย่อยๆ เพื่อกดดันคนผิวดำอย่างหนัก เช่น การประกาศใช้กฎ Sundown town นั่นคือ เมื่อตะวันตกดินหรือประมาณหกโมงเย็น คนผิวดำห้ามออกนอกบ้านอย่างเด็ดขาด ไม่เช่นนั้นจะถูกตำรวจจับ

กฎ Sundown town หรือเรียกอีกอย่างว่า Gray towns ไม่ได้จำกัดเฉพาะแค่คนผิวดำเท่านั้น ในบางรัฐที่มีคนผิวสีอื่นที่ไม่ใช่ผิวขาวอยู่เป็นจำนวนมาก คนผิวขาวในรัฐเหล่านั้นก็ใช้กฎ Sundown town กับกลุ่มชนผิวสีอื่นเช่นกัน เช่น ในรัฐไอดาโฮ ซึ่งเป็นรัฐที่ปลูกมันฝรั่งมากที่สุด มีพลเมืองเป็นชาวจีนถึงหนึ่งในสาม มีการนำกฎนี้มาใช้ ห้ามคนจีนออกนอกบ้านหลังตะวันตกดิน

ในรัฐโคโลราโด ห้ามเม็กซิกันออกจากบ้านหลังหกโมงเย็น ในรัฐคอนเนตทิคัต มีกฎ ‘Whites Only Within City Limits After Dark’ เฉพาะคนผิวขาวเท่านั้นที่ออกจากบ้านได้ ส่วนรัฐเนวาดาก็จำกัดเสรีภาพของคนญี่ปุ่นในอเมริกาในประวัติศาสตร์ ทั้งหมดนี้คือกฎแห่ง Sundown town

ที่ร้ายไปกว่านั้น มีองค์กรที่เรียกว่า คู คลักซ์ แคลน (Ku Klux Klan – KKK) อันเป็นองค์กรลับ แต่กลับเป็นที่รู้จักทั่วไปในสหรัฐอเมริกา ผู้ก่อตั้งองค์กรแห่งความจงเกลียดจงชังนี้เป็นคนผิวขาว สมาชิกในองค์กรส่วนมากกระจายตัวอยู่ทางใต้ของประเทศ องค์กรนี้มีเเนวคิดเหยียดสีผิวเเบบสุดโต่ง มีจุดประสงค์เพื่อกําจัดคนผิวสี ยิว และคนที่นับถือนิกายโรมันคาทอลิกให้หมดไปจากอเมริกา ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1865 เพื่อจองล้างจองผลาญคนผิวดำเป็นหลัก

ยุคปี ค.ศ. 1930-1970 การเหยียดผิวยังดำรงอยู่  หากคนผิวดำขับรถลงไปทางใต้ จำเป็นจะต้องพกคู่มือเล่มหนึ่งชื่อ ‘The Negro Motorist Green Book’ ซึ่งภายหลังชื่อเรียกเหลือแค่ Green Book ที่มาของสมุดเล่มเขียวมาจากชื่อคนแต่งคือวิกเตอร์ ฮิวโก กรีน เจ้าหน้าที่ส่งพัสดุผิวดำในนิวยอร์ก เนื้อหาภายในเล่มคือการแนะนำที่พัก ร้านอาหาร และปั๊มน้ำมันที่ต้อนรับคนผิวดำ เพื่อให้คนผิวดำที่จะเดินทางในรัฐทางใต้รู้ว่าโรงแรมและร้านอาหารใดต้อนรับและไม่ต้อนรับคนผิวดำ เพื่อหลีกเลี่ยงจากการถูกคนผิวขาวทำร้ายหรือหยามหมิ่น

ในปี 1958 มีคดีที่สั่นสะเทือนเรื่องสิทธิเสรีภาพระหว่างสีผิวอย่างร้ายแรง นั่นคือคดีของคู่สามีภรรยา Loving   ตำรวจบุกจับสามีภรรยาคู่นี้กลางดึก สาดไฟฉายใส่หน้าแล้วฉุดกระชากลากตัวฝ่ายหญิงออกไป พลางตะโกนให้ลุกขึ้น  กล่าวหาว่าทั้งคู่ทำผิดกฎหมายรัฐเวอร์จีเนีย  เพราะภรรยาเป็นหญิงผิวดำ สามีเป็นชายผิวขาว

ทั้งสองต้องขึ้นศาลเพื่อฟังคำตัดสินว่า “พระเจ้าไม่ปรารถนาให้สมสู่ข้ามเผ่าพันธุ์สีผิว” หรือ Anti-Miscegenation Laws กฎหมายห้ามคนผิวขาวสมรสกับคนผิวสีอื่น  และไม่รับรองว่าถูกต้องตามกฎหมาย อันเป็นผลจากกฎหมายทาส ซึ่งถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่ปี 1865

ผู้พิพากษาตัดสินโทษจำคุกทั้งคู่หนึ่งปี ห้ามกลับมาในรัฐเวอร์จิเนีย 25 ปี ต่อมาใน ปี 1967 คดีฟ้องร้องของเลิฟวิงกับรัฐเวอร์จิเนียไปถึงศาลสูงสุดของสหรัฐอเมริกา เมื่อถูกถาม ฝ่ายสามีก็ตอบซื่อๆ ว่า ทั้งหมดนี้เพราะผมรักเมียผม ทั้งคู่ชนะคดีและมีผลให้ยกเลิกกฎหมาย Anti-Miscegenation Laws เพราะขัดต่อรัฐธรรมนูญ

ใครที่ดูหนังฮอลลีวูดจนเข้าเส้น มักคิดว่าการเหยียดสีผิวหมดไปแล้วจากอเมริกา เพราะถูกทำให้เชื่อว่าทุกคนเท่าเทียมกัน นั่นเป็นภาพลวงตาชาวโลกมาแสนนาน ความเป็นจริงคือการเหยียดผิวยังคงอยู่ในสังคมอเมริกา เพียงแต่ถูกซุกไว้ใต้พรมเท่านั้นเอง

 

Don`t copy text!