วิญญาณหลอนกลางสนามรบ

วิญญาณหลอนกลางสนามรบ

โดย : เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้

Loading

“อเมริกันคัน” เรื่องราวเกี่ยวกับอเมริกาในบางแง่มุมในอเมริกาที่หลายคนไม่เคยรู้หรือเคยรับรู้มาบ้าง แต่อาจมองไม่เห็นภาพรวมชัดเจน เจริญขวัญ แพรกทอง บลาฮาสสกี้ เจ้าของคอลัมน์ที่เขียนลงในต่วยตูนมาถึง 10 ปี นำมาเขียนเล่าสู่กันฟังแบบสนุกๆ เหมือนการเล่าให้เพื่อนฟัง โดยคงบุคลิก “ต่วยตูน” ดั้งเดิมเอาไว้คือสาระและบันเทิง

 

ก่อนที่อเมริกาจะกลายมาเป็นประเทศอย่างทุกวันนี้ แรกเริ่มเดิมทีมีสภาพเป็นเพียงอาณานิคมเล็กๆ ที่กระจายตัวหลวมๆ  ตามชายฝั่งตะวันออกของประเทศเรียกว่า  “สิบสามอาณานิคม”  ต่อมาจอร์จ วอชิงตันนำกองกำลังเข้าตะลุมบอนกับทหารอังกฤษ  แล้วประกาศอิสรภาพในวันที่ 4 กรกฎาคม คศ. 1776

จากนั้นดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรก ส่วนอาณานิคมทั้งสิบสามแห่งได้เลื่อนขั้นขึ้นเป็น 13 รัฐแรกในอเมริกา โดยแบ่งเป็นรัฐที่ห้ามค้าทาสหรือรัฐเสรีจำนวน 5 รัฐ รัฐที่อนุญาตให้ค้าทาสได้มีอยู่ 8 รัฐ ซึ่ง 8 รัฐที่มีการค้าทาสนี้เรียกว่ารัฐทาส ซึ่งต่อมาเกิดปัญหาเรื่องการค้าทาส  จนขยายวงกลายเป็นสงครามกลางเมืองในเวลาต่อมา

สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้นเมื่อวันที่ 12 เมษายน ค.ศ. 1861 หลังจากรบกันดุเดือด ผลัดกันแพ้ชนะทั้งสองฝ่าย วันแตกหักก็มาถึงในปี คศ 1863 ที่เมืองเล็กๆ ชื่อเก็ตตี้สเบิร์ก ในรัฐเพนซิลวาเนีย และสถานที่แห่งนี้กลายเป็นแหล่งประวัติศาสตร์สำคัญของอเมริกาในเวลาต่อมา

สมรภูมิแห่งเก็ตตี้สเบิร์กกินเวลา 3 วันเต็มๆ ทุกตารางนิ้วในเมืองเต็มไปด้วยซากศพ ชุ่มเลือดแดงฉานทุกหย่อมหญ้า การปะทะเริ่มต้นขึ้นในวันที่ 1 กรกฎาคม คศ 1863  จนถึงวันที่ 3 ซึ่งเป็นวันแตกหัก ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 53,000 นาย มีผู้บาดเจ็บและสูญหายมากมาย

เก็ตตี้สเบิร์กเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยหลุมฝังศพขนาดยักษ์ เพราะไม่อาจจะระบุได้ว่าทหารที่ตายเป็นใครและฝ่ายไหน จากการสู้รบอันโชกเลือดตลอดสามวันส่งผลให้เมืองนี้เป็นเมืองที่ร่ำลือว่าเฮี้ยนสุดๆ ชาวเมืองมักเจอสิ่งประหลาดเหนือธรรมชาติในบริเวณที่เคยเป็นสมรภูมิรบอยู่ตลอดเวลา จึงกลายเป็นสถานที่ท้าพิสูจน์สิ่งลี้ลับทางวิญญาณจนถึงปัจจุบัน

แม้ว่าสงครามในสมรภูมิเก็ตตี้สเบิร์กจบลง แต่ยังมีผู้พบเห็นวิญญาณทหารทั้งสองฝ่ายในสมรภูมิแห่งนี้เสมอ  พี่น้องคู่หนึ่งที่มีชีวิตร่วมสมัยในสงครามกลางเมืองเขียนบันทึกบอกเล่าว่าเคยเห็นภาพของกองทหารม้าฝ่ายสมาพันธรัฐหรือรัฐฝ่ายใต้ควบตะบึงผ่านหน้าไป โดยที่ไม่มีเสียงฝีเท้าม้า หรือแม้แต่ฝุ่นตลบขึ้นมา

ตลอดระยะเวลายาวนาน มีการรายงานเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติหลายร้อยครั้ง ชาวเมืองเห็นคนแต่งกายด้วยเครื่องแบบทหารฝ่ายใต้เพียงครึ่งท่อนจ้องเขม็งมาที่ตน จากนั้นก็หายตัวไป แม้ว่าในปัจุบันสนามหญ้าอันเป็นสมรภูมิรบจะมองดูว่างเปล่า แต่ชาวเมืองและผู้ที่เคยแวะมาเยือนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าวิญญาณอันไม่สงบของทหารทั้งสองฝ่ายยังคงอยู่ที่นี่

คาโรล สตาร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งลี้ลับเหนือธรรมชาติและเป็นชาวเมืองเก็ตตี้สเบิร์กออกไปดินเล่นกับเพื่อนบริเวณชายป่าอันเคยเป็นสมรภูมิรบในค่ำคืนหนึ่ง  ทันใดนั้นทั้งคู่ได้ยินเสียงแตรทหาร แต่ที่น่าตกใจคือเมื่อมองไปทางต้นเสียง  เห็นกลุ่มควันสีขาวค่อยๆ แปรเป็นรูปร่างมนุษย์แล้วก้าวเข้ามาหาเธอกับเพื่อน  จากนั้นหายวับไปต่อหน้า

ปรากฎการณ์แปลกๆ เหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลาในเมืองเล็กๆ แห่งนี้  เคน เกียร์ฮาร์ท มัคคุเทศน์ประจำเมืองเล่าถึงประสบการณ์แปลกๆ ของตนเองให้ฟังว่า

“ผมใส่ชุดทหารฝ่ายใต้ เดินไปยังสมรภูมิรบกับเพื่อนหญิงสองคน  หนึ่งในนั้นนึกสนุกแนะว่าคงจะดีหากเล่นเพลงประจำกองทัพทางใต้หรือที่เรียกว่าดิ๊กซี่ด้วยหีบเพลงปากที่นำติดมาด้วย ผมเลยเริ่มเป่าเพลงดิ๊กซี่”

ทันใดนั้น เคนรู้สึกเหมือนมีระเบิดและกระสุนปืนพุ่งทะลุท้อง แม้จะมองเห็นว่าไม่มีอะไร แต่เคนถึงกับทรุดฮวบด้วยความเจ็บปวด เพื่อนหญิงทั้งสองคนรีบเข้ามาพยุงพาออกจากสนามทันที แต่นาทีนั้นเอง เคนได้ยินเสียงหนึ่งพูดด้วยสำเนียงแบบคนรัฐทางเหนือว่า

“แกรู้ว่าสิ่งที่แกทำนั้นผิด แต่แกก็ยังทำ อย่ากลับมาอีกนะ”

นักพิสูจน์สิ่งลี้ลับให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า อาจจะเป็นเพราะทหารจำนวนห้าหมื่นนายถูกฆ่าตลอดสามวันในสมรภูมิแห่งนี้ วิญญาณจึงสิงสถิตอยู่ที่นี่มาจนปัจจุบัน เพราะทุกรายเสียชีวิตลงอย่างน่าสยดสยองและไม่ทันตั้งตัว ทหารเหล่านี้ติดอยู่กับสัญญาว่าต้องต่อสู้กันไปจนกาลปวสาน เมื่อเสียชีวิตแล้วจึงไม่ยอมไปไหน แต่ยังวนเวียนอยู่ ณ ที่ซึ่งตนล้มตายลง

Battle of Gettysburg

ลอรี่  ฮอลล์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งลี้ลับใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์ ระหว่างที่เดินอยู่ในสมรภูมิรบยามราตรี  อัดเสียงลึกลับเสียงหนึ่งได้ ทั้งที่ไม่มีใครอยู่ในละแลกนั้นเลยแม้แต่คนเดียว เสียงนั้นกล่าวว่า

“ข้าจะยิงแก”

แต่เรื่องลึกลับเหนือธรรมชาติที่เก็ตตี้สเบิร์กไม่ได้จำกัดเพียงแค่ในสมรภูมิรบเท่านั้น  ยังมีสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่เฮี้ยนไม่แพ้กันคือพิพิธภัณฑ์ประจำเมือง ซึ่งเคยเป็นบ้านเด็กกำพร้าในช่วงปี คศ.1866-1877 แต่ระยะเวลาสิบปีในบ้านเด็กกำพร้าแห่งนี้คือ 10 ปีในนรกสำหรับเด็กกำพร้าทุกคนในเวลานั้นเลยทีเดียว

ผู้ที่แวะมาเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์มักรู้สึกเหมือนว่ามีใครกำลังจ้องมอง บางครั้งถูกสัมผัสจับต้องตามตัว หรือถูกผลักจากข้างหลัง ผู้ที่แวะมาเยือนพิพิธภัณฑ์แห่งนี้มักนำของเล่นติดมือมาด้วย แล้ววางเอาไว้ให้เป็นของขวัญแก่วิญญาณเด็กที่เสียชีวิต น่าแปลกที่ว่าตุ๊กตาที่นำมาวางเหมือนมีใครมาดึงแขนขาหรือทำลายให้เสียหายทุกชิ้น   บ่อยครั้งที่ของเล่นเคลื่อนที่ได้เองหรือหนังสือถูกโยนลงมาจากชั้นวาง ราวทั้งเหรียญเงินที่ขยับเขยื้อนและหมุนเองได้

มีบ้านอีกหลังหนึ่งไม่ไกลจากพิพิธภัณฑ์นัก บ้านหลังนี้คือบ้านของเจนนี่ เวดด์ ที่ตกอยู่ระหว่างกลางของการสู้รบ  ขณะที่เจนนี่อบขนมปังอยู่ในครัว  กระสุนจากทหารฝ่ายใต้พุ่งเจาะกลางหลังทะลุหัวใจ   เจนนี่ล้มลงขาดใจตาย  ทหารฝ่ายเหนือรีบวิ่งมาช่วยเหลือ แต่สายไปเสียแล้ว ทหารและสมาชิกในครอบครัวจึงนำร่างไร้วิญญาณของเจนนี่ลงไปยังห้องใต้ดิน ทั้งหมดอยู่ในห้องใต้ดินร่วมกับศพเจนนี่หลายวันจนสงคราม สงบ เคยมีคนทรงหลายคนเข้ามาพิสูจน์ในนี้และอัดเสียงได้ เช่น หนึ่งในคนทรงถามว่า ใครอยู่ในบ้านหลังนี้ มีเสียงตอบกลับมาว่า

“นี่คือเจนนี่ เวดด์”

รายการท้าพิสูจน์สิ่งลี้ลับชื่อดังของอเมริกาคือโกสต์แอดเวนเจอร์เข้าไปพิสูจน์ในบ้านของเจนนี่ เวดด์แล้วได้ผลน่าประหลาดใจมาก  เพราะเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์บันทึกเสียงผู้หญิงในบ้านได้ว่า

“ฉันตั้งครรภ์”

เวลานั้นเจนนี่มีคนรักซึ่งไปรบในสงครามและได้รับบาดเจ็บสาหัส คนรักของเจนนี่ฝากเพื่อนให้นำจดหมายอำลาไปให้ แต่เพื่อนทหารซึ่งสนิทสนมกันดีกับเจนนี่กลับเสียชีวิตกลางทางเพราะการสู้รบ จดหมายลาฉบับนั้นจึงไม่ถึงมือของเจนนี่  ดังนั้นคนรักของเจนนี่จึงไม่รู้ว่าเจนนี่ตั้งครรภ์ จนร้อยกว่าปีต่อมา เจนนี่จึงกระซิบผ่านโลกวิญญาณให้รับรู้

 

Don`t copy text!