เพื่อนบ้านแสนบันเทิง

เพื่อนบ้านแสนบันเทิง

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

การมีบ้านเป็นของตัวเองคือความฝันของคนทั้งโลก โดยเฉพาะคนวัยทำงาน ที่พอทำงานได้สักพัก หากไม่รักเที่ยวเหนี่ยวเต็มจนเกินไป มักตั้งหน้าตั้งตาเก็บหอมรอมริบ เพื่อจะผ่อนบ้านสักหลัง รถสักคัน เติมเต็มด้วยสามีหรือภรรยา (ถ้าโชคดีหาได้) บางคนฝันอยากมีลูกน้อยน่ารัก    เรื่องพวกนี้ถือเป็นความฝันพื้นฐานของมนุษย์ทุกคนจริงๆ

นิยามคำว่า “บ้าน” สำหรับอเมริกันแตกต่างจากคนไทย    อเมริกันขี้เบื่อ ซื้อขายย้ายบ้านเป็นว่าเล่น  ชั่วชีวิตชาวอเมริกันย้ายบ้านไม่ต่ำกว่า 2-3 หน  และเหตุผลการย้ายบ้านของมะริกันแตกต่างจากคนไทย

บางคนขายบ้านหลังเดิม ย้ายไปซื้อบ้านหลังใหม่ในโซนที่มีโรงเรียนดีๆ  อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนรัฐบาลบางแห่งซึ่งไม่ค่อยมีเด็กผิวดำมากนัก  คนที่ไม่มีเงินถุงเงินถังมั่งมีพอที่จะส่งลูกไปเรียนโรงเรียนเอกชนแพงๆ มักใช้วิธีนี้   ลงทุนขายบ้านเก่าไปซื้อบ้านใหม่ในย่านโรงเรียนนั้นกันเลย

เพื่อนฉันคนหนึ่งเป็นพวกรสนิยมสูง รายได้ปานกลาง ทำงานเป็นบรรณารักษ์ห้องสมุด อยากให้ลูกเรียนโรงเรียนเอกชนแพงๆ แต่ไม่มีเงิน เลยย้ายบ้านตามช่วงอายุของลูก เพราะต้องการโรงเรียนในย่านอื่นที่เลือกแล้วว่า “ดี”

แม้ปัจจุบันจะมีการคละเด็กนักเรียน โดยให้เรียนปนกันหมด ทั้งเชื้อชาติและสีผิวทุกโรงเรียนทุกรัฐ แต่โรงเรียนบางโซนมีนักเรียนผิวขาวมากกว่านักเรียนผิวดำ  เพราะตั้งอยู่ในย่านที่มีแต่คนผิวขาวอยู่ ไม่มีคนผิวดำอาศัยอยู่เลย  ย่านแบบนี้ฝรั่งเรียก “ไวท์ ลิลลี่” หรือ “ย่านดอกลิลลี่ขาว”  โรงเรียนที่ว่านี่แหละที่พ่อแม่ต้องการมากที่สุด    เพราะเชื่อกันว่าโรงเรียนในโซนที่อยู่อาศัยของคนผิวดำ  เป็นโรงเรียนที่ด้อยคุณภาพกว่าโรงเรียนอื่น

นอกจากนี้คนอเมริกันยังย้ายบ้านเพราะอากาศ   เบื่อความหนาวเย็นจนไข่แข็งในรัฐตัวเอง อยากจะไปเจอแสงแดดเจิดจ้าในรัฐทางใต้บ้าง  ก็ขายบ้านแล้วไปหางานทำรัฐอื่น บางคนเบื่อดูแลบ้านหรือคู่ชีวิตล้มหายตายจาก  ลูกๆ โตแล้วไปทำงานที่อื่น นานๆ ถึงกลับมาเยี่ยมสักหน  เลยย้ายไปอยู่อพาทเมนต์หรือบ้านพักคนชราซึ่งมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบหมด  เรียกว่ายกกระเป๋าเข้าไปอยู่ได้ทันที  ด้วยเหตุทั้งหลายทั้งปวงที่ว่า คนอเมริกันถึงย้ายบ้านกันเป็นว่าเล่นเพื่อให้เหมาะสมสอดคล้องกับสภาพชีวิตปัจจุบัน

ในอเมริกามีการแบ่งโซนว่าย่านนี้คนผิวดำอยู่กันเป็นดง หรือโซนนี้พวกเม็กซิกันชอบไปซื้อบ้านอยู่ หรือแถวนี้มีแต่ฝรั่งเผือกผ่อง ซึ่งการอยู่อาศัยของคนแต่ละกลุ่มในสังคมอเมริกา มีส่วนในการกำหนดราคาบ้าน  พูดตรงๆ แบบไม่ดัดจริต    แถวไหนที่เต็มไปด้วยบ้านคนผิวดำ ราคาบ้านแถวนั้นจะไม่ค่อยสูงนัก  นี่พูดถึงเมืองเล็กๆ ที่กระจายตัวทั่วอเมริกา ไม่ได้หมายถึงเมืองใหญ่ๆ ที่เป็นมหานครอย่างนิวยอร์ก ชิคาโก หรือแอลเอ

ย่านที่คนผิวขาวอยู่ก็ใช่ว่าราคาจะเท่ากัน ยังมีการแยกย่อยหลายซับหลายซ้อน ว่าขาวแบบกระจอกเงินเดือนน้อย หาเช้ากินค่ำ หรือขาวแบบทำงานนั่งโต๊ะ  สวยหรูดงผู้ดี  พวกที่รายได้น้อยหรือรายได้ปานกลางมักซื้อบ้านย่านเดียวกัน   เพราะราคาบ้านพอผ่อนไหว   ส่วนพวกมีอันจะกินค่อนไปทางรวยจะซื้อบ้านอีกย่านหนึ่ง ไม่ปะปนกัน

ช่วงที่มาอยู่อเมริกาใหม่ๆ เกิดถูกใจบ้านเก่าทรงวิคตอเรียนที่สร้างปีค.ศ. 1888 หรือเทียบปีพ.ศ.ในไทยประมาณรัชกาลที่ห้าหรือ พ.ศ.2431 พื้นถนนหน้าบ้านเป็นอิฐสีแดงสมัยยังใช้รถม้ากันอยู่เลย เห็นบ้านหลังนี้ครั้งแรกก็หลงรักทันทีตามประสาคนชอบของเก่า

ข้อเสียอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้นดันอยู่บนขอบแดนที่แบ่งระหว่างบ้านคนขาวสวยๆ ทรงวิคตอเรียนและสลัมคนดำ      การที่ฉันหลงผิดไปซื้อบ้านวิคตอเรียนอันสะสวย   แต่ดันมีรั้วติดกับบ้านเช่าของคนผิวดำเลยทำให้ได้เห็นอะไรหลายอย่างที่ชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้เห็น

บ้านข้างๆ มีครอบครัวคนดำเช่าอยู่ โดยใช้สวัสดิการของรัฐที่เรียกว่า Section 8   รัฐจะจ่ายเงินให้ครอบครัวรายได้น้อยไว้จ่ายค่าเช่าบ้าน  ฉันไม่รู้แน่ชัดหรอกว่าบ้านนั้นอยู่กี่คนแน่     เท่าที่เห็นคือมีเด็กดำวิ่งกันยั้วเยี้ยไปหมด ประมาณว่าลูกผม ลูกคุณ ลูกเรา    เฉพาะเด็กรวมกันน่าจะประมาณไม่ต่ำกว่าสิบคน ไม่รวมผู้ใหญ่ซึ่งมีคนเข้าๆ ออกๆ ตลอดเวลา จนน่ากลุ้มใจในความพลุกพล่านของบ้านนี้

เราเพิ่งรู้ฤทธิ์การซื้อบ้านย่านเก่าแก่แต่ติดกับบ้านคนดำก็ตอนนี้แหละ แต่ละวันหน้าบ้านและริมถนนข้างบ้านเราเกลื่อนไปด้วยขยะ ห่อขนม บางทีก็ขวดเบียร์แตกๆ อันเกิดจากการเขวี้ยงทิ้งลงมาจากรถจนเกลื่อนทางเท้าไปหมด   บางคืนตกใจตื่นเพราะเสียงแหกปากตะโกนตามมาด้วยเสียงขวดแตกเปรื่องตอนตีสาม

ตอนแรกบ้านที่เราซื้อยังไม่มีรั้วกั้น  ฝูงเด็กดำถือวิสาสะเข้ามาวิ่งเล่นรอบบ้านเราอย่างเสรี แถมยืนจับกลุ่มจ้องฉันที่หน้าต่างครัวด้วย  ทนไม่ไหวต้องออกเงินสร้างรั้วสูงๆ กั้นระหว่างสองบ้าน ส่วนรั้วอีกด้านติดถนน จึงมีรั้วของทางการกั้นเอาไว้แล้ว    กระนั้นยังไม่วายที่ข้าวของหายเป็นประจำ    เผลอทิ้งข้าวของเครื่องใช้ไว้ในรั้วบ้านไม่ได้เป็นอันขาด ไม่งั้นไม่เหลือซาก

โมบายกะลามะพร้าวที่ฉันซื้อมาจากจตุจักร หากคนดำที่เดินป้วนเปี้ยนแถวนั้นนึกอยากได้    จะกระโดดข้ามรั้วเข้ามาปลดไปเฉยๆ แม้เห็นเจ้าของบ้านนั่งกินข้าวอยู่ในบ้าน   ก็ไม่หวาดหวั่นครั่นคร้ามอะไรทั้งนั้น     เรียกว่ากิเลสกูอยู่เหนือความละอายใดๆ ในทุกศาสนา     ดอกไม้กระถางทั้งตั้งและแขวน พ่อเจ้าประคุณขโมยเกลี้ยง  ช่างมุ่งมั่นในการโจรกรรมอย่างเหลือเกิน

เราระอาใจเพื่อนบ้านที่ไม่ทำงานทำการ     แบมือรอเงินสวัสดิการของรัฐ เปิดเพลงดิบๆ หยาบๆ ดังลั่น    ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็ไม่เท่าไหร่หรอก  แต่ดูเหมือนเพื่อนบ้านสร้างปัญหาให้บ้านเราตลอดเวลา  ซึ่งเราได้แต่อดทน..อดทน และอดทน

แล้วศึกวันทรงชัยก็มาถึง ฝูงลูกงูดำปาประทัดเปรี้ยงปร้างเข้ามาในเขตรั้วสนามหน้าบ้านฉัน ซึ่งไอ้รั้วเหล็กสวยๆเนี่ย  ฉันเพิ่งควักเงินส่วนตัวสร้างเพื่อรับมือกับฝูงลูกงูดำโดยเฉพาะ   แรงระเบิดอัดของประทัดทำให้รั้วเหล็กแอ่นไปแถบหนึ่ง  เท่านั้นแหละความอดทนของฉันก็ขาดผึง

ตอนนั้นเป็นช่วงโพล้เพล้พอดี      ฉันนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่แล้วเดินกลับเข้าบ้าน  ไปเปลี่ยนเสื้อเป็นชุดดำยาว ตัวโคร่ง จุดธูปสามดอกแล้วเดินท่องนะโมตัสสะออกมาจากบ้าน ไม่ใช่ว่าเคร่งศาสนาอะไรหรอก แต่คิดว่าพวกลูกงูดำคงฟังภาษาบาลีไม่ออกแน่   ฉันยืนตะคุ่มในความสลัว   พนมมือที่มีธูปสามดอกในมือแล้วสวดมนต์เสียงดังลากเสียงให้ยาวๆ ยานๆ  เข้าไว้

“นัมโมมมม..ตาสสสซา ภาคาวะโต อาราห่าโต ซั๊มมา ซั๊มพุทธ ตาสสสสสซา”

สวดวนไปมาอยู่หลายตลบ พอสวดเสร็จก็หันไปจิกตาใส่เพื่อนบ้านตัวแสบ ที่กำลังนั่งซดเบียร์ราคาถูกอยู่หน้าบ้าน แค่สบตาเท่านั้น ฝูงงูดำเผ่นเข้าบ้านอย่างไม่คิดชีวิต คงนึกว่าอีนางนี่เล่นของชัวร์  เราอยู่บ้านหลังนั้นต่ออีกไม่นานก็ย้ายไปซื้อบ้านหลังใหม่อีกฟากเมือง เพราะเบื่อสู้รบตบมือกับเพื่อนบ้านแบบนี้

 

Don`t copy text!