บุษบาลุยไฟ ตอนที่ 13 : สตรีต้นแบบ

โดย : ปราณประมูล

Loading

บุษบาลุยไฟ โดย ปราณประมูล เรื่องราวของ ลำจวน หญิงสาวผู้ต่อสู้กับค่านิยมทางสังคมในยุค ร.3 เธอลุกขึ้นทำสิ่งที่คนในห่วงเวลานั้นไม่ทำกัน หนทางจึงไม่ได้ราบรื่น หากเต็มไปด้วยอุปสรรคและถ้าไม่ใช่เพราะแรงรักแรงใจที่หนุ่มจีนคนนั้น คงยากที่บุษบาดอกนี้จะไปสู่จุดหมาย ‘บุษบาลุยไฟ’ นวนิยายเรื่องเยี่ยมที่อ่านเอานำมาให้อ่านออนไลน์

“ผ้าของครูเขมรตระกูลนี้เขาทอส่งขายให้ทางวังอยุธยาตั้งแต่ครั้งบ้านเมืองยังดี เพลานี้เขาก็ยังทอส่งให้เจ้านายเขมรอยู่เสมอ แต่นี่ ญาติอิฉันไปตัดมาจากกี่ที่ใต้ถุนเรือนมากับมือเลย หม่อมรับไว้ไหมล่ะคะ”

แม่จำปายังคงเพลิดเพลินกับการค้าขาย

หาได้สังเกตสังกาไม่ ว่าความสายตาของหม่อมห้ามคนงามเบนจากผ้าไปวนเวียนอยู่ที่หน้าตา หน่วยก้านของแม่ค้าสาวแล้ว

“กว่าพ่อลุงแกจะได้ผ้ามาในมือ กว่าขบวนเกวียนจะรอนแรมผ่านป่าดงพญาไฟ กว่าแม่จำปาจะเลือกแต่ของที่งามเป็นยอดมาได้ ราคานี้ถือว่าไม่แพงเลยเจ้าค่ะ”

ดวงตาลำจวนส่องแสงแพรวพราว เสียงหวานใสพรรณนาไพเราะ ชัดถ้อยชัดคำ มือเรียวงามไล้ไปตามผืนผ้าไหมเนื้อละเอียดเนียน ลวดลายซับซ้อนวิจิตร

“รับไว้ถวายทูลกระหม่อมท่านอย่างไรเล่าคะ ต้องทรงโปรดแน่ๆ”

แม่จำปาอ้างถึงเจ้าฟ้ากรมขุนฯ ผู้เป็นเจ้าของวัง ซึ่งทำให้หม่อมยิ้มพราย

“ถ้าจะถวายสิ่งใดให้ท่าน ก็ขอเป็นคนได้ไหม ลูกสาวแม่จำปาคนนี้ แพงเท่าใดเท่ากัน”

ในที่สุด หม่อมก็เผยความในใจออกมา

เธอหันไปเอ่ยวอนครูหมอลำแห่งพระราชวังเดิม

เนื่องด้วยท่านเจ้าวังโปรดปรานทำนองแอ่วลาว เป่าแคนยิ่งนัก เลี้ยงบำรุงบรรดาคณะหมอลำลาวไว้มากมาย รวมทั้งพระองค์เองก็ถึงกับมีแคนไว้ทรงเป็นขอองค์เอง

“ครูคะ ไหนลองว่ากลอนเกี้ยวแม่ลำจวนของฉันคนนี้หน่อยสิคะ”

ครูเพลงบุรุษผิวคล้ำ คิ้วเข้ม ฟันดำสนิทแข็งแรง ยิ้มอวดลักยิ้มแสนเสน่ห์ ว่าคำผญาลาวท่วงทำนองเชิงสังวาสหวานซึ้ง

“เจ้าผู้บุปผาสร้อย สุคนธาเหย กลิ่นเก้าแม่น้ำ สิบแม่น้ำ หอมกุ้มฮอดพี่ซาย พี่จั่งบู๋ดงดั้น ประสงค์ดันมาใส่ ใจประสงค์อยากฮู้ นางน้องอยู่จั่งใด๋”

ลำดวนหน้าตื่น ขณะที่สาวๆ นางฟ้อน หมอแคน คุณหม่อมห้าม รวมทั้งแม่จำปาขำเขินคิกคัก แล้วก็เปลี่ยนเป็นลุ้นเอาใจช่วย

“ฟังออกไหม ลำจวน”

หม่อมเอ็นดู

“บ่อฮู้ดอก อินางหล่าเอ๊ย”

ครูหมอลำปรามาส

ไม่คาด ว่าเด็กสาวผู้มีดวงตากล้าไม่หลบต่ำผู้นี้ หาหยามได้ไม่

ลำจวนสูดลมหายใจลึก ตั้งสติ แล้วกล่าวตอบเป็นกลอนสดๆ

“สักรวา…สุคนธาบุหงาร่ำ  เก้าแม่น้ำสิบแม่น้ำยังได้กลิ่น  อันเสียงลือเล่าไปพี่ได้ยิน ยังไม่สิ้นเพียง

ครึ่งถึงเรื่องจริง”

ทุกคนถึงแก่เงียบอึ้งไปครู่

หม่อมหัวเราะออกมา แล้วกล่าวด้วยความทึ่งเหลือหลาย

“โอ๊ย…ตายแล้ว นี่ว่าสักวาได้ถึงปานนี้รือ เก่งนี่…อยากจะเป็นเหมือนคุณพุ่มแม่นบ่อ”

คำว่าคุณพุ่มของเธอ แฝงนัยจิกกัดเล็กน้อย ด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้ไม่เบา

“หมู่เฮาท่าจะมีวาสนาต่อกันเสียแล้วละ ลำจวน”

คุณหม่อมหน้าจริงจัง

“แม่จำปา ฉันเอาจริงนะ ไม่ได้พูดเล่น คราวหน้าพาลำจวนมาเข้าเฝ้าเวลาที่พระองค์ท่านประทับอยู่หน่อยสิ”

เธอจ้องหน้าลำจวน แววตามุ่งหมายประหลาด ชวนให้เฉลียวใจ

 

เมี่อทาสพายเรือออกมาจากท่าน้ำพระราชวังเดิม มุ่งจะตัดข้ามแม่น้ำไปตลาดใหญ่ท้ายวังหลวง ลำจวนก็ยังครุ่นคิดสงสัยไม่วาย

“คุณพุ่มที่หม่อมเธอเอ่ยถึง ใช่คุณพุ่มไหมแม่”

ลำจวนเน้น

“ใช่…คุณพุ่มผู้นั้นแล”

นางจำปาสบตาลูก

“ฉันจำท่านได้ คราวงานฉลองใหญ่วัดราชโอรส ฉันไม่มีวันลืมท่าน…” ดวงตาของเด็กสาวประดุจปักหมุดมั่น

ลำจวนหวนรำลึกไปถึงงานฉลองวัดราชโอรส เมื่อก่อนเธอโกนจุก เมื่อห้าปีที่ผ่านมา

คืนนั้นละครนอกคณะนายสุ่นก็ได้ไปปลูกโรงแสดงในงาน ทว่าลำจวนหาได้ใส่ใจดูละครของบิดาไม่ แต่การแสดงสักวาของเหล่าที่เจ้านายและข้าราชบริพารที่จัดแสดงกันในคลองด่านหน้าวัด ถวายหน้าที่นั่งต่างหาก ที่ตราตรึงอยู่ในใจของเธอตลอดมา

ภาพของสตรีสูงศักดิ์ที่ว่ากลอนสดอย่างฉาดฉานอยู่ผู้เดียวท่ามกลางหมู่บุรุษทั้งหลาย จนเธอมองผ่านพระภิกษุรูปนึงไป โดยไม่ทราบว่าท่านคือสุนทรภู่ เจ้าของบทกลอนที่เธอยึดผลงานของท่านเป็นแบบอย่างเสมอมา เช่นเดียวกับนักเลงกลอนสามัญชนร่วมสมัยทั้งหลาย หลวงพ่อภู่มาช่วยบอกสักวาถวายในเรือของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าลักขณานุคุณ พระราชโอรสที่ในหลวงทรงโปรดปรานยิ่ง ทรงมีพระรูปโฉมงามจนได้นามว่าพระองค์เจ้าสังข์ หมายความว่ารูปหล่อเหมือนพระสังข์ทองนั่นเอง น่าเสียดาย ที่ทรงสิ้นพระชนม์ไปเมื่อพระชนมายุ 20 ต้นๆ เท่านั้นเอง

ลำจวนจำได้ว่าตนเองแต่งชุดเที่ยวงานวัดที่เต็มยศอย่างยิ่ง แต่วิ่งมุดลอดเบียดเสียดไประหว่างเอวของพวกผู้ใหญ่ จนไปโผล่อยู่ที่แถวคนดูหน้าสุดที่ริมคลอง

ในคลอง…ที่เรือสักวาหลายลำจอดเรียงราย แต่คุณพุ่มอยู่ในเรือลำกลาง ที่เผชิญหน้ากับลำจวนพอดี

เธอกำลังกล่าวกลอนด้วยน้ำเสียงสะบัดสะบิ้งพริ้งเพราะ พลางทิ้งสายตาคมกริบทว่าหวานล้ำ ให้บุรุษหนุ่มท่ามสง่าท่านหนึ่ง ในเรือลำใกล้กัน

แสงตะเกียงสว่างไสว ส่องจับอาภรณ์งามระยับ เครื่องประดับเพชรพลอยวาววับจับตา แต่ยังไม่ทัดเทียมประกายตาพร่างพราว ที่เธอสาดแสงไปสู่ชายสูงศักดิ์ท่านนั้น

สักรวาบุษบาโฉมยงสมประสงค์ทรงรับดอกปะหนัน
ปลิดกลีบข้างนอกออกหลายอันถึงข้างชั้นในเห็นเปนสารา
จึงทรงอ่านอักษรกลอนเพลงยาวว่ากล่าวจ้วงจาบหยาบนักหนา
ให้คั่งแค้นเคืองขัดอัธยาฉีกบุหงายุ่งยิ่งทิ้งเสีย เอย ฯ

จนบัดนี้ ลำจวนยังจำกลอนนั้นได้ สักวาเป็นกลอนสดที่ด้นขึ้น ไม่ใช่กลอนที่ประณีตวิจิตรมากนัก แต่จับใจที่จังหวะลีลา จริตกิริยา วิธีแสดงอารมณ์ความรู้สึกของท่าน

“แล้วลูกจำได้ไหมเล่า ว่าท่านผู้ใดที่ทรงว่าสักวาเป็นตัวอิเหนาในคืนนั้น”

ลำจวนส่ายหน้า

“จำไม่ได้ดอกแม่จ๋า จำได้แต่ว่าทุกคนเป็นเจ้านายผู้ชาย และขุนนางคนสนิททั้งสิ้น มีเพียงคุณพุ่มที่เป็นหญิง แต่ว่าสักวาไม่แพ้ผู้ใดทั้งนั้น”

“ท่านผู้ที่ทรงบทอิเหนา…ในคืนนั้น ก็คือพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้าน้อย เจ้าของวังที่เราเพิ่งไปขายผ้า

ให้หม่อมท่านนี่แล”

“อ้าว…” ลำจวนยังงงๆ

แม่ลดเสียงลงซุบซิบ แม้จะอยู่กันเพียงแม่ ลูก นางทิม และทาสในเรือน

“เรื่องราวของทูลกระหม่อมฟ้าน้อยกับคุณพุ่ม…คงเหลือเป็นเพียงเรื่องซุบซิบเท่านั้น พระองค์ท่านก็ทรงเป็นอิเหนาที่มีหม่อมห้ามมากมาย ส่วนคุณพุ่มนั้น บัดนี้เป็นหญิงโสด อยู่ที่แพท่าพระ ที่ใครๆ ขนานนามว่า…บุษบาท่าเรือจ้างอย่างไรเล่า”

“บุษบา…กับ…อิเหนา…”

ลำจวนตาโตเท่าไข่ห่าน

“รู้ความนัยดังนี้แล้ว ต่อนี้ไป ลูกก็จะได้ระวังตัว…”

แม่หมายถึงเรื่องที่ลำจวนได้ไปแสดงฝีปากว่าสักวาจนไปสะกิดใจคุณหม่อม

“จะอย่างไรก็อย่าไปแสดงสักวาที่วังนั้นอีกทีเดียวค่ะ นอกจาก…จะอยากไปหัดแอ่วลาวเป่าแคนกับเขาบ้าง”

นางทิมยักคิ้วหลิ่วตา

นางจำปาจึงตีนางทิมเพียะ

“ไฮ้ นางทิม”

อย่างไร แม่ก็ไม่อยากชี้โพรงให้กระรอก ให้ลำจวนตระหนักว่าเธอเป็นหญิงสาวที่อาจจะน่าปองหมายของชายใดทั้งนั้น

 

เมื่อข้ามจากหน้าพระราชวังเดิม มาถึงแพตลาดท้องน้ำตรงข้ามกัน ซึ่งเป็นตลาดที่จอดแพร้านรวงขายสินค้าสารพัด ที่ภายหลังจากนั้นมา ผู้คนเรียกขานนามว่าท่าเตียน

ร้านที่แม่มุ่งไป คือร้านขายเครื่องกินกับหมาก มีขวดโหลยาเรียงรายมากมาย ในถาด กระบุง ตะกร้า มีทั้งเครื่องเทศ สมุนไพร ส่งกลิ่นหอมบ้าง ฉุนบ้าง ประชันกัน

แม่ค้าหยิบยาเส้นมาชั่ง ตามที่แม่จำปาบอก

“ขอสีเสียด พิมเสน แลปูนด้วยจ้ะ”

ลำจวนเดินดูหาอะไรแปลกๆ ไปรอบแพตามนิสัยอยากรู้อยากเห็น เสียงสนทนาของลูกค้าอื่นที่เดินเข้าร้านมาดังผ่านหู

“มีครบค่ะ ใบกระวาน กานพลู อบเชย ลูกจันเทศ”

เสียงบรรยายนั้น ทำให้ลำจวนสนใจ เพราะเอ่ยถึงแต่เครื่องปรุงอาหารรสแขกๆ ของโปรด

“ซื้อเพียงอย่างละนิดละหน่อยก็พอ แม่เต็ม ซื้อมาก เหลือเฟือนัก เก็บไว้เก่าเปล่าๆ”

น้ำเสียงที่ตอบ เป็นเสียงสตรีที่ผิดแผกจากสตรีทั่วไป เพราะชัดคม มั่นคง กระชับเฉียบขาด ทว่าทุ้มนุ่มนวลหู จนลำจวนต้องหันไปดูหน้าคนพูด

คุณพุ่ม!

เด็กสาวไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง

บุคคลที่เธอเพิ่งกล่าวถึงและคิดคำนึงถึงมาสดๆ ร้อนๆ

สตรีวัยสาวใหญ่รูปทรงสง่าผึ่งผาย ใบหน้างามด้วยคิ้วเข้ม ตาคมปลาบ ผิวสองสีเกลี้ยงเกลาสะอาดผ่องใส ดูมีอำนาจน่าเกรงขาม ทว่าดึงดูดใจให้เข้าใกล้ในเวลาเดียวกัน อย่างน่าพิศวง

เครื่องแต่งกายของเธอเรียบร้อย มิดชิด สีอ่อนหวานละมุนละไมกลมกลืน ดูผุดผาดสูงค่า และโดดเด่นจับตา ทั้งๆ ที่ไม่มีเครื่องประดับราคาแพงหรูหราฟู่ฟ่าใดๆ

คุณพุ่มหันมาสบตาเด็กสาว ด้วยรู้ตัวว่าถูกมองจับจ้องสนใจ

ดวงตาอันเปี่ยมพลังที่ส่งมา ทำให้ลำจวนประหม่า ขวยเขิน จนต้องหลบตา หันกลับหลัง รีบเดินลิ่วมาหาแม่ กระซิบร้อนรน

“แม่ๆ…แม่หันไปข้างหลัง อย่าจ้องนะ แอบๆ ดูเอา”

แม่จำปาทำตามที่ลูกบอก แล้วหันกลับมา ตาโตตื่นเต้น ทำปากพูดแบบไร้เสียง

“คุณพุ่ม…”

“อายุยืนจริง พูดถึง ก็ได้เห็น”

ลำจวนเสียงสั่น

นางทิมที่ตื่นเต้นพอๆ เร่เข้ามาเสียงแหลม

“นี่แล…บุษบาท่าเรือจ้าง!”

“จุ๊ๆๆ”

ลำจวนทำเสียงปราม

คุณพุ่มมองมาพอดี ทำให้แม่จำปากับนางทิมต้องรีบก้มหน้างุด

มีเพียงลำจวน ที่ยังมองตาเป๋ง อ้าปากค้าง

คุณพุ่มกับลำจวนสบตากันตรงๆ

ลำจวนสะดุ้ง รีบหลบตาวูบ ทว่าคุณพุ่มคงชินเสียแล้วที่จะถูกผู้คนซุบซิบชี้ชวนกันให้ดูเธอ เธอจึงไม่ได้สนใจอะไรมาก เมื่อเดินผ่านกลุ่มสตรีชาวบ้านร้านตลาดที่จ้องมองเธอเหมือนเป็นเช่นของแปลกกลุ่มนี้ ออกจากร้านนั้น ไปยังแพอื่น

 



Don`t copy text!