บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 10 : เส้นทางของลูกสาว

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

ที่ตลาดท้ายวัง ซึ่งกินบริเวณตั้งแต่หลังวังหลวง ที่บรรดา ‘นักสนมกรมชะแม่เจ้าทังหลาย’ จะพากันเดินออกมาจากพระบรมมหาราชวัง ทางประตูช่องกุด ออกมาซื้อหาข้าวของต้องประสงค์ ทั้งของกินของใช้ ผ้าผ่อนท่อนสไบ ของแต่งตัวสวยงามนานาประดามี ก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งซึ่งนางจำปาจะพาบ่าวและทาสช่วยกันแบกหีบผ้าไหม ลงเรือข้ามฟากมาเปิดขายสินค้าที่มุมเก่าใต้ต้นจันทน์ เยื้องๆ กับวัดพระเชตุพนฯ

ผ้าไหมของจำปานั้น เป็นที่นิยมกันว่างามพิเศษ เป็นสินค้าที่เดินทางมาจากลาว ทั้งหลวงพระบาง น่าน เวียงจันทน์ จำปาศักดิ์ กาฬสินธุ์ อุบล นครพนม สุรินทร์ จนถึงโคราช

ยามสายวันนี้ก็เช่นกัน คุณหญิงภรรยาเสนาบดีใหญ่ที่เพชรทองเต็มตัว ขาประจำท่านนี้ไม่ขาดตลาดนัด เช่นเดียวกับวันคืนเก่าๆ ครั้งยังเป็นสาวชาววัง ที่เคยอุดหนุนกันมา กำลังเอาผ้าซิ่นไหมย้อมฝางเป็นสีชมพูสดสอดเส้นไหมสีทองคำขาวสว่างอะร้าอร่ามทาบตัว

เมียน้อยสาวๆ บริวารของเธอ ที่แวดล้อมอยู่ทั้งโขยง ต่างก็พากันเลือกผ้ามาผลัดกันลูบคลำชื่นชม ส่งเสียงกิ๊วก๊าวราวนกกระจอกแตกรัง

ทาสชายของบ้านนายสุ่น ผู้มีหน้าที่แบกหามและพายเรือ หลบไปนั่งดูสาวๆ ชาววังอยู่ริมทางด้านหนึ่ง

ลำจวนและนางทิม ช่วยกันนั่งพับผ้าที่ลูกค้าเลือกชมแล้วไม่ซื้อ เก็บลงหีบ

ส่วนแม่จำปานับเงินพดด้วงกำใหญ่ใส่ลงไถ้ ก่อนจะกราบแทบอกท่านลูกค้ารายใหญ่กระชดกระช้อย

“ขอบพระเดชพระคุณคุณหญิงเหลือเกินเจ้าค่ะ อิฉันรับรอง ว่านุ่งไปไหน ใครๆ ก็ทัก เวลากลางวัน เจอแสงแดด ไหมคำขาวก็จะวาบเข้าตาทุกคน เวลากลางคืน เจอแสงไฟส่อง ไหมคำขาวก็จะสว่างระยิบระยับแพรวพราวเป็นสง่ายิ่งเจ้าค่ะ”

คุณนายยิ้มชอบใจ เห็นฟันดำดั่งนิล

“อุ๊ย ก็ฉันแก่แล้ว สู้แม่พวกเมียน้อยสาวๆ พวกนี้เขาไม่ได้ ต้องเอาผ้าเข้าสู้แทน”

เธอค้อนพวกเมียน้อยขวับๆ

“แหม คุณหญิงเจ้าขา เมียน้อยทั้งหลายจึงต้องพึ่งบารมีคุณหญิง ให้ซื้อผ้าแจกเช่นนี้อย่างไรเจ้าคะ”

ทุกคนหัวเราะกัน

“ย่ะ ฉันจะสวยเพียงลำพังก็จะหงอยเหงาเสียเปล่าๆ ก็เลยอยากทำบุญทำทาน ให้พวกหล่อนได้สวยบ้าง ผ้าของพวกลาวเมืองปักธงชัยโคราชนี้ เนื้อไหมเนียนละเอียดแน่นหนาไม่เหมือนใครเลย”

“เจ้าค่ะ ปู่ย่าตายายอิฉันได้มาค้าขายที่กรุงเก่านานมาแล้ว พอถึงสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี มีญาติๆ รุ่นหลังถูกกวาดต้อนมาจากเวียงจันทน์และจำปาสัก มารวมอยู่ทางปักธงชัยโคราช ก็นำพันธุ์หนอนหม่อนไหมมาด้วย ได้สืบต่อเลี้ยงไหมทอผ้ากันไม่ขาดสายเจ้าค่ะ ดิฉันได้ชื่อจำปา เพราะมีหลานแม่จากหมู่บ้านทางจำปาสัก ส่งผ้ามาจากปักธงชัยมาให้แม่ช่วยขายนี่แหละค่ะ”

“แม่จำปา ได้ชื่อจำปาเพราะมาจากชื่อเมืองจำปาสักดอกรือ มิน่า ผิวพรรณขาวนวลเป็นดอกจำปาลาว ลูกสาวก็พลอยงามผุดผ่องไปด้วย”

คุณหญิงเชยคางลำจวนขึ้นดูหน้าให้ถนัด

“นางลำจวน ไปอยู่กับฉันไหม นี่ถ้าเจ้าคุณพี่กลับมาเห็น คงอยากเลี้ยงดูมิใช่น้อย”

พวกสาวๆ เมียน้อยร้องกันแซ่ระงม

“โอ๊ย…ไม่เอานะเจ้าคะ คุณหญิง เดี๋ยวพวกอิฉันก็ตกอับกันหมดพอดี”

“ท่านเจ้าคุณจะได้กลับบ้านมาบ้างอย่างไร พวกหล่อนมันไม่ได้เรื่องได้ราว เลี้ยงเอาไว้เต็มบ้านเต็มช่อง แต่เจ้าคุณพี่ก็เอาแต่ออกหัวเมืองไปสร้างแต่วัดแต่วา ฉวยหนีไปบวชเสีย จะว่าอย่างไรกันล่ะพวกเรา”

ลำจวนมองแม่ ส่ายหน้า และส่งสายตาคัดค้านสุดแรง…

แม่จำปายิ้มตอบ ส่งสายตามาบอก ว่าไม่ต้องห่วงไปดอกลูกแม่…

ตอนนั้นเองที่พวกข้าหลวงในวังผ่านมา

คุณท้าวที่เป็นสตรีผู้ใหญ่  หันมาเห็นแผงขายผ้าของแม่จำปา ท่านก็พูดกับข้าหลวงในปกครองอย่างชอบใจ

“แน่…วันนี้มีผ้าไหมลาวมาขายอีกแล้ว”

สาวข้าหลวงคนหนึ่ง เตร่เข้ามาเมียงมอง

“แม่จำปา เกวียนนายฮ้อยมาเที่ยวนี้ มีผ้าหางกระรอกงามๆ บ้างไหม”

แม่จำปารีบพินอบพิเทาฉอเลาะเจื้อยแจ้ว

“มีเจ้าค่ะ คุณๆ ข้าหลวง…เชิญมาเลือกชมก่อนสิเจ้าคะ”

พวกสาวชาววังเข้ามารุมชมผ้าผืนใหญ่ ๆ  สำหรับใช้นุ่งโจงกัน

ลำจวนมองเห็นเด็กหญิงสองคนที่หน้าตาน่ารักราวกับตุ๊กตา ผิวเหลืองนวลผิดผู้คนทั่วไป ปลีกตัวออกไปยืนรอด้านหลัง ก้มหน้าก้มตาดูอะไรในมือกัน

อะไรในมือนั้น คือกระดาษจากเปลือกต้นข่อยแผ่นแคบยาวเป็นหางว่าว

“พุดซาแห้ง เห็ดแห้ง และน้ำตาลอ้อย จดมาครบหรือไม่”

เด็กคนหนึ่งดูวิตกกังวล

เด็กอีกคนแย่งใบจดรายการนั้นมาอ่านทบทวน

“ครบซี คราวที่แล้วลืมซื้อ โดนกริ้วแทบตาย เข็ดหลาบแล้ว”

พอทวนเสร็จ เด็กคนนั้นก็เหลือบมาเห็นสายตาของลำจวนที่แอบมองพวกเธออยู่ พลัน พวกเธอก็ม้วนกระดาษจดรายการนั้น ทำคอแข็ง เชิดหน้าใส่ลำจวนอย่างหยิ่งยโส

ลำจวนเชิดหน้าตอบทันที ทั้งๆ ที่ตัวร้อนวาบด้วยความอาย ที่ถูกจับได้ว่าไปแอบดูเขา

ลำจวนข้องใจนัก ว่าเด็กชาววังพวกนั้นเป็นหญิงเช่นเดียวกับเธอ

แต่ไฉนพวกนั้นกลับอ่านออกเขียนได้!

 

“แม่…พวกเด็กผู้หญิงชาววัง เขาอ่านหนังสือออกกันทุกคน”

ลำจวนกำลังเล่าให้แม่ฟังตอนขากลับ ที่แม่จำปากับลำจวนเดินนำนางทิมและทาสชาย ที่ช่วยกันขนหีบที่เบาไปเป็นกอง เดินเลียบถนนข้างกำแพงวัง จะไปท่าน้ำที่จอดเรือไว้

“นั่นเขาลูกเจ้าลูกนาย ลูกท่านหลานเธอ”

แม่จำปาออกจะหนักใจ

“ลำจวน…หัดสงบเสงี่ยมเจียมตนบ้างเถิด”

ขณะผ่านหน้าประตูเทวาภิรมย์ หรือประตูท่าขุนนางหน้าโรงทาน ที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่าประตูต้นสน เพราะปลูกต้นสนเรียงรายเป็นแถว ตรงข้ามท่าราชวรดิษฐ์

เสียงใสๆ ของเด็กผู้ชายหลายคนอ่านหนังสือเป็นทำนองสวดพร้อมกัน ทอดเสียงรอกันจนยานคาง ก็ดังแว่วมา

แม่โคไปหาหญ้า           ไม่รู้ว่าจะมีไภย

ไล่ล่าหาหญ้าไป            ที่ไม้ไทรใกล้คีรี

พะยะฆามาปะ            ผงะดูทำหูรี่

โผคว้าไม่ช้าที              มือขยี้ขี่ฅอโค

แม่โคโผถลา               แม่พะยะฆาไล่คว้าโผ

มือขย้ำทำเดโช            ฅอโคหวะมรณา

ลำจวนหยุด หันไปมอง ตาโพลงวาว

เด็กหญิงยืนนิ่งราวกับถูกสะกด

ครูผู้ชายศีรษะล้าน ไม่สวมเสื้อ กำลังนั่งสอนหนังสือให้เด็กชายสามัญชนห้าหกคน ที่ไม่สวมเสื้อเช่นกัน ในศาลาโรงทาน ริมแม่น้ำ ตรงท่าขุนนาง

พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงตั้งโรงเรียนสอนหนังสือไทยขึ้นเป็นครั้งแรก ที่โรงทานข้างประตูต้นสน หรือประตูท่าขุนนางหน้าโรงทาน เด็กๆ จากโรงเรียนนี้ จะได้รับการคัดตัวเข้าไปสวดโอ้เอ้วิหารรายในวัดพระแก้วจนเป็นธรรมเนียมมาจากครั้งนั้น จนล่วงไปถึงสมัยรัชกาลที่ 4 และที่ 5

ที่เรียกว่า ‘โอ้เอ้พิหารราย’ ก็มาจากการสวดแบบลากเสียงยาวๆ ยานคางของเด็กๆ สำนักนี้นี่เอง

แม่จำปาถอนใจ อ่อนระอาเต็มที

“ลำจวน อย่าเถลไถล”

“เรื่องเสือโค พหลวิชัย-คาวีอย่างไรจ๊ะ”

ดูเหมือนเด็กหญิงจะจำทุกเรื่องราวที่เคยผ่านหูได้หมดสิ้น

“รู้แล้ว ไปๆ  บ่ายแก่มากแล้ว ลำจวน”

แม่จำปาแทบจะลากลูกสาวไปที่ท่าเรือ

ลำจวนสืบเท้าตาม ทว่าหันหน้าเหลียวหลังไปจนลับตา ขณะที่เสียงพวกเด็กผู้ชายดังตามมา

พะยะฆาเข้าขย้ำ                   ที่ล่ำล่ำลำคอขา

ไส้ในและไตตา                      โอชาดีผีแม่โค

เป็นเวลาเย็นย่ำ แดดร่มลมตก ที่ลำจวน  นวล กับนางทิม และนางปุกทาส ลงอาบน้ำในคลอง

ด้วยกัน

นวล สาวน้อยนั่งหยัดร่างในกระโจมอก อวดความสาวอวบขาวผุดผ่อง เต็มวัย เต็มตา ให้นางปุกสระผมยาวประบ่าด้วยน้ำมะกรูด หอบตรลบไปทั้งท่า

ส่วนลำจวน ดำผุดดำว่าย ล่อหลอก ร้องเพลงยั่วโทสะนางทิม ที่กำลังเอาส้มมะขามขัดผิวรักแร้อย่างเอาเป็นเอาตายอยู่บนขั้นบันไดลงน้ำ

ไอ้เข้ ไอ้โขง อยู่ในโพรงไม้สัก ไอ้เข้ฟันหักกัดคนไม่เข้า

ไอ้เข้ ไอ้โขง อยู่ในโพรงไม้สัก ไอ้เข้ฟันหักกัดคนไม่เข้า

“แฮ่ ไอ้เข้มาแล้ว…”

นางทิมตบะแตก พุ่งหลาวลงน้ำ ว่ายรี่เข้าใส่ลำจวน

ลำจวนร้องกรี๊ด ว่ายหนีสุดแรงเกิด

เด็กหญิงดำผุดดำว่ายสนุกสนานจนเหนื่อย จึงเลิกเล่น ดำน้ำไปโผล่ข้างๆ นวล ที่กำลังนั่งให้นางทาสเพิ่มกลิ่นหอมให้ผม ด้วยการหมักผมด้วยน้ำปรุงเข้าเปลือกต้นชลูดหอมฟุ้ง

ลำจวนแช่น้ำอยู่ แต่เอามือเท้าคางกับแผ่นกระดานท่าน้ำ เอียงคอมองดูนวล

นวลหันมาค้อน แล้วทำหน้าเหินๆ เมินๆ หยิ่งๆ อย่างรู้ตัวว่าสวยสะ

ลำจวนนึกขำ จึงร้องล้อเลียนขึ้นมา เป็นเพลงละครเรื่องคาวี ทำนองโอ้ช้า

โอ้ว่านวลน้องเจ้าของผม         ถ้าได้ชมจะถนอมเปนจอมขวัญ

เกษาหอมฟุ้งดังปรุงจันทน์           จะทรงโฉมโนมพรรณฉันใด

นางทิมฟังพลาง ว่ายเข้ามาเกาะข้างๆ นายน้อยของตน ช่วยลำจวนร้องไปด้วย

ทรวดทรงสูงต่ำดำขาว          ชัณษาแก่สาวสักคราวไหน

แม้นรู้ว่าอยู่บุรีใด           พี่จะไปติดตามเจ้าทรามชม

ขณะนั้น ไม่มีผู้ใดสังเกตว่ามีเรือพายลำหนึ่ง ที่มีสตรีวัยกลางคนแต่งกายงามหรูนั่งอยู่กลางลำเรือ ทาสชายผู้พาย ชะลอฝีพายอ้อยอิ่งลง ขณะเคลื่อนผ่านท่าน้ำบ้านนายสุ่น

พอดีกับที่นวลนึกสนุก ร่วมร้องเพลงไปกับน้องสาวร่วมบิดา นางปุกทาสก็เคลิ้มช่วยเคาะจังหวะไปด้วยอีกแรง

ถึงจะเปนกะไรก็ไม่ว่า          แต่ให้ได้เห็นหน้าเจ้าของผม

คิดละห้อยละเหี่ยเสียอารมณ์         ร้องไห้ร้องห่มไม่สมประดี

นวลยิ่งร้องยิ่งเพลิน ยิ่งเปล่งเสียงดังขึ้นอีก

ลำจวนยินเสียงนวลที่หวานแหลม เยือกเย็นโหยหวน เหมาะกับเนื้อเพลงที่แสดงอารมณ์คลั่งไคล้ใหลหลง เด็กหญิงจึงเงียบเสียงลง เพื่อเป็นผู้ฟังบ้าง

เรือลำนั้นเหหัวเข้ามาจนใกล้ และพายผ่านอ้อยอิ่งให้คนในเรือได้เพ่งพินิจมองดูนวลที่งดงาม ผุดผาด เนินทรวงเต่งตูมโดดเด่นลออนวลจับตา  มิหนำซ้ำยังมีเสียงร้องไพเราะ และมีกลิ่นของน้ำปรุงชะลูดผสมมะกรูด เย็นหวานชื่นใจยิ่ง

สตรีนั้นยิ้มย่อง ตาเป็นมัน เหลียวหลังอยู่เป็นนาน แม้เรือจะผ่านมาไกลแล้ว

นางทัด คือนามของนาง

 

บนเรือนนายสุ่นยามเข้าไต้เข้าไฟ แสงตะเกียงสว่างไสวไปทั่วเรือน มุมนั้นมุมนี้ ที่ต่อเติมจนเป็นหลังใหญ่ ประกอบด้วยหลายเรือนด้วยกัน

ที่ระเบียงเรือนปีกของนางจำปา ลำจวนกำลังช่วยแม่กับนางทิมพับผ้าไหมหลายแบบ หลากสี ทั้งผ้าลาย ผ้าพื้น หลายผืน ให้เป็นพับๆ  เพื่อบรรจุลงในหีบเก็บ

ส่วนผ้าซิ่นคำเคิบจากเมืองน่านที่เข้าเส้นไหมทอง ราคาแพงลิบนั้นห้ามพับ เพราะเส้นทองจะขาดได้ ต้องใช้วิธีม้วนรอบแกนกระดาษแข็ง แล้ววางนอนในหีบยาวเป็นวา

เสียงนพ บุตรชายคนรองของนางนอบ อ่านสมุดบัญชีเสียงดัง แว่วๆ มาจากชานเรือนใหญ่ตรงกลางด้านหน้า

“แพเจ๊หวง ทุเรียนสิบผล คุณนายสร้อย ทุเรียนหกผล  นายฟ้อน ทุเรียนห้าผล อีกบัดเดี๋ยว ทุกคนจะมารับเย็นนี้นะครับคุณแม่”

ในแสงไต้สว่าง นางนอบกำลังควบคุมพวกทาส ให้ช่วยกันเอาทุเรียนมากมายที่วางกองเต็ม ใส่ลงในเข่งสำหรับลูกค้าจากตลาดในเมืองที่จะมารับคืนนี้ แล้วคลุมด้วยใบตอง ผูกเชือกกล้วยปิด

ในแสงตะเกียงใหญ่สว่างจ้า นพนั่งกึ่งนอนเอ้เต หนุนหมอนขวานอย่างสบายใจ ขานบัญชีที่มีลูกค้าปลีกมาว่าไว้ต่างหาก เสียงดังฟังชัด

“ได้ๆ  ของมีอยู่”

นางนอบหันไปสั่งพวกทาส

“เอาลงเข่งสิบลูก ของเจ๊หวงแยกไว้เลยหนา แล้วของนายฟ้อนห้าลูก เลือกที่แก่จัด พร้อมแกะกินได้เลยวันนี้พรุ่งนี้ อันไหนมีกลิ่น ปลิงหลุดแล้วเป็นของนายฟ้อนเน้อ…”

ว่าแล้วนางก็เดินมานั่งพัก ซับเหงื่อ และกินหมากสักคำให้ชื่นใจ

นพหยิบพัดใบลำเจียกสาน มาพัดๆ ให้แม่อย่างเอาใจ

นอบหันมายิ้มรับ

“คุณแม่…ขายทุเรียนได้เงินแพงราวกับขายทอง…ขอสตางค์ให้ผมสักห้าบาทนะขอรับ”

ชายหนุ่มกระซิบ ราวกับกลัวใครจะมาได้ยิน

นอบหมดความสุข เคี้ยวหมากกร้วมเครียดๆ

“เหตุใดพ่อนพไม่ไปช่วยงานละครคุณพ่อเลย เวลาคุณพ่อไปตั้งเวทีแสดง คืนนึงๆ  ได้เงินค่าขายตั๋วตั้งหลายอัฐ”

นพงอแง

“ลูกช่วยคุณแม่ทำบาญชีแล้ว คุณแม่ต้องให้ค่าแรงลูกบ้างสิขอรับ”

ลำจวนคนหูไว เงี่ยฟัง พอได้ใจความแว่วๆ

เด็กหญิงสบตาแม่จำปา กระซิบเบา

“หากนายแม่เรียนหนังสือ เขียนอ่าน ทำบาญชีเองได้ ก็ไม่ต้องง้อพี่นพ”

นางทิมได้ยิน ตกใจ

“จุ๊ๆ  อย่าอึงไปซี”

แม่จำปายื่นมือมาหยิกลูกสาว

ลำจวนร้องโอ๊ย…

ทิมมองลำจวน ส่ายหน้าให้เงียบ

เด็กหญิงเม้มปาก หน้ามุ่ย

ส่วนนพเห็นแม่เอาแต่เคี้ยวหมากทำนิ่งเฉย ไม่หยิบเงินให้เสียที ก็งอน กระฟัดกระเฟียด ลุกเดินไปหยิบผ้าที่ผึ่งไว้ที่ราวระเบียงมาพาดบ่า คว้าไม้ตะพดจะเดินลงเรือน พอดีมีคนจำนวนหนึ่งเดินสวนขึ้นมา

นพชะงัก ถึงกับก้าวถอยหลัง

นายสุ่นบิดาเขานั่นเอง เพิ่งกลับมาถึง แต่มีบุคคลสำคัญเดินเคียงขึ้นมาบนเรือนด้วย คือท่านเจ้าคุณนครบาลที่ใครๆ ก็ต้องรู้จักและเคารพนับถือ

เจ้าคุณอินทรา เป็นชายวัยฉกรรจ์ ร่างใหญ่บึกบึนแข็งแรง บุคลิกสง่า หน้าตาเข้มงวดเฉียบขาด มีดวงตาคมกริบ ภายใต้คิ้วดกหนา บนหน้าผากกว้าง เป็นดวงตาที่ทรงพลังแรงกล้า ชวนให้เชื่อว่าจะมองเห็นเรื่องชั่วเลวที่ซุกซ่อนอยู่ทุกซอกมุม หรืออ่านความคิดมนุษย์ทุกคนได้หมด จนอาชญากรต้องรีบสารภาพ สมกับบทบาทปราบปราม สืบสวนสอบสวน บำบัดทุกข์บำรุงสุข

สมแล้ว ที่เป็นข้าราชบริพารต่างพระเนตรพระกรรณ ที่มีผลงานโดดเด่น จนได้รับบรรดาศักดิ์สูงอย่างรวดเร็ว

คนสนิทสามคนที่ติดตามท่านมา คือสามหัวหมู่มือดาบที่พวกผู้ร้ายต้องหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญ นามเป็นมงคลว่า โชค เดช และรวย

มีสตรีกลางคนผู้หนึ่งอยู่ในคณะด้วย เพียงเห็นหน้า คำจำกัดความก็มีเพียงว่า คมและเค็ม นางคือนางทัด!

นพย่องถอยกรูดปราดเปรียว รีบเก็บตะพดเสียบซ่อนเสียที่ข้างฝา จัดผ้าที่พาดบ่าสองข้างเสมอกันให้ดูเรียบร้อย แล้วยืนทำหน้าซื่อ กุมมือสงบเสงี่ยมเจียมตัวอยู่บนหัวบันไดนั่นเอง

“เชิญขอรับ ท่านเจ้าคุณ เชิญๆๆ”

นายสุ่นกล่าวเชิญเสียงยินดีปรีดา นอกจากท่านเจ้าคุณแล้ว เขาก็ยังส่งสายตาเผื่อแผ่ไปถึงคณะผู้ติดตามทุกคนด้วย และใช้เสียงอันดังพอที่จะให้คนในเรือนได้เตรียมรับแขก

นายสุ่นแปลกใจไม่น้อย เมื่อเห็นลูกชายคนเล็กรออยู่อย่างพร้อมพรักราวกับเตรียมตัวล่วงหน้า

นางนอบรีบคายหมาก ซับน้ำหมากให้เรียบร้อย ลุกมาต้อนรับอย่างรักแรงแข็งขอบ

“ท่านเจ้าคุณอินทรา…มาจับผู้ร้ายแถวนี้รือเจ้าคะ”

ปากหยอกเอินกันเอง แต่ใจภาวนาว่า ขอให้ท่านเจ้าคุณท่านมาซื้อทุกเรียน หรือว่ามาว่าคณะละครนายสุ่นไปแสดงเถิด อย่าได้มีอันใดเป็นเรื่องร้าย ทั้งๆ ที่ผิดวิสัย ด้วยเรื่องแค่นี้ท่านใช้ให้ทนายหน้าหอมาจัดการแทนก็ได้ ไม่น่ายกมากันทั้งขบวนอย่างเป็นทางการชอบกล

แล้วดูเจ้านพ คุณนายนอบมองระแวง มันดูสุภาพอ่อนน้อมนัก หรือว่าจะไปทำเรื่องตีรันฟันแทงใครเขามาหรือไม่

เจ้าคุณอินทราก้าวมาบนเรือนเต็มตัว ร่างสูงใหญ่องอาจผึ่งผาย ราศีบารมีแผ่ออกรอบ ดุจมีแสงสว่างสาดออกมา ดวงตาที่ทรงพลังแรงกล้า จนใครสบก็ต้องหลบลง มองปราดรอบๆ เหมือนเสาะแสวงสิ่งใด

หรือเจ้านพจะแอบเล่นฝิ่น!

นางรีบเข้าไปโอบประคองหลังลูกชาย ส่งสัญญาณกดลงโดยแรง ที่ทำให้นพต้องก้มหัวต่ำ ขณะพนมมือไหว้อย่างบรรจง

“พ่อนพ…ลูกชายเจ้าค่ะ”

เจ้าคุณรับไหว้เพียงอก มองนพอย่างไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ

แต่สายตามองทะลุทะลวงไปจนถึงคนบนเรือนด้านข้าง ที่นั่งทำอะไรกันอยู่ในแสงตะเกียงสว่าง อีกทั้งผ้าไหมงามระยับที่กองอยู่นั้น ก็ดูเหมือนทรัพย์สมบัติที่สะท้อนแสงสว่างดูเรืองรองเป็นประกายจับตานัก

ที่ดึงดูดสายตากว่านั้น คือสตรี!

มีความงามแปลกตาปรากฏอยู่ตรงนั้น ดุจภาพของเทพธิดาในซอกมุมผนังโบสถ์มืดๆ ที่เผอิญใครเดินจุดเทียนส่องเข้าไป แสงเทียนสาดไปกระทบภาพนั้นเข้า ทำเอาผู้พบเห็นต้องตะลึง

สตรีเกล้าผมมวย รูปศีรษะกลม หน้าผากกว้าง เห็นใบหน้าอิ่มงาม คางมน รับกับคอระหง ช่วงไหล่ลาด ช่วงแขนเรียว เนินอกนุ่มนวล กับเด็กหญิงรุ่นสาวเกล้าจุก เผยหน้าผากสูงนูนโหนก ที่มีรูปหน้า ปากคอคิ้วคาง ในแบบเดียวกันราวกับแกะออกมาจากแม่พิมพ์เดียวกัน

แสงสะท้อนจากผ้าไหมตรงนั้น ช่วยกระจายประกายทองสาดขึ้นไป ส่องจับร่างหญิงแม่ลูกทั้งคู่จนงามละลานตา ทำเอาเจ้าคุณอินทรายืนนิ่งตรงนั้นเหมือนถูกตรึง

นางจำปาเห็นอาคันตุกะผู้ทรงเกียรติที่เพิ่งมาถึง ยืนเขม้นมองนิ่งมาเช่นนั้น หากนั่งเฉยก็จะเป็นการเสียมารยาท จึงพยักชวนลำจวนให้ลุก เดินออกไปทักทายตามควร

นายสุ่นยิ้มมากขึ้น เมื่อเมียกับลูกสาวคนโปรด งามจนผู้พบเห็นชื่นชมกันทั้งนั้น

“นั่นแม่จำปาขอรับ แลลำจวน ลูกสาวคนสุดท้อง”

เมื่อเข้ามาใกล้ จนเห็นหน้าตาผิวพรรณถนัดถนี่ เจ้าคุณก็ถึงกับถอนตาไปจากเด็กหญิงวัยก่อนแรกแย้มไม่ได้

ด้วยดวงตาอันคมกล้าผิดจากหญิงทั้งหลาย ที่มองตอบไม่หลบ

เจ้าคุณอินทราขนลุกเกรียว

หญิงนี่แน่แล้วที่เราฝัน  รูปโฉมโนมพรรณหาผิดไม่

กลอนเสภาตอนพลายงามได้นางศรีมาลา เรื่องนิทานแต่ครั้งกรุงเก่า ที่องค์ล้นเกล้าฯ แผ่นดินกลาง เคยประชุมกวีเอกแห่งราชสำนัก มาช่วยกันสะสางรวบรวมไว้ วาบขึ้นในความคิด แต่ไม่ใช่ด้วยรูปร่างหน้าตา แต่เป็นวิญญาณ

วิญญาณนี้ เคยรู้จักกับวิญญาณข้ามาก่อน

ดวงจิตของท่านเจ้าคุณปรุงแต่งรวดเร็วดุจสายฟ้าฟาด

แม่จำปาสังหรณ์วูบ สัญชาตญาณของแม่ย่อมไม่ชอบสายตาเช่นนั้น เธอก้าวนำขึ้นมาบังลูกไว้ ยื่นมือไปด้านหลัง ยั้งให้ลำจวนยืนอยู่เพียงข้างหลังตน อย่าออกมาให้บุรุษนี้เห็นอีก

เดช โชค และรวย ไหว้ทุกคน ไม่ซ่อนดวงตาที่กวาดสำรวจดูรอบบ้านทุกซอกมุม ตามความเคยชิน

ส่วนนางทัดยิ้มพลาง ให้ความเคารพนบไหว้ทั่วถึง ไม่ว่านางนอบแม่ค้าผลไม้ หรือนางจำปาแม่ค้าผ้า เมียนายสุ่นทุกคน

ทั้งสองก็รีบไหว้ตอบ มีความคุ้นเคย รู้จักกันหมด ตามประสาชาวคลองคุ้งน้ำใกล้เคียง

นายสุ่นสบตานางนอบ มีแววนัยบางอย่าง ที่แฝงความพึงพอใจอยู่ในที

“ลูกนวลอยู่ไหน เรียกมากราบท่านเจ้าคุณหน่อย”

นางนอบเลิกคิ้ว เข้าใจทันที

ไม่ต่างจากเจ้าคุณกับนางทัด ที่หันสบตากันรับรู้สัญญาณ ที่เป็นอันรู้กันอยู่

 

จำปาต้อนลำจวนมาแอบเสียในครัว ทำทีวุ่นวาย เตรียมของกินเล่นกับน้ำชา ช่วยกับนางทิมบ่าว และนางปุกทาส ตามที่นางนอบบัญชา คือแกะทุเรียน จัดเรียงเคียงไปกับมังคุด

ลำจวนช่วยผู้ใหญ่เตรียมชุดน้ำชาอย่างจีน ถ้วยชาเล็กๆ สำหรับแขกและพ่อกับนายแม่นอบ สำหรับพวกคนติดตาม ก็ใช้อีกสำรับ ที่ต่างฐานะลงไป

เสียงนวลร้องเพลงละครผู้หญิงสำหรับในวังครั้งเก่าก่อน ดังแว่วมาจากภายนอก แก้วเสียงสูง สดใส หวานเจื้อยแจ้ว เยือกเย็นโหยหวนแช่มช้า มีเสียงระนาดประจำวงที่เล่นประกอบละครของพ่อ เล่นรับ ในทำนองพระทองหวน

นางจึงสรงสนานในสระศรี          กับกำนัลนารีเกษมศานต์

หอมกลิ่นโกสุมปทุมมาลย์         อายอบชลธารขจรไป

นางทิม นางปุก และทาสชายอีกคน ทำหน้าที่ลำเลียงทุเรียน และน้ำชาออกไป

ที่ชานเรือน บริเวณที่ใช้เป็นที่ซ้อมร้องรำ ทบทวนบทละครและตั้งวงมโหรีเล็กใหญ่กลางเรือน

ท่านเจ้าคุณนั่งเคียงนายสุ่น บนพรมบนยกพื้น

นางทัด นางนอบนั่งเรียงอันดับไป ถัดจากบุรุษทั้งสอง ไปคนละฟากปีก

ที่หน้าวงดนตรี ซึ่งมีเพียงสามสี่ชิ้นตามจำเป็น เล่นประคองเสียงร้องให้นำเด่น มีแม่ครูร่างเล็กคอยกำกับลีลาอย่างถ้วนถี่

นวล ผู้งามเสงี่ยมแฉล้มแช่มช้อย ห่มผ้าแถบสีนวลตากับโจงผ้าลายลำลอง ประสาสาวสมถะที่อยู่เหย้าเฝ้าเรือน ตามตัวมีเครื่องประดับทองคำแต่แต้มเล็กๆ น้อยๆ พองาม แสดงฐานะว่าไม่ต่ำ จุดเด่นคือผิวพรรณงามผ่องเหลืองนวลลออตาและทรวดทรงอันเคร่งครัดอวบสล้างที่พ้นผ้าแถบขึ้นมา เต่งตึงสะท้อนสะท้าน ตามลมหายใจหญิงสาว ยามขับร้องเพลงอันหวานวิเวก อยู่ในแสงตะเกียงมลังเมลือง

เจ้าคุณมองนวลด้วยประกายตาอันเข้มกล้า ท่านจิบชาพลาง สีหน้ารื่นรมย์สมใจ

นางนอบ สบตานายสุ่น ปีติใจนัก ที่รูปโฉมโนมพรรณ และน้ำเสียงไพเราะแหลมสูงดุจนกการเวก ชักนำให้วาสนาให้มาถึงลูกสาวคนโตของนางจนได้

ส่วนแม่ครูเก็บสีหน้าภาคภูมิไว้ไม่มิด วิชาฟ้อนรำ ขับร้องอย่างนางใน ที่นางพร่ำสอนเคี่ยวเข็ญลูกสาวนายสุ่น ได้แสดงผลลัพธ์ออกมาแล้ว

น้ำใสไหลเย็นเห็นตัวปลา          ว่ายแหวกปทุมาอยู่ไหวไหว

นิลุบลพ้นน้ำขึ้นรำไร          ตูมตั้งบังใบอรชร

เจ้าคุณมองนวลทั่วร่าง แล้วหันมาสบตากับนางทัด ส่งสัญญาณชื่นชมมาให้

นางทัดยิ้มในหน้า เพราะสมใจ ว่าไม่มีผู้ใดรู้ใจนายเท่านาง

นวลร้องไป ดวงตาก็ได้แต่หลบต่ำ เขินอาย และขลาดกลัว จนไม่กล้ามองหน้าใครทั้งสิ้น

เจ้าคุณกระซิบกับนายสุ่นให้ได้ยินเพียงกันเอง

“นี่หัดให้ร้องบทพระราชนิพนธ์อิเหนาเชียวรือ”

“หัดให้ร้อง เพื่อฟังกันเพียงในเรือนขอรับ มิใช่เที่ยวแสดงตามโรงละครก็หาไม่ เจ้าคุณเองก็มีคณะมโหรีหญิงที่เรือนแพหรือมิใช่”

นัยนั้น หมายความว่าแม้บัดนี้ การแสดงอย่างละครในจะได้รับพระราชานุญาตให้เล่นกันตามวังนอก และบ้านขุนนางชั้นสูงกันบ้างแล้ว แต่ก็ใช่ว่าคนเล็กคนน้อยจะกล้าเอามาเล่นกันได้ทั่วไป

ในครัว นางทิมคันปากเป็นอันมาก จนไม่อาจห้ามตัวเอง ไม่ให้ซุบซิบนินทาได้

“พี่สาวคุณลำจวน ท่าทางจะต้องพรากจากเรือนไปอีกคนแล้วนะคะ”

ลำจวนมองหน้าทิมคล้ายจะเข้าใจ

“จุ๊ๆ…ทิม…” แม่กำราบ

ทิมทำทีเอามือปิดปาก แต่หลุดเสียงฮิๆ ฮะๆ ออกมา

ขณะที่ลำจวนกลับพูดออกมาอย่างตรงกับความคิด

“แม่อย่าให้ฉันไปแสดงอันใดให้เจ้านายผู้ชายที่ไหนดูอีกเชียวหนา”

จำปาถึงแก่ต้องยื่นมือออกมาหยิกลูกสาว

“อย่าแก่แดดนัก ลำจวน”

ดอกขาวเหล่าแดงสลับสี          บานคลี่ขยายแย้มเกสร

บัวเผื่อนเกลื่อนกลาดในสาคร          บังอรเก็บเล่นกับนารี

นางทรงหักห้อยเป็นสร้อยบัว          สวมตัวกำนัลสาวศรี

เสียงนวลยังคงร้องอย่างสุดความสามารถ เต็มศักยภาพ เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผิดหวังได้เป็นอันขาด

ลำจวนแอบวิตก…

อีกไม่นาน เธอจะต้องโกนจุก จะต้องมีระดู คือโตเป็นสาวเช่นพี่ๆ เหมือนกัน

เธอจะต้องตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมเดียวกันนี้ด้วยหรือไม่ อย่างไร

 



Don`t copy text!