วิวาห์ฮาเฮ

วิวาห์ฮาเฮ

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

ฉันจัดงานหมั้นเล็กๆ ที่เมืองไทย เชิญคนมาร่วมงานแค่ 25 คนเท่านั้นเอง มีแต่เพื่อนและญาติสนิท จากนั้นหิ้วถุงปุ๋ยบินมาอเมริกา เพื่อแต่งงานตามกฎหมายของที่นี่ กำหนดให้คู่หมั้นต่างชาติต้องแต่งงานภายใน 90 วันตามข้อบังคับของวีซ่าคู่หมั้น งานแต่งงานของเราเป็นงานเล็กๆ กลางสวนสาธารณะช่วงฤดูใบไม้ผลิ แขกในงานเชิญเฉพาะเพื่อนๆ และญาติฝ่ายเจ้าบ่าว

ก่อนจะตัดสินใจหอบผ้าหอบผ่อนหนีตามฝรั่งมานั้น เพื่อนแนะนำร้านตัดชุดแต่งงานแถวบางกะปิ เพราะรู้จักกับช่างเสื้อสาวประเภทสองที่รับตัดชุดเจ้าบ่าวเจ้าสาวในราคากันเอง เราเลยแวะไปคุย ปรากฏว่าไม่แพงตามที่เพื่อนรับประกันไว้จริงๆ รวมค่าผ้าค่าตัดอยู่ในวิสัยที่พอจ่ายได้ ไม่แพงจนบ้าเลือด แต่ก็ไม่กระจอกจนเหมือนเดินห่มผ้าปูเตียงไปออกงาน

ชุดเจ้าสาวของฉันเป็นผ้าไหมสีขาว เพ้นท์มือทั้งตัวเป็นดอกไม้สีชมพูปนม่วงหวานแหวว คว้านคอลึกจนนมแทบทะลักออกมาทั้งยวง ต้องบอกให้แก้ไขโดยด่วน เพราะกลัวว่าบาทหลวงจะไม่เป็นอันประกอบพิธี เพื่อนสนิทมองชุดเจ้าสาวทีหนึ่ง แล้วมองหน้าฉัน พลางออกความเห็นว่า

“หนังหน้าอย่างแกควรจะนุ่งผ้าถุงนะ ไม่คู่ควรกับชุดสวยๆ เพนต์ดอกไม้หวานๆ นี่หรอก”

ส่วนชุดของว่าที่สามีเป็นชุดเสื้อคอราชปะแตนหรือคนอเมริกันเรียกว่า ‘ชุดของเนห์รู’ มีผ้าไหมไทยพาดบ่าเก๋ไก๋สวยงาม ตามมาตรฐานเจ้าบ่าวฝรั่งที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปตามร้านถ่ายรูปทั่วราชอาณาจักร แถมเจ้าของร้านแอบปิ๊งว่าที่สามีด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ คงเห็นว่าหน้าตาดูซื่อบื้อเหมือนหมาน้อยที่คอยกระดิกหางรัวๆ เลยนึกเอ็นดู ลดแลกแจกแถมเนกไทไหมสีทอง พร้อมเพนต์ภาพขนหางนกยูงวะวาวเลื่อมลายพร้อมชื่อนามสกุลของว่าที่สามีให้ฟรีๆ แถมยิ้มสะบัดสะบิ้งใส่ฝรั่งจนนมปลอมกระเด้ง

ในงานแต่งงานแบบฝรั่ง จะมีเด็กสองคนถือตะกร้าดอกไม้และกล่องใส่แหวนเดินนำหน้า แต่งานแต่งงานของฉันไม่มีญาติฝั่งสามีคนไหนเป็นเด็กแม้แต่คนเดียว สุดท้ายให้เพื่อนสนิทสามีผู้บินตรงมาจากแอลเอเป็นคนถือกล่องใส่แหวนให้ ทั้งๆ ที่หน้าตาแก่แรด ขนยุ่บยั่บรกหนวดเคราเหมือนลิงอุรังอุตังวัยดึก แต่พวกเราต้องพยายามจินตนาการว่านั่นคือเด็กชายตัวน้อยๆ น่าเอ็นดูผู้ถือแหวนมงคลให้เรา

เฮียดำลง เพื่อนผิวสีทำหน้าที่เพื่อนเจ้าบ่าวคนสนิทขับรถมารับ โดยมีอุรังอุตังเฒ่า เพื่อนสามีที่ลงทุนบินไกลมาจากลอสแองเจลลิสเกาะติดล้อซ้ายไปด้วย เพราะทำหน้าที่เป็นเด็กถือกล่องแหวน

พอรถจอดกึก ทั้งเจ้าบ่าวเจ้าสาว เฮียดำลงและไอ้อุรังอุตังตะกายลงจากรถ ฉันนึกยังไงไม่รู้บอกให้ไอ้อุรังอุตังเปิดกล่อง เช็คดูว่าแหวนยังอยู่หรือเปล่า เพราะระหว่างทางที่นั่งรถมาด้วยกัน ฉันเห็นมันครางหงิงๆ เหมือนลิงหิวกล้วย พลางเขย่ากล่องแหวนเป็นจังหวะอย่างครื้มอกครื้มใจ พออุรังอุตังเฒ่าเปิดกล่องเท่านั้นแหละ หัวใจแทบจะหล่นฮวบไปกองปลายตีน หะ… หะ… หายไปไหนแล้ว แหวนทองทั้งสองวง… แล้วทั้งสี่หน่อก็ช่วยกันควานหาแหวนจ้าละหวั่นปนขวัญเสีย ขณะที่บาทหลวงและพระญาติทั้งหลายยืนบ่นพึมพำได้ยินมาแต่ไกล สุดท้ายเจอแหวนทั้งสองวงบนพื้นรถ เปื้อนฝุ่นหมองจนน่าทุเรศ ทั้งนี้ต้องคาดโทษไอ้อุรังอุตังคนเดียวที่ทำให้วุ่นวายไปหมด

หลังจากหอบแฮ่กๆ เป็นหมาหอบแดดอยู่พักใหญ่ ก็ได้เวลาประกอบพิธี เริ่มด้วยการที่เฮียดำลงและพี่สาวสามีเดินนำหน้าเจ้าบ่าวเจ้าสาว ตามมาด้วยอุรังอุตังเฒ่าถือกล่องแหวนหน้าระรื่นตามมาติดๆ เดินแบบไม่มีเสียงเปียโนหวานๆ ประกอบเหมือนคู่อื่นๆ มีแต่เสียงนกเสียงกาและเสียงหมาเห่าประกอบฉากเป็นระยะๆ เท่านั้น

ผู้ประกอบพิธีถามไปเรื่อยๆ ฉันซึ่งท่องคำปฎิญาณแต่งงานมาแบบเลอะๆ เลือนๆ ตอบแบบล่องลอยเต็มที คำปฎิญาณตอนหนึ่งนั้นต้องบอกว่า จะดูแลกันและกันทั้งในยามสุขและทุกข์ คือ ทั้ง good times (ยามสุข) and in bad (ยามทุกข์)

ด้วยความเบลอที่อดนอน ฉันพูดเสียงดังลั่นว่า จะดูแลกันและกันทั้งในยามสุขและบนเตียง หรือ good times and in bed! เล่นเอาทั้งเจ้าบ่าวและญาติเจ้าบ่าว รวมทั้งผู้ประกอบพิธีหัวเราะลั่น ส่วนฉันทำหน้าเอ๋อๆ เพราะซื่อบื้อ ตามไม่ทันว่าตัวเองพูดผิดจนความหมายวิบัติ จนกระทั่งสามีก้มลงกระซิบนั่นแหละ ฉันหัวเราะแหะๆ พลางนึกแก้ตัวในใจว่า

“ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาแม่นี่หว่า ก็ต้องมีพลาดมั่งสิ”

ผู้ประกอบพิธีถามต่อว่า

“ยูจะรับนางคนนี้เป็นภรรยาของยูหรือไม่”

สามีนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบเสียงหวาดๆ ว่า

“ไอดู” หรือ “ยอมรับครับ”

จากนั้นผู้ประกอบพิธีก็หันมาถามฉันบ้างว่า

“คุณจะยอมรับชายคนนี้เป็นสามีหรือไม่”

ฉันลนลานตอบปากคอสั่นทันใดว่า

“รับจ้ะ… รับ”

ที่ต้องรีบร้อนตอบไปดังๆ เพราะกลัวเจ้าบ่าวเปลี่ยนใจ หนีไปบวชชายแดนเขมรเสียก่อน เลยต้องรีบมัดเอาไว้ด้วยพิธีกรรมเปลาะหนึ่งให้มั่นใจ

นาทีนั้นเองอยู่ๆ น้ำตาเจ้ากรรมก็ไหลพราก ด้วยสำนึกว่าตนนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างถึกและบึกบึนปานแรดดงมานาน สุดท้ายก็มีสามีเป็นของตัวเอง… เมดอินยูเอสเอเสียด้วย แต่พอนึกอีกทีเริ่มเสียขวัญว่าความโสดแสบซ่าที่สะสมแต้มมานานถึงสามสิบปีต้องปิดฉากลงในวันนี้ น้ำตาเลยไหลไม่หยุดฉุดไม่อยู่ หันไปจ้องสามีเห็นน้ำตาคลอๆ เหมือนกัน แต่คาดว่าน้ำตาตกเพราะความหวาดกลัว ในการอ้าแขนรับเมียปัญญาอ่อนเข้ามาไว้ในชายคาบ้านตลอดชีวิต ขณะที่กำลังเหม่อมองต้นไม้ใบหญ้าและขี้หมารอบๆ อยู่นั้น ผู้ประกอบพิธีก็ประกาศว่า

“ท่านทั้งหลาย ขอแนะนำนายและนาง (ตามด้วยนามสกุลของฝ่ายชาย) เอ้า… จูบเจ้าสาวได้”

จากนั้นเป็นรายการบันเทิงและอาหารการกิน เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปจดทะเบียนสมรสที่ศาลาว่าการในเมืองซึ่งอยู่ไม่ไกลนัก มีผลให้นางฮิปปี้เร่ร่อนจากเมืองไทย กลายสภาพเป็นมิสซิสอย่างสมบูรณ์แบบ แอบรำพึงกับตัวเองว่าชีวิตคนเราเหมือนการเดินทางบนเส้นทางอันคลุมเครือจริงๆ ไม่มีใครรู้หรอกว่าชีวิตจะเหวี่ยงเราไปสู่จุดไหน เพราะตัวเองไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องมาตกระกำลำบากบนแผ่นดินแปลกหน้าในฐานะเมียอเมริกัน

 

Don`t copy text!